ตอนที่ 2111 ทะเลสาบน้ำตกสีคราม

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ดอกไม้ยักษ์พลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมาจุดที่หญิงชราสลายหายไปพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาลวงตาดอกไม้ยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปข้างใน

เสียง “ตูมๆ” ดังสนั่นขึ้น!

รอยแยกมิติเวลาสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะพ่นรัศมีลำแสงสีชมพูผืนใหญ่ราวกับภูเขาไฟระเบิดออกมา

ในรัศมีลำแสงมีเงาร่างสีแดงซวนเซอยู่ นั่นก็คือหญิงชราเฮ่อเหยียน

ร่างของนางหมุนคว้างอยู่กลางอากาศสองสามรอบ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีประคองตัวเองไม่ได้

ไม่ใช่แค่นั้นหลังจากที่พ่นลำแสงสีชมพูออกมา รอยแยกมิติเวลาก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพังทลาย

ดอกไม้ยักษ์สีชมพูดอกหนึ่งดูเหมือนจะไม่สะดุดตา แต่อานุภาพกลับสามารถแหวกอากาศได้!

หญิงชราร้องคำรามเสียงต่ำด้วยความตกตะลึง ไม้เท้าในมือผ่าออกไปรอบด้านอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เงาไม้เท้ายักษ์สี่สายเปล่งแสงสว่างวาบ พายุสีเหลืองสี่กลุ่มพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้รัศมีลำแสงสีชมพูรอบด้านสลายออก ในที่สุดร่างของนางก็กลับมามั่นคงอีกครั้ง

แต่เฮ่อเหยียนในยามนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว สายตาที่มองเป่าฮวาเผยความหวาดกลัวออกมา ในใจอดที่จะขบคิดไม่ได้ว่า

“นี่คือแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬ ภายใต้การปกคลุมของนาง คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจอาศัยพลังปราณฟ้าดินด้านนอกใดๆ ได้ ทำได้เพียงใช้พลังปราณในร่างต้านทานการโจมตีตรงหน้า เช่นนี้ในฐานะสิ่งมีชีวิตระดับมหายานอย่างพวกเขา ก็แทบจะกำจัดอิทธิฤทธิ์ไปได้มากกว่าเจ็ดแปดส่วน! มิน่าล่ะแม้แต่เทียนชี่ที่มีพลังปราณเหนือกว่านาง พอเห็นว่าเป่าฮวาสำแดงอิทธิฤทธิ์นี้ออกมา ก็หนีเตลิดไปทันทีอย่างไม่ต้องขบคิด”

เมื่อคิดถึงศิษย์พี่ของตนเองผู้นี้ หญิงชราก็ไม่สนใจความหวาดกลัวใดๆ รีบหันหน้าไป มองไปอีกด้าน

เห็นเพียงตรงขอบแดนสีชมพูที่อยู่ไกลออกไป เทียนชี่ถูกเงาลวงตาดอกไม้ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนขวางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ลำแสงสีโลหิตที่เป็นดังมังกรพลันพุ่งชนซ้ายทีขวาที ทุกแห่งที่กวาดผ่านไปเงาดอกไม้พลันทยอยกันสับลงมาแล้วสลายออก

แต่กลางอากาศในบริเวณรอบกลับมีเงาลวงตาสีชมพูปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ

จากท่าทางที่พุ่งแหวกออกไปของลำแสงโลหิต แค่กะพริบวาบก็โจมตีทลายการต้านทานสิบกว่าชั้นได้อย่างต่อเนื่อง ท่าทางจะพุ่งออกไปนอกแดนในรวดเดียว

แต่ยามนี้เป่าฮวาที่อยู่นิ่งอยู่ตรงใจกลางของแดนดอกไม้สวรรค์ทมิฬกลับฉีกยิ้มบางๆ ออกมา มือหนึ่งร่ายอาคมเบาๆ

มืออีกข้างรองต้นไม้สีชมพูเอาไว้เปล่งแสงออกมา อักขระยันต์สีชมพูจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา และวนล้อมรอบเป่าฮวาอย่างบ้าคลั่ง

หญิงชราสวมชุดสีแดงรู้สึกเพียงว่าบรรยากาศรอบด้านรางเลือนและเปลี่ยนไป คาดไม่ถึงว่าจะไปอยู่ในแดนดอกไม้อีกแห่งหนึ่งอย่างแปลกประหลาด

“เคล็ดวิชาเคลื่อนย้าย!”

