เล่มที่ 27 เล่มที่ 27 ตอนที่ 802 จากลาชั่วนิรันดร์

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เวลานี้ สายตาของเยี่ยโยวเหยาก็หันมามองซูจิ่นซีเช่นกัน

ดวงตาสอดประสานอย่างเงียบงัน เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ ก้าวไปยังข้างกายของซูจิ่นซีทีละก้าว พลางโอบไหล่ของซูจิ่นซีเข้าสู่อ้อมแขนตนเอง

เขาวางคางลงบนกลุ่มผมของซูจิ่นซีอย่างนุ่มนวล ราวกับรับรู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ “วางใจ ไม่มีผู้ใดหรือพลังอำนาจใดสามารถแยกข้าออกจากเจ้า ข้าต้องการอยู่กับเจ้าตลอดไป ไม่แยกจากกันชั่วนิรันดร์”

ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก ดวงตาเปล่งประกายความดีใจ ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าชีวิตที่เหลือของนางจะเป็นอย่างไร ทว่าคำพูดของเยี่ยโยวเหยาเป็นการปลอบประโลมใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ซูจิ่นซีซุกศีรษะลงบนหน้าอกของเยี่ยโยวเหยาโดยไม่พูดอันใด

“แค่ก แค่ก แค่ก… ” ทันใดนั้น ท่านเทพก็ไออย่างรุนแรง

อวิ๋นเชวี่ยตะโกนด้วยท่าทางตื่นตระหนก “พี่หลง ท่านเป็นอันใด พี่หลง? ท่านอย่าทำให้อวิ๋นเอ๋อร์ตกใจ พี่หลง? ”

ชั่วพริบตา ท่านเทพก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดหลายครั้ง

ทันใดนั้น อวิ๋นเชวี่ยก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางพูดกับซูจิ่นซีว่า “พระชายาโยวอ๋อง ท่านเก่งวิชาแพทย์ใช่หรือไม่? ท่านรีบมาตรวจดูเถิด! ช่วยชีวิตเขาด้วย พระชายาโยวอ๋อง! ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหาท่านเทพด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นจึงตรวจชีพจรให้ท่านเทพอย่างละเอียด

ตลอดเวลา อวิ๋นเชวี่ยไม่ห่างจากตัวท่านเทพเลย ดวงตาของนางจ้องไปมาระหว่างใบหน้าของท่านเทพและซูจิ่นซี ด้วยท่าทางวิตกกังวล

เมื่อซูจิ่นซีตรวจดูอาการเสร็จ ทันใดนั้น อวิ๋นเชวี่ยก็คว้ามือของซูจิ่นซีเพื่อสอบถาม “เป็นอย่างไร? ”

ซูจิ่นซีเหลือบมองมือเปื้อนเลือดของอวิ๋นเชวี่ยที่จับแขนของตน และพูดว่า “เขาเป็นถึงสัตว์เทพโบราณ ไม่เป็นอันตรายอันใด เมื่อครู่ตกลงไปในลาวาจึงถูกเผาไหม้จนได้รับบาดเจ็บ ทว่าเขาเป็นมังกรไฟ ไม่มีอันตรายร้ายแรงอันใด”

อวิ๋นเชวี่ยน้ำตาไหลริน “ต้องโทษข้า โทษข้า… หากไม่ใช่เพราะข้า แม้แต่เปลวไฟเพียงเล็กน้อยคงไม่ทำให้เขาบาดเจ็บ ทั้งหมดเป็นเพราะข้าที่ทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วตลอดเวลา แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กลับไม่เอ่ยถามอันใด

ตามหลักเหตุผลแล้ว ท่านเทพเป็นมังกรไฟ ทั้งยังเป็นสัตว์พาหนะของจักรพรรดิฝูซี ลาวาเหล่านั้นไม่สามารถทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ อีกทั้งเมื่อครู่นี้ นางและเยี่ยโยวเหยาเข้าไปช่วยเหลือได้ทันท่วงที เหตุใดถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้?

หรือว่าตอนที่เขาถูกเนรเทศมาสู่ดินแดนลึกลับเสวียนคง เขาถูกผนึกพลังวิญญาณไว้?

