ตอนที่ 1869 การบีบบังคับจากฉูชิง

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ยอดฝีมือนภาสวรรค์เก้าดาวยังกลับตายลงง่ายดายเพียงนี้ แน่นอนว่าเรื่องนี้มันต้องสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนอย่างมากมาย

พวกเขาได้รู้แล้วว่าสมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำนี้มันไม่อาจได้มาครองง่ายๆ

ไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องการผ่านเก้าระดับเพื่อรับสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ใดๆ เลย

“ขอข้าลองบ้าง!”

ตอนนั้นเองที่จู่ๆ จีคังก็พุ่งตัวออกไปเพื่อเข้าท้าทายค่ายกลดาบด้วยอีกคน

ในหมู่คนทั้งหลาย จีคังนั้นนับว่าแข็งแกร่งที่สุด ทุกคนต่างเฝ้ามองดูว่าชายคนนี้จะสามารถเดินไปได้ถึงระดับไหน

เมื่อเข้าค่ายกลดาบมาจีคังก็เริ่มใช้พลังออกมาทันที

ในสามระดับแรกที่แม้แต่เฟนหมิงยังต้องลำบากไม่น้อยแต่จีคังกลับผ่านมันมาได้อย่างง่ายดาย

แต่หัวใจของทุกผู้คนก็ต้องสั่นระรัวเมื่อมาถึงระดับที่สี่

เพราะจีคังนั้นเลือกที่จะท้าทายต่อไปอย่างไม่ผิดคาดทุกคนนัก

รอบที่สี่ จีคังยิ่งปล่อยพลังกดดันออกมาหนักกว่าเดิม!

ตอนนี้ทุกคนที่มองดูอยู่ด้านนอกต่างรู้ว่าเขากำลังลำบากมากกว่าระดับก่อนๆ

แต่เขานั้นมีพลังบ่มเพาะมากกว่าเฟนหมิงถึงหนึ่งอาณาจักร แน่นอนว่าพลังฝีมือใดๆ ของเขาย่อมเหนือล้ำกว่าอีกฝ่ายอย่างไม่อาจเทียบเคียงได้

นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกผู้คนได้เห็นระดับห้า มันถึงกับทำให้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายต้องหน้าถอดสี

น่ากลัวจนเกินไป!

แต่ว่าจีคังก็ยังสามารถผ่านมันมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ในระดับที่หก หลังจากจีคังรับคลื่นดาบนับไม่ถ้วนเข้าไปในที่สุดเขาก็ผ่านออกมาได้

เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏออกมาอีกครั้ง คราวนี้จีคังกลับลังเล

“เจ้ามีเวลาคิดอีกสามอึดใจ! สาม สอง…” เสียงภายในค่ายกลดาบนั้นดังขึ้นอีกครั้งทำให้หัวใจของทุกผู้คนเต้นรัวจนแทบหลุดออกปาก

แต่ตอนนั้นเองที่จีคังก็ขยับ!

เขาขยับเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างไม่ลังเลอีก ก่อนที่เงาร่างนั้นจะหายไป

“แม้แต่ท่านจีคังก็ไม่กล้าหาญพอจะท้าทายระดับเจ็ดหรือ? แน่ล่ะว่าสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มันคงไม่ใช่อะไรที่จะได้มาง่ายๆ เช่นนั้น!”

เหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลายต่างแสดงใบหน้าผิดหวังออกมา เพราะแม้แต่จีคังก็ยังมิกล้าท้าทายระดับเจ็ด การที่พวกเขาจะเข้าไปท้าทายมันก็คงเท่ากับรนหาที่ตาย

แม้ว่าสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์จะมีค่ามากเพียงใด มันก็ไม่มากพอจะแลกกับชีวิต!

ไม่นานร่างของจีคังก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งที่อีกด้านของมหาค่ายกล

ดูท่าแล้วเขาคงไปได้สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำจากที่ไหนสักแห่งมา

แต่ทว่าใบหน้าของเขานั้นไม่มีความยินดีอยู่เลย

สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำนั้นมันอาจจะเป็นของดี แต่กับเขาแล้วมันก็เป็นได้แค่ของประกอบฉากชิ้นหนึ่ง

เมื่อสองคนนี้นำทางเข้าท้าทายไปแล้ว มันก็ทำให้เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายหมดความลังเลและเข้าไปท้าทายกันเรื่อยๆ

แต่เหล่ายอดฝีมือนภาสวรรค์ทั้งหลายนั้นไม่มีใครกล้ามากพอที่จะท้าทายระดับสี่เลย

แถมในความเป็นจริงเหล่านักยุทธ์นภาสวรรค์ทั้งหลายนั้น คนที่จะสามารถผ่านสามระดับแรกไปได้มันก็นับว่าน้อยนัก

สิ่งที่พวกเขาได้เห็นอย่างมากมายก็คือการที่ชีวิตของยอดฝีมือต้องดับลงไปในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้

ส่วนยอดฝีมือเทพถ่องแท้นั้นมันก็มีหลายคนที่คิดท้าทายระดับสี่ แต่หลังจากเทพถ่องแท้ห้าถึงหกคนได้ตายลงติดๆ กันมันก็ทำให้ไม่มีใครกล้าหาญพอจะท้าทายอีกต่อไป

เย่หยวนกลับมายืนข้างเล้งชิวหลิงตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบได้และพูดขึ้น “ดูท่ารอบนี้มันจะหนักหนาไม่เบา!”