หญิงชราร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ อีกครั้ง

เห็นเพียงลำแสงสีโลหิตที่เดิมน่าจะอยู่ตรงขอบ ยามนี้มาปรากฏห่างออกไปสามสิบจั้ง และถูกเงาลวงตาดอกไม้ยักษ์ล้อมเอาไว้ตรงกลางอีกครั้ง

หญิงชราลังเลเล็กน้อย ยังไม่ทันคิดให้ดีว่าจะลงมือช่วยหรือไม่ บรรยากาศรอบๆ นางก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น และมีเงาดอกไม้สีชมพูจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น พลางกรูกันเข้ามาเช่นกัน

หญิงชราหน้าซีดขาวแต่ทันใดนั้นก็กัดฟัน โยนไม้เท้าในมือออกไป และกลายเป็นห่านสีขาวขนาดสองสามจั้ง ดวงตามีแสงสีทองแผ่ออกมา ปีกทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบ

เสียงแหวกอากาศดัง “สวบๆ” ดังขึ้น!

ใบมีดวายุปรากฏขึ้นรอบๆ ห่านขาว แล้วพุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน

ส่วนหญิงชราก็ใช้สองมือร่ายอาคม จากนั้นก็ตบศีรษะ หน้าผากเปิดออก ไอสีเหลืองกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา

ไอสีเหลืองหมุนวนเสียงกรีดร้องดังออกมาจากด้านใน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นหน้าผีขนาดเท่าหอคอย

ครึ่งหนึ่งของหน้าผีเป็นใบหน้าของหญิงงามที่งดงามยิ่ง อีกครั้งหนึ่งกลับเป็นใบหน้าโหดเหี้ยมเขี้ยวงอก และหลังจากที่หยุดกรีดร้อง ก็อ้าปากพ่นพายุมารออกมา

เมื่อพายุมารออกจากปาก บรรยากาศรอบด้านก็มีฝุ่นทรายปลิวว่อน จนกลายเป็นสีเทา และม้วนวนไปรอบด้าน เจตนาจะสร้างฟ้าดินขึ้นเองในแดนดอกไม้

เทียนชี่ที่อยู่อีกด้านรู้ว่าตนเองไม่อาจหนีไปได้ง่ายๆ ก็เก็บลำแสงโลหิต พลิ้วกายกลายเป็นเงาลวงตาสิงโตมารตัวสีแดงโลหิตสูงร้อยจั้งเศษ ไอโลหิตทะลักออกมาจากเรือนร่าง และกลายเป็นทะเลหมอกสีโลหิตผืนใหญ่ ม้วนวนไปยังเงาดอกไม้ที่อยู่รอบด้าน

ยามนั้นคาดไม่ถึงว่ามารทั้งสองจะมีเจตนาจะตอบโต้กันในแดนดอกไม้!

เป่าฮวาเห็นฉากนี้คิ้วดำขลับก็ขมวดมุ่นเล็กน้อย อดที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่งไม่ได้ และในที่สุดต้นไม้ในมือก็สั่นเทาเบาๆ

พริบตานั้นฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น

ดอกไม้ยักษ์สีชมพูที่แต่เดิมยึดครองกิ่งก้าน พลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นพร้อมกันแล้วร่อนลงมาจากต้นไม้

“ไป”

แขนเสื้อข้างหนึ่งของเป่าฮวามีดอกไม้สีชมพูม้วนวนออกมา ในเวลาเดียวกันก็เปล่งเสียงกรีดร้อง

ครู่ต่อมาเสียง “พรึ่บๆ” ก็ดังขึ้น!

หลังจากที่ดอกไม้สีชมพูบินขึ้นไปที่สูง คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันกลายเป็นเปลวเพลิงมาร และผสานรวมร่างกันในพริบตา กลายเป็นทะเลเพลิงสีชมพู

ยามแรกทะเลเพลิงมีขนาดแค่สองสามหมู่ แต่เมื่อสัมผัสกับอากาศบริเวณรอบที่มีเงาดอกไม้ปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเปลวเพลิงมารสีชมพูและแผ่ออกไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน

ทว่าแค่สองสามชั่วอึดใจ บรรยากาศทั้งหมดในแดนบุปผาก็กลายเป็นทะเลของเปลวเพลิงมาร จากนั้นเมื่อเป่าฮวาก็บริกรรมคาถา ทะเลเพลิงทั้งผืนส่งเสียงกรีดร้องออกมา แล้วกดลงไปที่ไอมารทั้งสองที่อยู่ด้านล่างอย่างรุนแรง

เทียนชี่เฮ่อเหยียนเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี หลังจากที่มองสบตากันแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะหยิบยาลูกกลอนสีแดงโลหิตจากอกเสื้อออกมาจากกินคนละเม็ด