หากเป็นเช่นนั้น ตามความสามารถของซูจิ่นซีตอนนี้ นางคงมองไม่ออกแน่นอน

ซูจิ่นซีค้นหาในระบบถอนพิษ แม้จะมียาสมุนไพรมากมายในระบบถอนพิษ ทว่ามีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่สามารถใช้กับผู้บำเพ็ญเพียรอย่างท่านเทพได้ จากนั้นนางจึงหยิบยาวิเศษที่จิ่วหรงมอบให้นางออกมาหนึ่งเม็ดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก และยื่นให้ท่านเทพ

“ท่านทานยาเม็ดนี้ มันสามารถบรรเทาอาการบาดเจ็บของท่านได้เล็กน้อย”

อวิ๋นเชวี่ยเห็นยาเม็ดนั้น ดวงตาพลันทอประกาย “เจ้าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุหรือ? ”

ซูจิ่นซีส่ายศีรษะเล็กน้อย

ใบหน้าอวิ๋นเชวี่ยเต็มไปด้วยความสงสัย “หากข้าจำไม่ผิด อาศัยพลังวิญญาณในอาณาจักรเทียนเหอ ไม่มีทางที่จะมีนักเล่นแร่แปรธาตุได้ อีกทั้งในสถานที่แห่งนี้ ยาวิเศษเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง แม้ผู้คนทั้งอาณาจักร ก็ไม่อาจหายาวิเศษเช่นนี้พบได้”

เอ่อ… วิเศษเช่นนั้นเชียวหรือ?

ซูจิ่นซีไม่รู้จริงๆ

ดูแล้ว คงต้องกลับไปขอบคุณจิ่วหรงอย่างมาก

“ไม่เป็นอันใด! นี่เป็นสิ่งที่สหายของข้ามอบให้เท่านั้น เขา… คงเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุอย่างที่เจ้าพูด”

ความจริงแล้ว ซูจิ่นซีไม่แน่ใจนัก

อย่างไรก็ตาม หากยาวิเศษนี้จิ่วหรงเป็นผู้หลอมเองตามคำกล่าวของอวิ๋นเชวี่ย จิ่วหรงก็ควรเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ!

“ขอบใจเจ้ามาก! ”

อวิ๋นเชวี่ยกล่าวขอบคุณ ก่อนจะหยิบยาเม็ดจากมือของซูจิ่นซียื่นให้ท่านเทพทาน

ตอนที่สัตว์ภูตอยู่ในถ้ำปีศาจก่อนหน้านี้ นางยังดูเย่อหยิ่ง ไร้เหตุผล ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา โดยเฉพาะซูจิ่นซีที่อายุน้อยกว่าตนเองหลายหมื่นเท่า

ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่คุ้นเคยกับคำว่า ‘ขอบใจเจ้ามาก’ ของอวิ๋นเชวี่ย

เมื่อท่านเทพได้รับยาวิเศษ อวิ๋นเชวี่ยจึงใช้พลังภายในช่วยเขา ทำให้พลังของยาหมุนเวียนไปตามจุดลมปราณทั้งแปด ผ่านไปไม่นาน สีหน้าของท่านเทพก็ดีขึ้นไม่น้อย

ท่านเทพลืมตาขึ้น สายตาของเขามองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความดีใจ

“แม่นางน้อย ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้า”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทว่าไม่พูดอันใด

ดวงตาของท่านเทพขยับไปที่ใบหน้าของอวิ๋นเชวี่ย เมื่ออวิ๋นเชวี่ยมองท่านเทพ น้ำตาของนางก็ยังหยดลงบนมือของเขา

ท่านเทพค่อยๆ ยื่นมือออกมา ต้องการลูบไล้ใบหน้าของอวิ๋นเชวี่ย ทว่าอวิ๋นเชวี่ยกลับโน้มตัวลงเล็กน้อย และยื่นใบหน้าของตนเองเข้ามาใกล้มือของท่านเทพ

นิ้วมือของท่านเทพลูบไล้ใบหน้านั้นอย่างอ่อนโยน เขาสัมผัสใบหน้าที่ขาวนวลนั้นทีละนิ้ว ดวงตามองอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าเขาได้ผ่านกาลเวลากลับไปเมื่อหมื่นปีก่อน

