ตอนที่ 1417 ไม่เลวเหมือนกัน โดย Ink Stone_Fantasy
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” ชาร์มอุ้มโบแชงขึ้นมา ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกไปทางรถไฟ “ดัสก์ล่ะ?”
“นางไปรวมกับคนอื่นๆ…หนีไปทางป่าเร้นลับแล้ว” โบแชงฝืนยิ้มขึ้นมา “ส่วนข้า…ถ้าข้าไม่มาช่วย พวกเจ้าคงได้ตายอยู่ที่นี่แน่ นี่เจ้า…กำลังโทษข้าอยู่งั้นเหรอ?”
“เอ่อ ข้าเพียงแค่…”
“คิดว่าข้าไม่เหมาะที่จะอยู่ปรากฏตัวบนสนามรบ?” เธอพูดเสียดสีอย่างไร้เรี่ยวแรง “อย่าลืมสิว่าข้าเป็นแม่มดสายต่อสู้ แค่กๆ …ตอนที่เจ้ายังเล่นดินเล่นโคลนอยู่ ข้าก็ออกไปต่อสู้เผื่อเอาชีวิตรอดแล้ว”
บาดเจ็บขนาดนี้แล้วยังไม่ลืมที่จะหันมาพูดกัดตัวเองอีก ไม่น่ารักเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เมื่อได้ยินว่าดัสก์หนีออกไปแล้ว ชาร์มพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมามากกว่าเดิม
น่าจะเป็นเพราะแฮงค์ทำตามที่ตัวเองสั่งล่ะมั้ง
ในเวลานี้ ด้านหลังทั้งสองคนพลันมีเสียงสำรอกดังขึ้นมาอีกครั้ง
ชาร์มหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะเห็นหนอนยักษ์ที่มีเลือดท่วมเต็มปากเริ่มขยายใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง
“บ้าเอ้ย ยังไม่หมดอีกเหรอ…”
เขาค่อยๆ ขยับไปข้างตู้โดยสารแล้ววางโบแชงลงกับพื้น
“ถูกต้อง ฉวยโอกาสตอนนี้รีบหนีไปซะ” โบแชงหอบหายใจ “เพื่อนขี้ขลาดของเจ้าพวกนั้นหนีไปจนหมดแล้ว ปล่อยข้าทิ้งไว้ที่นี่ อย่างน้อยก็ยัง เฮ้” เธอหน้าเปลี่ยนสีทันที “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ชาร์มนั่งลงไปกับพื้น ก่อนจะเอากระสุนยัดใส่เข้าไปในแม็กกาซีน “มันก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าพาเจ้าหนีไปด้วย ข้าไม่มีทางวิ่งหนีสัตว์อสูรได้”
“อย่างนั้นเจ้าก็น่าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่ แล้วหนีไปคนเดียวสิ!”