เย่หยวนมองดูจำนวนนักยุทธ์ที่ลดลงอย่างชัดเจนนี้และได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา

เล้งชิวหลิงเองก็พยักหน้ารับ “พลังของค่ายกลดาบนี้มันสุดแสนน่ากลัว แม้แต่ท่านจีคังก็ผ่านไปได้แค่หกระดับ”

เย่หยวนพยักหน้ารับ ตอนนี้เขาเองก็เข้าใจถึงพลังของค่ายกลดาบสังหารสวรรค์แล้วไม่น้อย

“ยอดอัจฉริยะที่แย่งชิงเลือดแท้วิหคชาดมาได้ ค่ายกลดาบเช่นนี้มันคงไม่มีทางหยุดเจ้าได้หรอก เหตุใดไม่ลองไปทดสอบดูเล่า? เจ้าคงไม่ได้… กลัวหรอกใช่ไหม? ฮ่าๆ”

ฉูชิงนั้นเฝ้ามองดูสถานการณ์อยู่ตลอดมา เหตุผลที่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่คิดจะไปท้าทายก็เพื่อรอให้เย่หยวนเข้าไปก่อน

เย่หยวนนั้นได้ทำให้เขาต้องเสียหน้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้เขาจึงคิดจะใช้ค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นี้เพื่อกู้หน้าคืนมาเสียบ้าง

“คุณชายฉู อย่าได้ไปทำให้ผู้คนต้องลำบากใจเลย แค่นภาสวรรค์สามดาวขึ้นไปมันย่อมเท่ากับรนหาที่ตาย”

“ต่อให้มันจะไปกินใจหมีดีเสือที่ไหนมามันก็คงไม่กล้าหรอก?”

“นี่เด็กน้อย เจ้ามีหน้าที่มอบเลือดแท้วิหคชาดให้แม่นางเล้ง ตอนนี้ก็อย่าได้ยอมเสียหน้าไปทำตัวเท่อวดสาวหน่อยเร็ว”

เมื่อฉูชิงเปิดปากพูดมันก็ทำให้เหล่าคนหนุ่มหลายคนมาร่วมวงบีบล้อมเย่หยวนด้วย

ในสายตาของพวกเขาทั้งหลายแล้วฉูชิงและเล้งชิวหลิงนั้นเป็นคนที่มีดวงชะตายิ่งใหญ่อย่างแท้จริง การเดินทางมาในครั้งนี้พวกเขาทั้งสองเองก็เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่ได้รับประโยชน์กลับไปมากที่สุดด้วย

ส่วนเย่หยวนนั้นเป็นได้แค่ตัวตนไร้ค่า

ที่ว่ามอบเลือดแท้วิหคชาดให้นั้นมันมีใครบ้างที่ได้เห็น?

ที่ว่าสังหารซัวหานด้วยดาบเดียวเองก็ดี เรื่องนั้นพวกเขาทั้งหลายเองก็ไม่ได้เชื่ออย่างเต็มอก

นภาสวรรค์สามดาวนั้นสุดท้ายก็ยังเป็นแค่นภาสวรรค์สามดาว หากพวกเขาทั้งหลายไม่ได้เห็นพลังด้วยตาตนเองมันย่อมไม่มีใครเชื่อลงว่าเย่หยวนจะสังหารซัวหานได้

ต่อให้สังหารได้จริงมันก็คงใช้วิธีการเล่ห์กลใดๆ สักอย่าง!

แน่นอนว่าแม้จะได้ยินคำยุยงเช่นนั้นเย่หยวนก็ย่อมไม่คิดหวั่นไหว เขาแค่ตอบกลับไป “ข้าว่าเจ้ามากกว่าล่ะมั้งที่ปอดแหก?”

ฉูชิงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกทันที “เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นพวกไม่เอาไหนอย่างนั้นหรือ?”

