ตอนที่ 519 รีบขยับเข้ามาให้บิดากอด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ไม้คฑาด้ามนี้ …..ไม่รู้ว่าเป็นเทพเซียนบรรพกาลท่านใดสร้างเอาไว้ ดูผิวเผินช่างธรรมดาเหลือเกิน 

 

 

แต่ว่าเมื่อตู๋กูซิงหลันได้ใช้ กลับรู้สึกทั้งเหมาะมือและพอใจอย่างยิ่ง 

 

 

ตอนนี้นาง…..กำลังต้องการพลังจริงๆ 

 

 

แต่ว่าขุนศึกต้องการพลัง ย่อมเพราะมีจุดประสงค์ เมื่อมีไม้คฑาสุดโกงอยู่ในมือ นางย่อมไม่สมควรใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า 

 

 

ที่มันแสดงพลังออกมาในวันนี้ ถือว่าเป็นเหตุบังเอิญ 

 

 

หากว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นจริงๆ นางจะไม่ใช่ไม้คฑานี้ไปดูดซับพลังจิตของผู้อื่นมาโดยเด็ดขาด 

 

 

เพราะถึงอย่างไร….มันก็ไม่สง่างามอยู่ดี 

 

 

จากนั้น นางจึงค่อยๆเก็บคฑากลับไปอย่างช้าๆ ดวงเนตรสาดประกายเย็นชาลงไปบนร่างของเซียวเฉินและเหล่ายอดนักพรตเหล่านั้น 

 

 

จากนั้นก็หันกลับไปบัญชาคน ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้คนทั้งหลาย “หลงเซียว จับตัวพวกมันเอาไว้ สอบสวนอย่างละเอียด ข้าต้องการรู้รายละเอียดทุกอย่างในดินแดนจิ่วโจว”หลงเซียวคือหัวหน้าของเหล่าองครักษ์ลับที่แข็งแกร่งที่สุดของจีเฉวียน เมื่อจีเฉวียนไม่อยู่แล้ว เขาก็หันมารับคำสั่งของตู๋กูซิงหลันทุกประการ 

 

 

เขารีบให้คนนำตัวผู้คนจากจิ่วโจวทั้งหมดจากไปในทันที 

 

 

เรื่องการสอบปากคำนั้น เขาทำได้อย่างคล่องมือที่สุดแล้ว 

 

 

ขอเพียงเขาลงมือ ก็ไม่มีคำถามใดที่สืบไม่ได้ ไม่มีข้อมูลใดที่หาไม่พบ 

 

 

พอพวกของเซียวเฉินถูกนำตัวออกไปแล้ว ทั่วทั้งตำหนักจิ่นซิ่วก็เงียบสงบลงไม่น้อย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกลับไปนั่งบนบัลลังก์อีกครั้ง นางประคองจอกสุราที่ยังดื่มไม่หมดขึ้นมา พลางมองดูเหล่าขุนนางของตนเองที่ยังคงตื่นตะลึงไม่สร่าง ริมโอษฐ์สีแดงก็ขยับน้อยๆ “วันนี้มีแพะอ้วนพีส่งมาถึงประตู เรารู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีจริงๆ ขุนนางที่รักทั้งหลายจงดื่มให้มากๆ เรื่องในค่ำคืนนี้ ก็ให้มันสลายอยู่ในท้องไป ดีไหม?” 

 

 

นางหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเหน็บหนาว กระดูกสันหลังเย็นจนแข็งวาบขึ้นมาในทันที 

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยได้ยินข่าวมาบ้าง…..คล้ายจะเป็นว่าฮ่องเต้หญิงทรงขี่สัตว์เทพที่มีใบหน้าเป็นมนุษย์ร่างเป็นมังกรไปต่อสู้กับสัตว์อสูรยักษ์ที่พ่นไฟได้ด้วยพระองค์เอง แต่ว่าก็เป็นเพียงแค่ได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น 

 

 

พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ผู้ที่เคยเป็นไทเฮาน้อยของต้าโจว จะแข็งแกร่งจนถึงขั้นน่าพิศดารขนาดนี้! 

 

 

เหล่าผู้มีฝีมือในราชสำนักยังไม่ทันจะถึงรอบลงมือ แค่ฮ่องเต้หญิงเพียงพระองค์เดียว ก็สามารถสังหารเหล่านักพรตผู้สูงส่งจากดินแดนจิ่วโจวได้โดยไม่เหลือแม้แต่คนเดียว 

 

 

คราวนี้ สายตาที่ทั้งหมดมองดูตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนเป็นเคารพนบนอบขึ้นมาในทันที 

 

 

ราวกับว่านางคือเทพเซียนที่ฟ้าประทานลงมา 

 

 

ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหล่าขุนนางหลายคนสงสัยในตัวพระองค์ แต่ว่าหลังจากนี้ไป ทั้งหมดล้วนต้องหุบปากเอาไว้ 

 

 

ดินแดนแห่งนี้พึ่งจะรวมตัวกันได้สำเร็จไม่นาน หากว่าสามารถมีคนที่แข็งแกร่งเฉกเช่นฮ่องเต้หญิง จึงจะสามารถสร้างสันติสุขได้อย่างยาวนาน 

 

 

พี่ใหญ่และท่านตาต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง….พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวล้ำค่าของที่บ้านจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ 

 

 

ตอนที่หายสาบสูญไปในทะเลตะวันตก….นางได้ไปพบเจอกับเหตุการณ์ใดมากัน? 