กลิ่นอายบนเรือนร่างของทั้งสองแผ่ออกมา และพยายามกระตุ้นเคล็ดวิชามาร

น่าสงสารมารทั้งสองนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่มีระดับสูงที่สุดในแดนมาร แต่ในแดนบุปผากลับไม่อาจอาศัยพลังปราณฟ้าดินได้ ทำได้เพียงกินยาลูกกลอนกระตุ้นพลังเพื่อต้านทานเปลวเพลิงมารสีชมพูอย่างทำใจดีสู้เสือ

พริบตานั้นกลางอากาศพลันมีเปลวเพลิงมารม้วนวนมาปกคลุมมารทั้งสองเอาไว้จนมิด แดนบุปผาสวรรค์ทมิฬทั้งแดนกลายเป็นแดนทะเลเพลิง!

ยามนี้ดอกไม้สีชมพูดอกนั้นพลันเปลี่ยนเป็นโปร่งใส และยิ่งไปกว่านั้นขนาดยังเล็กกว่าก่อนหน้ามากกว่าหนึ่งในห้าส่วน

พริบตานั้นเป่าฮวากลับหยุดบริกรรมคาถา ใบหน้างดงามมีสีหน้าแดงก่ำสลับซีดเผือด

จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ หลังจากที่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ก็หยิบยาลูกกลอนสีขาวเม็ดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและกลืนลงท้องไป

บรรพชนแรกเริ่มเผ่ามารผู้นี้นั่งสมาธิลงทันที แล้วกอดต้นไม้นั้นไว้ในอ้อมอก ผิวมีผลึกลำแสงแวววาวปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ หลับตาทั้งสองข้างลงและเริ่มตั้งสมาธิกระตุ้นสมบัติชิ้นนี้

นางรู้ดีว่าจากพลังยุทธ์ที่น่ากลัวของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคนอย่างเทียนชี่และเฮ่อเหยียน ต่อให้ไม่มีพลังปราณฟ้าดินคอยช่วยเหลือ หากอยากให้พวกเขาใช้เปลวเพลิงมารหลอมจริงๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ยากมาก จึงจำใจต้องวางแผนกักเอาไว้ระยะยาว

เช่นนั้นเวลาจึงไหลผ่านไป ชั่วพริบตาก็ผ่านไปสองสามวัน

และเมื่อถึงวันที่เจ็ด แดนบุปผาที่เดิมมีเปลวเพลิงมารสีชมพูอยู่เต็มไปหมดพลันสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีไม่มั่นคง

ท่ามกลางเปลวเพลิงมารสีชมพูที่หมุนวน เสียงกรีดร้องยาวๆ สองเสียงพลันดังขึ้น ลูกบอลเพลิงสีดำแดงและลำแสงสีโลหิตพลันพุ่งออกมา และตะปบรอยแยกที่เผยออกมาในแดนบุปผาเอาไว้ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ กะพริบวาบก็ทะลวงผ่านผิวแดน และหนีไปยังขอบฟ้าโดยไม่หยุดพักเลยสักนิด

“ชั้นต่ำ! เดิมเจ้าก็ยังไม่ฟื้นฟูพลังยุทธ์ระดับมหายาน ยามที่พบกันครั้งหน้าจะต้องเป็นวันตายของเจ้า!” ทารกหญิงสูงสองสามชุ่นที่ปรากฏตัวขึ้นในลูกบอลเพลิงรางๆ ซึ่งอยู่ไกลออกไปพลันร้องออกมาด้วยเสียงโหดเหี้ยม

หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามคราลูกบอลเพลิงและลำแสงสีโลหิตก็หายวับไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

เสียงถอนหายใจยาวๆ พลันดังขึ้น!

เป่าฮวาลืมตางดงามขึ้นด้วยสีหน้าเสียดาย

ไม่เห็นว่านางเคลื่อนไหวใดๆ แต่เปลวเพลิงมารที่หมุนวนกลับหดเล็กลงโดยอัตโนมัติ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นดอกไม้ยักษ์สีชมพูสิบกว่าดอก แล้วร่อนลงมาจากต้นไม้อีกครั้ง แล้วเติบโตขึ้นบนพื้นอีกครั้งอย่างมั่นคง

แทบจะในเวลาเดียวกันแดนวิญญาณสวรรค์ทมิฬทั้งแดงก็ส่งเสียง “ปัง” ออกมา แล้วพังทลายกลายเป็นลำแสงวิญญาณสลายหายไปจากกลางอากาศ

ชั่วพริบตานั้นต้นไม้ในมือของเป่าฮวาก็หดเล็กลงและกลายเป็นลูกบอลลำแสงสีชมพู ถูกนางอ้าปากดูดเข้าไปในท้อง!