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเขาก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น “เป็นเวลาหนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบเอ็ดปีแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าแก่แล้ว… ”

ทันใดนั้น ไหล่ของอวิ๋นเชวี่ยก็สั่นเหมือนตะแกรง ทว่านางกลับกัดริมฝีปากของตนเองไว้แน่น พยายามไม่ให้ร่างกายตอบสนองหัวใจที่สั่นสะท้าน และพยายามไม่หันไปมองท่านเทพ เพื่อไม่ให้เขาเห็นน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าของนาง จากนั้นนางก็ไม่พูดสิ่งใด

หนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบเอ็ดปี พวกเขาทั้งคู่อยู่ในดินแดนลึกลับเสวียนคงนี้เป็นเวลานานมาก พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ทว่าไม่ได้พบกัน

นางคิดว่าเขาไม่แยแสและไม่เต็มใจไปพบนาง

นางคิดว่าเขาลืมนางไปนานแล้ว

นางคิดว่าเขาไม่เคยรักนางจริงๆ

จนกระทั่งคลี่คลายหมากกลสิบกระดานในดินแดนเมฆา…

นางคิดไม่ถึงเลยว่าในทุกๆ วัน เขายังจดจำการพรากจากไว้ในใจ และยังจดจำมันได้อย่างชัดเจน

หนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบเอ็ดปี ตัวเลขเหล่านี้เป็นเหมือนตะขอ เป็นพลังที่มองไม่เห็น คอยเกี่ยวรั้งความเศร้าโศกที่ซ่อนตัวลำพังอยู่ในใจมานับพันนับหมื่นปี ความโหยหา ความอ้างว้าง ความวิตกกังวลอันไร้ที่สิ้นสุดที่ต้องเผชิญอยู่เพียงลำพัง

“อวิ๋นเอ๋อร์… ”

ตอนนี้ ความรู้สึกทั้งหมดภายในใจของท่านเทพ กลายเป็นแววตาอันอ่อนโยนไม่รู้จบ เขายื่นมือออกไปสุดกำลังเพื่อปาดหยาดน้ำตาที่แก้มของอวิ๋นเชวี่ย น้ำเสียงของเขาช่างอ่อนโยนเหลือเกิน อ่อนโยนราวกับเสียงที่ร้องเรียกยามพบกันทุกครั้งที่ชายฝั่งวังตงไห่ติงเทียนเมื่อหมื่นปีก่อน

“อวิ๋นเอ๋อร์… ”

ในที่สุด อวิ๋นเชวี่ยก็หันกลับมามองท่านเทพ นิ้วที่สั่นเทาเล็กน้อยของนางลูบไล้เส้นผมและใบหน้าของท่านเทพอย่างทะนุถนอม พลางมองใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งห่างหายไปนานถึงหนึ่งหมื่นสามพันสี่ร้อยยี่สิบเอ็ดปี

“อวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงโง่นัก? เจ้าก็รู้ว่าวันหนึ่งเมื่อเจ้ากับข้าพบกัน เจ้าจะต้องสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีวันได้กลับมาเกิดอีก เหตุใดเจ้ายังมา? เหตุใด? ”

น้ำตาของอวิ๋นเชวี่ยยังคงไหลริน ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจ นางกอดผู้ที่ตนเองเฝ้าคิดถึงมานานนับหมื่นปีไว้ในอ้อมแขนแน่น ดวงตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเขา

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อวิ๋นเชวี่ยยังไม่พูดสิ่งใด ท่านเทพก็ไม่ได้รับคำตอบจากอวิ๋นเชวี่ย

ทว่าแววตาของนางกลับบอกทุกอย่างแล้ว

ทั้งสองสบตากันอยู่อย่างนั้น สบตากันและกัน ราวกับเวลาได้หยุดลง

ทว่าหมื่นปีผ่านไป เวลาที่เงียบสงัดหมุนเวียนอีกครั้ง กาลเวลาถูกเรียกให้ตื่นขึ้น

สิ่งที่ปลุกเวลาอันเงียบงันให้ตื่นขึ้นมา คือการที่อวิ๋นเชวี่ยสลายกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างเชื่องช้า ร่างของนางค่อยๆ สลายหายไปต่อหน้าท่านเทพทีละน้อย