 

 

ท่านผู้เฒ่าชักจะสงสัยเสียแล้ว ….เขาสงสัยว่านางจะได้รับสืบทอดพลังที่ฮูหยินเก็บงำเอาไว้  

 

 

เจียงเย่วคือองค์หญิงของแคว้นกู่เย่ว คือเทพธิดาผู้พิทักษ์รักษาหยกสรรพชีวิต หลังจากที่นางตายแล้ว ชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตชิ้นนั้นก็ถูกฝังไปพร้อมๆกับนาง 

 

 

ก่อนที่นางจะตาย ได้สั่งเสียเขาเอาไว้ว่า รอจนหลันหลันอายุได้สิบหกปี ค่อยมอบกุญแจของสุสานให้กับนาง…. 

 

 

เกรงว่าตอนที่หลันหลันเข้าไปในสุสานของฮูหยินก่อนหน้านี้ คงจะได้รับหยกสรรพชีวิตชิ้นนั้นมาแล้วกระมัง? 

 

 

แต่ว่าแค่พลังของหยกสรรพชีวิตเพียงชิ้นเดียว ก็แข็งแกร่งจนถึงขนาดนี้เลยหรือ? 

 

 

ตอนนั้นที่ปฐมฮ่องเต้ทุ่มเทกำลังปราบปรามแคว้นกู่เย่ว ก็เพราะคิดจะครอบครองหยกสรรพชีวิตนี้เช่นกัน… 

 

 

หลายปีมานี้ ท่านผู้เฒ่ายังไม่อาจทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า หยกสรรพชีวิตที่จริงแล้วคือสิ่งใดกันแน่ 

 

 

ยามนี้เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปมองดูหลานสาวของตนเองบนบัลลังก์ ในใจทั้งปลาบปลื้มและปวดร้าว 

 

 

นางพึ่งจะอายุสิบแปดปีเท่านั้น….เดิมทีนางสมควรจะเป็นแค่สาวน้อยนางหนึ่ง ที่เติบโตภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพวกพี่ชายและท่านตา เฝ้ารอคอยที่จะได้เจอบุรุษคู่ชีวิต จากนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อบอุ่นปลอดภัยไปชั่วชีวิตเท่านั้นก็พอแล้ว 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ นางกลับต้องแบกรับภาระและความรับผิดชอบของแผ่นดินทั้งหมดเอาไว้บนบ่า 

 

 

สำหรับเด็กหญิงที่อายุเพียงสิบแปดปีแล้ว ถือว่าหนักหนาเกินไปจริงๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันจิบสุราช้าๆ ค่อยๆดื่มลงไปจนหมดจอก 

 

 

งานเลี้ยงพึ่งจะเลิกรา ทางด้านเซียวหลงก็มีผลตอบรับกลับมาพอดี 

 

 

ทุกวันนี้ดินแดนจิ่วโจวมิได้สงบสุขอีกต่อไปแล้ว สามขุมอำนาจใหญ่และห้าแคว้นแกร่งต่อสู้แย่งชิงกันตลอดเวลา  

 

 

มีขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยหมายตาแผ่นดินแห่งนี้เอาไว้แต่แรกแล้ว ต่างก็คิดจะมาหาประโยชน์จากที่นี่ด้วยกันทั้งนั้น 

 

 

การเดินทางของเทวบุตรหงเหมินในครั้งนี้ ก็เพราะได้รับคำสั่งจากวังตันติ่งกง พวกเขาคิดจะอาศัยการแต่งงานกับนาง เพื่อยึดครองแผ่นดินโบราณแห่งนี้ทั้งหมด ให้กลายเป็นของสำนักหงเหมินและวังตันติ่งกงทั้งหมด 

 

 

นอกจากสำนักหงเหมินแล้ว ก็ยังมีขุมกำลังอื่นๆที่กำลังจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาอีกมากมาย 

 

 

นี่ก็เหมือนดังคำโบราณที่ว่า แม้ไม่ได้ออกไปหาความยุ่งยาก แต่เรื่องยุ่งยากกลับมาถึงประตูบ้าน 

 

 

สถานการณ์ของตู๋กูซิงหลันในยามนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง 

 

 