“เจ้าคิดอยากสังหารข้าด้วยค่ายกลดาบสังหารสวรรค์แต่กลับมาใช้วิธีบีบบังคับโง่ๆ เช่นนี้ ไม่เรียกว่าขยะแล้วจะให้เรียกว่าอะไร? หากเจ้ากล้าท้าทายข้าว่าใครกันที่จะผ่านระดับไปได้สูงกว่ากัน ข้าคงมองเจ้าดีกว่านี้ได้หน่อย” เย่หยวนบอก

ฉูชิงหน้าเปลี่ยนสีสลับไปมาระหว่างขาวและเขียว ตอนนี้แผนการทั้งหลายทั้งสิ้นของเขาถูกเย่หยวนมองออกมาในพริบตา

“ว่ามาขนาดนี้แล้วเจ้ามันก็ยังคงปอดแหกไม่กล้าที่จะเข้าค่ายกลดาบ!” ฉูชิงร้องบอกในที่สุด

ค่ายกลดาบนี้มันมีพลังที่สุดแสนรุนแรงจนทำให้นักยุทธ์อย่างคนกลัวหัวหด

เหล่านภาสวรรค์ที่อ่อนแอหน่อยตอนนี้พวกเขาย่อมล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปด้านในแล้ว พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถผ่านสามระดับแรกไปได้เสียด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้นฉูชิงจึงคิดว่าพลังฝีมืออย่างเย่หยวนเองก็คงไม่กล้าเข้าไปในค่ายกลดาบเช่นกัน

เย่หยวนหัวเราะออกมา “หากเจ้าอยากเล่นขนาดนั้นข้าก็ย่อมจะสนองให้ เจ้าไปท้าทายก่อนเลย หากระดับที่ข้าผ่านได้มันน้อยกว่าเจ้าแล้วเรื่องราวภายหลังนี้ข้าจะไม่ขอเข้าร่วมด้วย”

“เย่หยวน เจ้าอย่าพูดเช่นนั้น!” เล้งชิวหลิงหน้าถอดสีร้องบอกทันที

นางรู้ดีว่าเย่หยวนนั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ แต่พลังของค่ายกลดาบนี้แม้แต่จีคังก็ไม่อาจกล้าจะท้าทายต่อไปถึงระดับเจ็ด แค่นี้ก็แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่ามันน่ากลัวเพียงใด

คำท้าของเย่หยวนนี้มันอาจทำให้เขาต้องตายลง

ฉูชิงหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ย่อมได้ ข้าจะขอตัวไปท้าทายมันก่อนล่ะ! ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าได้กลัวจนฉี่ราดไปก่อนล่ะ! ฮ่าๆ”

ตามมาด้วยเสียงโห่จากรอบทิศเพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้ชอบการ ‘ท้าทาย’ นี้ของเย่หยวนเลย

ได้ยินคำท้าอันน่าขันของเย่หยวนฉูชิงก็ย่อมตื่นเต้นดีใจขึ้นอย่างมาก

ตอนนี้เขาจะสามารถทำให้เย่หยวนเสียหน้าของเล้งชิวหลิงได้แล้ว

ฉูชิงเองก็มิใช่คนที่อ่อนแอนัก เขารีบกระโดดก้าวเข้าไปในค่ายกลดาบสังหารสวรรค์อย่างฉับพลัน

เมื่อเข้ามาในค่ายกลดาบแล้วเขาก็พบกับดาบแสงมากมายที่เข้าปะทะ

ฉูชิงนั้นมีพลังฝีมือที่ไม่อ่อนแอ แน่นอนว่าของเช่นนี้มันย่อมไม่สามารถที่จะสร้างบาดแผลใดๆ ให้แก่เขาได้

“พี่ฉูช่างมีพลังฝีมือสูงล้ำฟ้า!”

“เขานั้นผสานแนวคิดแห่งดาบเข้ากับแนวคิดแห่งสายฟ้าและไฟ สองยอดแนวคิด แถมตอนนี้เขายังหลอมเลือดแท้พยัคฆ์ขาวมาได้ แน่นอนว่าพลังฝีมือของเขามันย่อมพัฒนาขึ้นอย่างเหนือล้ำ”

“สามระดับแรกไม่น่าจะเป็นปัญหาแน่ ตราบเท่าที่เขาสามารถผ่านสามระดับแรกไปได้ มันย่อมหมายความว่าเย่หยวนต้องผ่านไปถึงระดับหก! หึ ไอ้เด็กคนนั้นมันคงกลัวจนขี้หดตดหายหมดแล้วล่ะมั้ง”

พลังของค่ายกลดาบสังหารสวรรค์นั้นถูกจัดขึ้นตามกำลังโดยรวมของนักยุทธ์ เมื่อคนแกร่งเข้ามามันก็จะรุนแรง เมื่อคนอ่อนแอเข้ามามันก็จะเบาบาง

ฉูชิงนั้นมีความเข้าใจในแนวคิดอย่างลึกล้ำ แน่นอนว่าเขาย่อมสามารถผ่านสามระดับแรกไปได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้น เสียงที่ถามนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้งตามๆ กัน

“ข้าขอท้าทายต่อ!” ฉูชิงกล่าวขึ้นมาอย่างไม่คิดจะหยุดลังเล

ฉูชิงนั้นเลือกที่จะท้าทายค่ายกลต่ออย่างที่ไม่มีใครคาดถึง

มหาค่ายกลที่เงียบสงบลงจึงกลับมาบ้าคลั่งอีกครั้ง

ดาบแสงที่พุ่งเข้ามาหาฉูชิงเองก็รุนแรงขึ้นกว่าก่อนอย่างมากมาย

…………………………