“เมื่อก่อนพวกเจ้าทำแบบนี้งั้นเหรอ? แต่ตอนที่อยู่ในกองทัพที่หนึ่ง ฝ่าบาททรงสองพวกเราให้สู้เพื่อคนธรรมดา ข้าไม่สามารถทิ้งเจ้าที่เป็นคนธรรมดาให้ยื้อเวลาอยู่ที่นี่ แต่ตัวเองกลับหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้”
โบแชงตกตะลึงไปทันที น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันที่ถูกมองเป็นคนธรรมดาเหมือนกับเขาเหมือนกัน
ชาร์มวางแม็กกาซีนทั้งหมดเอาไว้ข้างตัว ก่อนจะย่อตัวลงไปแล้วยกปืนขึ้นมาตั้งท่าพร้อมยิง “แล้วก็…ถ้าข้ายิ่งกันศัตรูเอาไว้ได้นาน ดัสก์ก็จะยิ่งปลอดภัย ดังนั้นเจ้าก็อย่าบ่นข้าล่ะ”
เขาไม่ได้โทษพวกทหารชาวบ้าน เดิมพวกเขาก็ไม่ใช่ทหารมืออาชีพอยู่แล้ว หน้าที่หลักๆ ของพวกเขาก็แค่เข้าลานวางของกับสถานีรถไฟเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกขโมยของ การที่จะเรียกพวกเขาให้ไปจัดการกับสัตว์ประหลาดอย่างอสุรกายนรกก็ดูจะเป็นการรังแกพวกเขาไปหน่อย ที่พวกเขาอดทนมาได้จนถึงตอนนี้ก็นับมาดีมากแล้ว
“เจ้า….” โบแชงเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ปิดปากไป
“พวกมันมาแล้ว” ชาร์มเล็งไปยังสัตว์อสูรที่ถูกคายออกมาใหม่พร้อมกับเหนี่ยวไก
เสียงปืนดังสะท้อนไปทั่วทั้งที่ราบลุ่ม เมื่อเทียบกับในตอนแรกแล้วถือว่าเบาลงกว่าเดิมมาก ปากกระบอกปืนที่มีควันลอยฟุ้งออกมาจับเป้าเป้าหมายที่อันตรายที่สุดอยู่ตลอดเวลา ส่วนพวกสัตว์อสูรตัวเล็กๆ นั้นก็ปล่อยให้คนข้างๆ เป็นคนจัดการ ทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยสื่อสารอะไรกัน แต่กลับเกิดเป็นความรู้ใจอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกเชื่อใจแบบนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหมือนตอนที่ทำศึกอยู่ในกองทัพ
เขาเหมือนจะต้านทานพวกสัตว์อสูรอยู่นาน แต่ก็เหมือนจะผ่านไปแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากเสียเลือดมากเกินไป สายตาของเขาจึงเริ่มพร่ามัว มือเท้าเองก็เฉื่อยชากว่าเดิม ในทางกลับกัน โบแชงที่บาดเจ็บหนักกว่าเขากลับยังไม่ล้มลงไปกับพื้น เธอเอาผ้ามาพันไว้ที่แขนข้างหนึ่งเป็นเพื่อเป็นเหยื่อล่อ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ใช้เป็นอาวุธสำหรับปลิดชีพ สัตว์อสูรตัวเล็กๆ อย่างพันธุ์หมาป่า ขอเพียงโดนโจมตีเข้าไปก็ไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน
ที่น่าแปลกใจก็คือชาร์มมองไม่เห็นความสิ้นหวังบนใบหน้าของเธอเลย สีหน้าของเธอดูไม่เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักแม้แต่น้อย สมาธิที่แน่วหน้า การเคลื่อนไหวที่เด็ดขาดและเลือดสดๆ ที่ไหลชโลมคิ้วและดวงตาทำให้เธอแตกต่างจากโบแชงในความทรงจำเขาอย่างสิ้นเชิง นี่ทำให้เขารู้ว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นตัวตนที่ ‘แม่มดสายต่อสู้’ ควรจะมี
เธอเคยสูญเสียทุกสิ่งที่เธอถนัดไป แต่ตอนนี้เธอได้กลายเป็นตัวเธอที่แท้จริงอีกครั้ง
พันธุ์ผสมกลุ่มใหม่มุดออกมาจากหนอนยักษ์ ทั้งสองคนรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของพวกเขาแล้ว
“เสียดายตัวละครใบนั้น…” โบแชงขยับมาข้างเขา มุมปากพลันยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าเจ้าตายอยู่ที่นี่…ข้าก็จะได้วางใจ อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าดัสก์จะถูกเจ้าหลอก…”
เจ้านี่….ไม่น่ารักแม้แต่นิดเดียวจริงๆ ด้วย
ชาร์มส่งเสียงเหอะออกมาอย่างหงุดหงิด “นั่นสิ คนที่น่าเสียใจที่สุดก็น่าจะเป็นเจ้านั่นแหละ ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก็ต้องมาอยู่กับข้า…”
“ไม่…” เธอพูดแทรกเขาขึ้นมา “ความจริงแล้วข้า…”
“อูวววว…..”