“มีแต่ต้องสืบทราบเรื่องราวและสภาวะทั้งหลายให้ชัดเจน รู้เขารู้เราเช่นนี้จึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมา นางนั่งลงที่ข้างโต๊ะเตี้ย บนโต๊ะมีหมากขาวดำกระดานหนึ่ง ในมือของนางถือหมากสีดำเอาไว้ สีหน้าเก็บงำความคิดเหมือนดั่งจีเฉวียนและซื่อมั่ว 

 

 

นางยังคิดจะสังหารชาวสวรรค์เพื่อแก้แค้นให้อาจารย์และจีเฉวียน …..แต่กลับมีเรื่องยุ่งยากมาแทรกแซงเสียนี่ 

 

 

“เพี้ยะ….”เสียงกระแทกเม็ดหมากลงไปบนกระดาน หมากดำของตู๋กูซิงหลันกลืนกินหมากขาวเข้าไป ปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบจนเป็นสีซีด 

 

 

ข้างกระดานหมาก มีกระถางดอกไม้จากหยกใสใบหนึ่งวางอยู่ ในกระถางดอกไม้มีดินดำที่อุดมสมบูรณ์ แม้ว่าวันนี้จะรดมันด้วยน้ำค้างรุ่งอรุณ แต่ว่าก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ 

 

 

ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ศิลาโลหิตของอาจารย์ ไม่เพียงไม่ผลิดอกออกมา แม้แต่ต้นกล้าก็ยังไม่งอกเงย มันจะสามารถ….ผลิบานได้จริงๆหรือ? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะเบาๆ นางปิดตาลง ทันทีที่นางหลับตาลง ในสมองก็เห็นภาพก่อนตายของอาจารย์และจีเฉวียน จนหัวใจของนางปวดร้าว 

 

 

ท่ามกลางราตรีที่คล้อยดึกมากแล้ว นางมองออกไปที่นอกหน้าต่าง สายตาทอดยาวออกไปไกลถึงทิศที่ทะเลลึกไร้ก้นตั้งอยู่ 

 

 

……………….. 

 

 

 

 

 

ณ หุบเหวไร้บึ้ง ในก้นทะเลลึก ตู๋กูซิงหลันกระโดดลงมาเป็นครั้งที่สอง 

 

 

เพียงแต่ว่าครั้งนี้ พอพึ่งจะกระโดดลงไป ต้นไม้โบราณต้นนั้นก็ยื่นกิ่งก้านออกมารองรับนางไว้และส่งไปยังต้นไม้ใหญ่ด้านล่าง  

 

 

เยี่ยจ้านได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เส้มผมสีเงินทั่วศีรษะพลิ้วออกไป ขณะที่เขาเดินมาทางนาง 

 

 

จากนั้นก็ตรงเข้าไปกอดกิ่งก้านของต้นไม้ที่อยู่ข้างกายนางอย่างแนบแน่น 

 

 

“บุตรสาวสุดที่รักของข้า ในที่สุดเจ้าก็มีเวลามาหาบิดาแล้ว…..บิดาโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังช่าวเปลี่ยวเหงา….” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูต้นไม้ที่อยู่ข้างๆแวบหนึ่ง “…..” 

 

 

กิ่งของต้นไม้นั้นบิดตัวไปมา ราวกับสาวน้อยที่เขินอาย 

 

 

“บุตรสาวที่รัก เจ้าถูกสิ่งใดสาปมาหรือไม่ ทำไมถึงได้ตัวแห้งแข็งเป็นดั่งต้นไม้เช่นนี้?” กอดอยู่ได้พักใหญ่ เยี่ยจ้านจึงค่อยคลายมือออก ทั้งยังมีสีหน้าประหลาดใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ท่านพ่อ อย่าได้ล้อเล่นแล้ว” 

 

 

“อ้ายย่าห์ บุตรสาวที่แสนล้ำค่า เจ้าอยู่ตรงนี้เอง…” เยี่ยจ้านกางวงแขนออก เปลี่ยนทิศทาง คิดจะหันมากอดนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทำให้เขาคว้าได้แต่ความว่างเปล่า 

 

 

เขาทำหน้าผิดหวังอย่างยิ่ง ใช้มือถูกจมูกไม่หยุด “บุตรสาวคนดี บิดาไม่ได้พบหน้าเจ้ามาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงได้รังเกียจบิดาเช่นนี้เล่า?” 

 

 

“รีบขยับเข้ามา ให้บิดากอดเร็วๆ” เขากางแขนออกมาอีกครั้ง ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เพียงแต่สีหน้าที่แสดงออกมาจากดวงหน้าหล่อเหลาดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อถือได้เลยจริงๆ 

 

 

ดูไปแล้วกลับเหมือนลุงประหลาดที่ชอบหลอกเด็กสาวตัวน้อยมากกว่า 

 

 

มุมปากของตู๋กูซิงหลันถึงกับกระตุกขึ้นมา “บิดา ข้ามาเพื่อคุยเรื่องสำคัญกับท่าน” 

 

 

…………………