“คาดไม่ถึงว่าจะล้มเหลว! แม้ว่าจะหลอมกายเนื้อของทั้งสองคนให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ แต่จากอิทธิฤทธิ์ของพวกเขา อีกสองสามร้อยปีก็ฟื้นฟูพลังเดิมกลับมาได้ ดูแล้วจากนี้คงต้องพบกับพวกเขาอีกหลายครั้ง” เป่าฮวาเอ่ยพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา กายอ้อนแอ้นพลิ้วไหวแล้วหยัดกายลุกขึ้น

แต่ทันใดนั้นใบหน้าของหญิงชุดขาวก็มีสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ร่างอรชรอ้อนแอ้นพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าเกือบจะยืนไม่ได้

เป่าฮวารีบแผ่จิตสัมผัสไปในร่างอย่างรวดเร็ว ผลคือใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง

“ครานี้ยุ่งยากแล้ว ครั้งนี้เขาสังหารศัตรูไปหนึ่งพันทำร้ายตัวเองไปแปดร้อย ข้าเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย คาดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงเพียงนี้ ยามนี้แม้ว่าจะมีสมุนไพรวิญญาณอยู่ในมือ หากไม่ใช้เวลาสองสามร้อยปีก็ไม่อาจฟื้นฟูพลังเหมือนเดิมได้ น่าเสียดายข้าเพิ่งจะฝึกแดนสวรรค์ทมิฬได้เพียงผิวเผินเท่านั้น มิเช่นนั้นหากสังหารสองคนนั้นได้ ความเสียหายแค่นี้ก็ไม่มีค่าอันใด กลับไปฟื้นพลังที่แดนวิญญาณก่อนดีกว่า” เป่าฮวาถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างจนปัญญา หลังจากที่สะบัดแขนเสื้อ รัศมีลำแสงสีชมพูก็แผ่ออกมา คนหายวับไปจากที่เดิม

……

บนยอดเขาสีเทาขาวที่ไม่สูงนัก หานลี่ยืนอยู่ตรงนั้นกำลังทอดมองไปยังจุดที่ไกลออกไปพร้อมกับสองมือไพล่หลัง

ห่างจากจุดที่เขาอยู่ไปสองสามลี้มีทะเลสาบขนาดยักษ์ที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาแห่งหนึ่ง

ผิวของทะเลสาบเป็นสีฟ้าคราม และยิ่งไปกว่านั้นผิวทะเลสาบพลันมีมัจฉาตัวน้อยสีขาวอ่อนแหวกว่ายไปมาอยู่รางๆ ท่าทางมีชีวิตชีวา

“สมกับชื่อทะเลสาบน้ำตกสีคราม ทะเลสาบแห่งนี้ไม่เหมือนกับทะเลสาบอื่นๆ ในแดนมาร” ในที่สุดหานลี่ก็ชักสายตากลับมา และเอ่ยพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา

ด้านหลังของเขาไม่ไกลนัก ชายหนุ่มผิวขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น ด้านข้างยังมีหญิงสาวหน้าตางดงามเบิกตาทั้งสองข้างอยู่ กลับเป็นจูกั่วเอ๋อร์

ยามนี้หญิงสาวที่มาจากเสี่ยวหลิงเทียนได้เห็นหานลี่และเผ่ามารระดับสูงสู้กันสองสามครั้งด้วยตาของตนเอง ย่อมไม่สงสัยฐานะของหานลี่อีก

และนางในยามนี้ก็กำลังกลอกตาไปมา เห็นได้ชัดว่าร่าเริงกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก และทนไม่ไหวเอ่ยปากขึ้นว่า

“ท่านอาวุโสหาน ก่อนมาพวกเราไปสืบหามาแล้วมิใช่หรือ ทะเลสาบน้ำตกสีครามมีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารนั่งบัญชาการอยู่ พวกเรามาที่นี่มันเหมาะสมหรือ?”

“อืม เจ้าหมายถึงบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันพู่ มารตนนี้อยู่ที่ทะเลสาบน้ำตกสีครามมาหลายปี เห็นได้ชัดว่าย่อมมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย แต่ข้าต้องเอาข้าวฟันโลหิตมาให้ได้ ต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายก็ต้องลองดูสักครั้ง และยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้ารู้บรรพชนศักดิ์สิทธิ์หลันพู่ซ่อนตัวมาหลายปี และอาจจะไม่ได้อยู่ในทะเลสาบนี้ ยามนี้ผู้ที่นั่งบัญชาการอยู่ที่ทะเลสาบน้ำตกสีคราม เป็นแค่ร่างแยกและลูกศิษย์สองคนเท่านั้น” หานลี่ได้ยินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