เสียงหวูดที่เล็กแหลมกลบคำพูดของเธอเอาไว้ จากนั้นเปลวไฟเป็นดวงๆ ก็ระเบิดขึ้นมารอบๆ หนอนยัก ฝุ่นควันและเศษหินที่กระเด็นขึ้นมาทำให้เหล่าสัตว์อสูรหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
ชาร์มหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที เขาฝืนยันตัวขึ้นแล้วมองไปทางที่เสียงหวูดดังขึ้นมา
เขาเห็นรถไฟหุ้มเกราะสีดำขบวนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนเส้นสายตาทางด้านหลัง ปืนใหญ่ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนของมันพ่นเปลวเพลิงออกมาอย่างต่อเนื่อง
นั่นมันแบล็คริเวอร์ที่วิ่งไปวิ่งมาบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ในศึกนอร์ธบาวด์!
เขาเขย่าตัวโบแชงอย่างตื่นเต้น “ดูนั่นสิ! แบล็คริเวอร์ กองหนุนของพวกเรามาแล้ว!”
แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีการตอบสนองใดๆ กลับมา
“เฮ้…” ชาร์มหันหน้ากลับไป แต่เขากลับเห็นอีกฝ่ายนอนหลับตาอยู่ข้างตู้โดยสารไปเสียแล้ว
“ตื่น เฮ้ เจ้าตื่นสิ!” แต่ไม่ว่าเขาจะเขย่าตัวยังไง โบแชงก็ไม่ยอมลืมตาขึ้นมา
….
ในตอนที่ได้เจออีกฝ่ายอีกครั้งก็เป็นเวลาสองวันหลังจากนั้น
“นี่คือห้องของนาง ให้ข้าเคาะประตูให้ไหม?” คามิล่าที่เป็นหัวหน้าแม่บ้านของมนตร์แห่งสลีปปิ้งถาม
“ไม่ ขอบคุณท่านมากขอรับ เดี๋ยวข้าจัดการเองก็ได้ขอรับ” ชาร์มรีบโค้งคำนับอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในที่พักอาศัยของแม่มด เดิมทีที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาตามใจชอบ มีแต่คนที่ได้รับเชิญเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ เขาเองก็แค่ลองมาดู แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้ามา
“อย่างนั้นก็ช่วยระวังเรื่องเวลาด้วยนะ” คามิล่าพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ชาร์มถอนหายใจออกมา
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน เขาพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา คำตำหนิของเจ้าหน้าที่พยาบาลยังคงดังก้องอยู่ในหูเขา
‘นางยังหายใจอยู่ แต่ถ้าเจ้ายังเขย่าอยู่แบบนี้ ไม่แน่นางอาจจะตายไปจริงๆ ก็ได้! จริงๆ เลยเชียว เห็นๆ อยู่ว่าเคยผ่านสนามรบมา แต่กลับไม่รู้เลยว่าการผ่อนคลายหลังจากที่ฝืนร่างกายมาเป็นเวลานานมันจะทำให้เกิดอาการเป็นลมได้ง่าย พวกทหารเขาไม่ได้รับการฝึกการปฐมพยาบาลหรือยังไง? เอาแต่ตะโกนร้องอยู่นั่นแหละ หรือว่านางเป็นคนสำคัญของเจ้า?’
ชาร์มรีบสะบัดหัวเพื่อสลัดความทรงจำที่น่าหงุดหงิดพวกนี้ทิ้งไป
ความจริงหลังรู้ว่าโบแชงยังมีลมหายใจอยู่ เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเยี่ยมอีกฝ่ายขนาดนี้ เพราะเมื่อดูจากภายนอกแล้ว ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครมาเยี่ยมใครกันแน่ บนร่างกายเขามีผ้าพันแผลพันอยู่เต็มไปหมด ขยับแต่ละทีก็เจ็บไปทั้งตัว ดูสภาพแล้วค่อนข้างน่าอนาถเลยทีเดียว แต่ได้ยินมันก็ส่วนได้ยิน เขามักจะรู้สึกว่าถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง เขาก็ไม่มีทางสบายใจได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ยื่นมือออกไปเคาะประตู
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก ภาพที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าคือดัสก์
“เจ้าจริงๆ ด้วย” เธอยิ้มอย่างดีใจออกมา “เมื่อกี้ตอนที่ท่านคามิล่ามาแจ้ง นางไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่ข้าเดาว่าเป็นเจ้า ขอบคุณเจ้ามากนะที่ช่วยโบแชงเอาไว้!”
