ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 6 ร่วมมือ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

บุรุษผมสั้นสีแดงผู้มีกลิ่นอายแข็งแกร่งยืนอยู่กลางอากาศ พลางเหลือบมองลงไปยังพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนที่อยู่เบื้องล่าง ในบรรดาทั้งสามคนนี้ บรรพชนแมลงปาถัวเฉิน แมลงตัวใหญ่ที่มีเค้าร่างมนุษย์มีกลิ่นอายแปลกประหลาด เดิมทีกลิ่นอายของแมลงขั้นสุดยอดก็อุกอาจอย่างน่าประหลาดอยู่แล้ว รับมือมิได้ง่ายๆ เลย! ส่วนจอมกระบี่ ในฐานะผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีทำลายล้าง ก็ย่อมมีกลิ่นอายเฉียบคมระลอกหนึ่งเป็นธรรมดา ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมิได้เสแสร้งเลย กลิ่นอายของเขาอ่อนแอที่สุดอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านชาย เมื่อตัดสินจากกลิ่นอายแล้ว ในบรรดาผู้มาเยือนทั้งสาม มีสองคนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดขอรับ” บุรุษผมสั้นสีแดงถ่ายเสียงกลับไป “ควรจะรับมือเช่นไรดี”

“มีสองคนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดรึ”

“มีบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาหรือไม่”

ทันใดนั้นก็มีการถ่ายเสียงมาต่อเนื่องกัน

“บุคคลผู้ไร้เทียมทานที่มีชื่อเสียงที่สุดของดินแดนจิตโลกาเหล่านั้น ไม่อยู่ในนี้ด้วยขอรับ” บุรุษผมสั้นสีแดงถ่ายเสียงตอบ

“รายงานของพวกเราล้วนแต่นานแสนนานมาแล้ว ไม่แน่ว่าขั้นสุดยอดบางคนในดินแดนจิตโลกาอาจจะมีผู้ใดได้รับสมบัติลับอันสูงส่งไปอีกก็เป็นได้! ข้าว่าผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาทั้งสามคนนี้…พวกเราสามารถผูกสัมพันธ์กับพวกเขาได้ ให้พวกเขาเป็นแรงช่วยของพวกเรา!”

“ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน! ผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาเหล่านี้มีบางคนที่ร้ายกาจยิ่งนัก อย่างอ๋องสัตว์โลกาและบรรพชนนิจรัตติกาลนั่น ในตำนานกล่าวว่ากลืนกินสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว!”

“พวกเราร่วงลงมาถึงระดับเช่นทุกวันนี้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่า ‘เผ่าเซวี่ยเหยียน’ ของพวกเราคงจะต้องดับสลายลงแล้ว! ครั้งนี้พวกเราจะต้องได้ ‘ผลวิญญาณทิพย์’ มา และทำให้พลังของท่านชายยกระดับขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อพลังของท่านชายยกระดับขึ้น พวกเราจึงจะสามารถช่วงชิงโลกของพวกเรากลับคืนมาได้ เผ่าเซวี่ยเหยียนของเราจึงจะดำรงอยู่ต่อไปได้! ผลวิญญาณทิพย์มีประโยชน์มหัศจรรย์ต่อพวกเรา แต่สำหรับผู้บำเพ็ญในดินแดนจิตโลกาเหล่านี้ ก็มีประโยชน์ค่อนข้างต่ำ พวกเขาไม่มีทางแย่งชิงสุดชีวิตเพื่อพวกเราหรอก”

“ดี! ผูกสัมพันธ์กับพวกเขาให้ดี เพื่อให้พวกเขากลายเป็นแรงช่วยของพวกเรา อิ่งอี เจ้าไปจัดการพวกเขาเสีย”

“ขอรับ ท่านชาย”

พวกเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

พูดแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่อันที่จริงแล้วกลับถ่ายเสียงพูดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