“เฮ้ พูดผิดหรือเปล่า ข้าช่วยเขาต่างหาก” ภายในห้องมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
ชาร์มเดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะเห็นโบแชงที่นั่งพิงอยู่ตรงหัวเตียง แสงแดดส่องทะลุหน้าต่างสะท้อนอยู่บนใบหน้าครึ่งหนึ่งและผมสั้นสีน้ำตาลของเธอ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คืออาการบาดเจ็บของเธอหนักกว่าเขาเยอะ แต่สีหน้าของเธอกลับเหมือนจะดีกว่าเขา
แต่แน่นอน เธอเองก็ถูกพันผ้าพันแผลเอาไว้ทั้งตัวเหมือนกัน แม้แต่หัวก็ไม่เว้น
“ไม่เห็นมีอะไรแปลก” เหมือนจะมองเห็นความสงสัยของเขา โบแชงยักไหล่ขึ้นมา “ร่างกายของแม่มดนั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา การฟื้นฟูร่างกายก็ย่อมต้องเร็วกว่า ดังนั้น…” เธอชะงักไปเล็กน้อย “เข้าว่าคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้อยู่กับดัสก์ตามลำพังล่ะ”
คำปลอบโยนที่เตรียมเอาไว้พลันสลายหายไปทันที ชาร์มแอบกรอกตาใส่ เขามองออกว่าเธอคนนี้ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเป็นห่วงเลย
“อย่างนั้นข้าขอตัวล่ะ”
“เอ๋ เจ้าจะไปแล้วเหรอ?” ดัสก์ถามอย่างแปลกใจ
“ใช่สิ ยืนนานๆ มันไม่ดีต่ออาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะข้าที่สู้นางไม่ได้ในทุกๆ ด้าน” ชาร์มมองไปทางโบแชงอย่างท้าทาย “ข้าต้องรีบหายดี จากนั้นก็รีบชวนเจ้า…ชวนเจ้าไปดูละครเวที”
“ชวนข้า?” ดัสก์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “ได้สิ”
เดี๋ยวๆ รับปากเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
“เจ้าฝันไปเถอะ!” โบแชงพูดด้วยเสียงเยือกเย็นขึ้นมา “ข้าต้องหายเร็วกว่าเจ้าแน่นอน!”
“อย่างนั้นก็ลองดูก็ได้”
“ลองก็ลองสิ!”
ทั้งสองคนถลึงตาใส่กันแล้วเริ่มถกเถียงกันเหมือนทุกที ดัสก์ยืนส่ายหัวยิ้มๆ อยู่ข้างๆ เหมือนกำลังมีความสุขที่ได้เห็นทั้งสองคนกลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากที่เจอเหตุการณ์ในวันนั้น
ในตอนที่เดินออกไปจากห้อง ชาร์มพลันคิดถึงคำพูดที่ถูกเสียงหวูดกลบไป เขาหันหน้ากลับไปถาม “เออใช่ ก่อนที่เจ้าจะสลบไปเจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น” โบแชงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนที่รถไฟมาสติข้าเริ่มเลือนรางแล้ว เจ้าน่าจะจำผิดล่ะมั้ง”
“งั้นเหรอ” ชาร์มเกาหัวพร้อมปิดประตู
“เขาถามอะไรน่ะ?” ดัสก์ถามอย่างสงสัย
“แค่คำพูดไร้สาระน่ะ” โบแชงยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันหน้าไปรับแสงอาทิตย์
แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
…………………………………………………….