เงาร่างสายหนึ่งทะยานข้ามท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว นี่คือสตรีรูปงามผมสีเงินซึ่งสวมเกราะสีเงินเอาไว้ บนเกราะมีลวดลายสีแดง

“เป็นผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกา มิใช่ศัตรูของพวกเรา พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นไปหรอก” สตรีผมเงินพูดกับบุรุษผมแดงประโยคหนึ่งแล้วร่อนลงไป ใกล้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคน สตรีผมเงินพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามีนามว่าอิ่งอี ครั้งนี้กองกำลังของพวกเราเข้ามาในเกาะลอยคว้างเพื่อเสาะหาสมบัติล้ำค่า แต่ภายในเกาะลอยคว้างมีอันตรายซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง เผ่ามรณะทมิฬก็ยิ่งบ้าคลั่ง หากข้าและคนอื่นๆ ร่วมมือกันก็จะสามารถตัดการกับเผ่ามรณะทมิฬได้ และสามารถเดินไปในเกาะลอยคว้างได้ไกลยิ่งขึ้น โอกาสที่จะได้สมบัติล้ำค่ามาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งสามท่านรู้สึกว่าอย่างไรบ้าง”

ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินสบตากันไปมา

ภายในโลกหุบเขาเขี้ยวหัก

แม้เผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมืองต่างก็ใหญ่โตมาก ทว่าชนพื้นเมืองนั้นคล้ายกับผู้บำเพ็ญจากโลกภายนอกมาก ปัญญาก็สูงยิ่งนัก แท้จะมีจิตคิดระวังสิ่งมีชีวิตจากภายนอก แต่ก็ยังคงสามารถร่วมมือด้วยได้! ข้อแตกต่างข้อใหญ่ที่สุดระหว่างชนพื้นเมืองกับโลกภายนอก…ก็คือตำนานที่ว่าภายในกายของพวกเขาล้วนมีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่

“ดี หากพูดถึงความเข้าใจเกาะลอยคว้างแล้ว พวกท่านคงต้องเหนือกว่าพวกเราแน่นอน หากสามารถเคลื่อนไหวด้วยกันได้ก็ถือเป็นเรื่องดี” จอมกระบี่เอ่ยปาก

“พวกท่านชายของข้าอยู่ไม่ไกลออกไปนัก เชิญเจ้าค่ะ” สตรีผมเงินยิ้มแล้วนำทางไป

……

ไม่นานนัก

ทั้งสองฝ่ายรวมตัวกันแล้ว แม้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจะเตรียมการเคี่ยวกรำเอาไว้แล้ว แต่สิ่งที่มีไม่ขาดเลยในหุบเขาเขี้ยวหักก็คืออันตราย! สามารถร่วมมือกับชนพื้นเมืองได้ ก็ถือเป็นเรื่องดี อันที่จริงแล้วมีชนพื้นเมืองในโลกบางคน…ที่ไม่ยอมร่วมมือกับผู้บำเพ็ญในดินแดนจิตโลกา

ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน แล้วสนทนากันอย่างง่ายๆ ครู่หนึ่ง

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่า ผู้ที่เป็นผู้นำของกองกำลังนี้ก็คือหัวหน้าที่ชื่อว่า ‘เซวี่ยเหยียนจี้’ คนอื่นๆ ล้วนเรียก ‘เซวี่ยเหยียนจี้’ ว่าท่านชาย!

“เผ่ามรณะทมิฬต่างก็มีแดนใต้อาณัติของตนเอง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รูปโฉมหล่อเหลาสวมอาภรณ์สีเขียว เขายิ้มพลางพูดแนะนำว่า “พวกเรารุกรานเข้ามาในแดนใต้อาณัติของพวกเขา ก็ต้องประสบกับการลอบโจมตีของพวกเขา แน่นอนว่า หากพวกเราแข็งแกร่งพอ พวกเขาก็จะคร้ามเกรง พวกเราก็จะมุ่งหน้าไปยังใจกลางสุดของเกาะลอยคว้างอย่างต่อเนื่องได้ หากพวกท่านสัมผัสได้ถึงอันตราย ก็สามารถจากไปได้ตลอดเวลา”

“มาที่นี่ก็มิอาจเกรงกลัวอันตรายได้ อย่างมากก็แค่สูญเสียกายหยาบไปร่างหนึ่งก็เท่านั้นเอง” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดเสียงแหบแห้ง

“ดี”

ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กล่าวว่าดีขึ้นมาทันที สมาชิกคนอื่นๆ ในกองกำลังใต้บังคับบัญชาของเขาต่างก็มองมาทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิง เหมือนจะปรองดองขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

“ช่างสุขสราญจริงๆ ข้าและคนอื่นๆ อิจฉาผู้บำเพ็ญแดนจิตโลกามาก เพราะพวกท่านมีร่างแยกได้ ต่อให้เป็นอันตรายที่น่าหวาดหวั่นกว่านี้ก็กล้ามุ่งหน้าไปได้” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดพลางทอดถอนใจ

“ภายในดินแดนจิตโลกาของพวกเรา ผู้ที่มีร่างแยกก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ก็ยังดีกว่าพวกเราอยู่ดี พวกเราคิดจะบำเพ็ญร่างแยกแต่กลับไม่มีทางให้หนีได้” สีหน้าของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซับซ้อน หากมีร่างแยก ก็คงจะไม่ตกต่ำลงมาถึงขั้นทุกวันนี้แล้ว

จอมกระบี่กล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราออกเดินทางได้เลยหรือไม่”

“ออกเดินทางกันเถิด ให้พวกเรานำทางดีไหม” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เอ่ย

“ได้”

จอมกระบี่ บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คัดค้านแต่อย่างใด

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนพลไปด้วยกัน กองกำลังของพวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ทั้งสิบหกคนเดินอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทาง ส่วนพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนเดินอยู่ด้านหลัง ทั้งสองฝ่ายระแวดระวัง เพื่อระวังเผ่ามรณะทมิฬเป็นหลัก

เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว

‘โลกลวง’ ที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงคงเอาไว้หลบหลีกชนพื้นเมืองทั้งสิบหกคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการขัดแย้งกัน หนึ่งชั่วยามกว่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับพบว่ามีเผ่ามรณะทมิฬมาเฝ้าดูอยู่รอบๆ มากขึ้น

“พวกท่านสามคนต้องระวัง ก่อนหน้านี้พวกเราเคยประมือกับเผ่ามรณะทมิฬมาก่อน พวกเขารู้ว่าพวกเรารับมือไม่ได้ง่ายๆ! พวกท่านเพิ่งมาใหม่…ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการลอบโจมตีใหม่จะพุ่งเป้าไปที่พวกท่าน” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้หันไปพูดกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลัง

“ขอบคุณท่านชาย พวกเราจะระวัง” จอมกระบี่ก็ยิ้มตอบ

พูดยังไม่ทันขาดคำ…

จู่ๆ ก็มีเงาดำหกสายโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินแล้วล้อมโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ทั้งสามคน

มาได้กะทันหันเกินไปแล้ว! เมื่อสัมผัสรับรู้ด้วยโลกเขตลวงได้ เผ่ามรณะทมิฬก็มาถึงแล้ว

“ไสหัวไป!!!”

บรรพชนแมลงปาถัวเฉินตะคอกขึ้นมาทันที ปากของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างน่าประหลาด เสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดที่แพร่ออกไป ทำให้เงาดำหกสายถูกระลอกคลื่นกระทบแล้วสั่นสะท้านน้อยๆ นอกจากนี้อาภรณ์สีดำบนร่างของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็พลันกระจายตัวออกแล้วกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วแบ่งออกไปล้อมโจมตีเงาดำหกสาย

เงาดำแต่ละสายต่างก็ประสบการโจมตีของแมลงอันแน่นขนัด เงาร่างแต่ละสายล้วนแต่มีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดผิวหนังสีดำ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายดำมืดของความตาย

แมลงขั้นสุดยอด…เดิมทีวิธีการก็แปลกประหลาดยากทำนายอยู่แล้ว นับตั้งแต่เจรจากับราชันย์อนธการอมตะเป็นต้นมา พลังของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็แกร่งกล้าขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

ฟิ้ว…ฟิ้ว…ฟิ้ว…

เงาร่างทั้งหกสายรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงพากันกลายเป็นหมอกสีดำสลายไปกลางอากาศ

“อาภรณ์สามารถกลายเป็นแมลงมากมายถึงเพียงนั้นได้ด้วยหรือ ลำพังแค่อาศัยแมลง ก็ทำให้เผ่ามรณะทมิฬหกตนนี้ถอยไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ” ชนพื้นเมืองทั้งสิบหกเห็นเขาก็ตกตะลึงไปหมด วิธีการของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินนั้นไม่เหมือนกับวิธีการปกติทั่วไปที่ผู้บำเพ็ญรู้ นี่ทำให้พวกเขาไม่กล้าดูแคลน ‘บรรพชนแมลงปาถัวเฉิน’ ที่มีหน้าตาค่อนข้างอัปลักษณ์อีกต่อไป

รังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย!

“การโจมตีกระบวนท่าหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะในตอนนั้น ปาถัวเฉินก็ใช้อาภรณ์ไปสกัดกั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “อาภรณ์นั้นก็ไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เป็นสมบัติลับหรือ หรือว่าเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน”

เพราะถึงอย่างไรก็เป็น ‘แมลงขั้นสุดยอด’ ที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนจิตโลกาซึ่งรวมกับผู้บำเพ็ญ ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ ก็รู้จักปาถัวเฉินน้อยมาก

“ฮ่าฮ่า พลังของบรรพชนแมลงไม่ธรรมดาเลย” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดยิ้มๆ “ทว่านี่เป็นเพียงการสัมผัสเพื่อให้รู้พลังของท่านเท่านั้นได้ชัดเจนเท่านั้น คนที่เผ่ามรณะทมิฬส่งมาล้วนแต่เป็นลูกน้องที่พลังค่อนข้างต่ำต้อย ผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ ยังไม่ได้เคลื่อนไหว”

จากนั้นกองกำลังก็มุ่งหน้าต่อไป

พวกเขาท่องไปในเกาะลอยคว้างอันกว้างใหญ่ไพศาล ชนพื้นเมืองเหล่านี้เข้าใจอันตรายของสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติได้ดีกว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ตลอดทางจึงสามารถหลบเลี่ยงอันตรายแห่งแล้วแห่งเล่าได้อย่างง่ายดาย

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ใบหน้าอัปลักษณ์ที่ก่อตัวขึ้นจากหมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นด้านบน พลางเหลือบมองลงไปยังกองกำลังนี้แล้วเปล่งเสียงหัวเราะอันบาดหูขึ้นมา เสียงหัวเราะนั้นโจมตีตรงไปยังวิญญาณ แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายและแรงอาฆาต!

“มาแล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงคุกคามอันยิ่งใหญ่ของใบหน้าหมอกดำขนสดมหึมากลางอากาศ

ฟิ้วๆๆๆๆๆ…

ทันใดนั้นเงาร่างหลายสิบสายก็โผล่ออกมาจากผืนดิน กว่าแปดส่วนก็คือผู้ที่โจมตีไปทางกองกำลังชนพื้นเมืองทั้งสิบหกคนนั้น เผ่ามรณะทมิฬที่เหลือเพียงห้าคนซึ่ง เป็นเผ่ามรณะทมิฬที่มีเค้าร่างเป็นมนุษย์สามคน และรูปลักษณ์สัตว์ประหลาดอีกสองตนจึงสามารถโจมตีไปทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนได้