บทที่ 119 ยากระตุ้นใจ
สิ่งแรกที่ซูเฉินเห็นเมื่อเข้าไปยังปราสาทคือโถงหลักที่กว้างขวางและโอ่อ่าอย่างน่าเหลือเชื่อ
ทางด้านหน้าสุดของโถงหลักเป็นรูปปั้นของหญิงสาว ภายในเข้าไปอีกคือโต๊ะบูชาที่มีสิ่งของ 3 ชิ้นวางอยู่
ตรงกลางเป็นผลึกที่ปิดผนึกขนนกสีทองไว้ข้างใน มันคือขนนกศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
ขนนกศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกประทานมาโดยหมู่เทพ ทำให้พวกมันเปี่ยมไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่เพราะทวีปต้นกำเนิดนั้นไร้ซึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังศักดิ์สิทธิ์ของขนนกนี้จึงไม่สามารถถูกฟื้นฟูขึ้นได้เมื่อมันถูกใช้ไปแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น แต่มันยังจำเป็นต้องถูกปิดผนึกไว้อีกด้วย ไม่เช่นนั้น พลังของขนนกจะเริ่มซึมหายออกอย่างช้า ๆ
เยี่ยเสิ่นหยางได้นำพลังขีดสุดของขนนกศักดิ์สิทธิ์ออกมาโดยไม่เต็มใจก่อนหน้านี้เพราะการพึ่งพาพลังต้นกำเนิดที่ประทานจากขนนกศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียวนั้นมีมูลค่าน้อยกว่าการนำมันออกมาทั้งหมด ทันทีที่มันปรากฏขึ้น พลังศักดิ์สิทธิ์ที่มันครอบครองอยู่ก็เริ่มจะรั่วไหลออกมาอย่างย้อนกลับไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ เยี่ยเสิ่นหยางจึงปฏิเสธที่จะใช่ขนนกศักดิ์สิทธิ์เว้นเสียแต่ว่ามันจะจำเป็นจริง ๆ
แต่มันยังเป็นเพราะเขาได้ใช้ขนนกศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยเช่นกัน ขนนกศักดิ์สิทธิ์ของปราสาทจึงสามารถสะท้อนกลับได้และเปิดเผยความจริงของแดนลับแห่งนี้ออกมา
ขนนกศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าชายหนุ่มถูกปิดผนึกไว้ด้วยผลึกชนิดพิเศษที่สามารถพึ่งพาพลังต้นกำเนิดที่เกิดขึ้นจากพลังศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อรักษาตัวของมันเองไว้ได้อีกด้วย
มีสิ่งของอีก 2 ชิ้นตั้งอยู่เคียงข้างขนนกศักดิ์สิทธิ์
หนึ่งในนั้นเป็นสิ่งที่ซูเฉินคุ้นเคยไม่น้อยทีเดียว มันคือโทเทมที่มีจารึกคล้ายสายลมสลักอยู่
โทเทมวิญญาณสายลม
เผ่าคนเถื่อนได้สูญเสียโทเทมของพวกเขามากมายในประวัติศาสตร์นับหลายหมื่นปี พวกมันบางส่วนถูกทำลายลงด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยไป ในขณะที่โทเทมอื่น ๆ ถูกนำไปเป็นเครื่องบรรณาการจากสงคราม โทเทมวิญญาณสายลมนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่ซูเฉินไม่รู้ว่ามันมาจบลงในมือของอวี้ชิงหลานได้อย่างไร
ซูเฉินสุขสำราญใจเมื่อเขาเห็นโทเทมวิญญาณสายลม
โทเทมนี้เป็นของดีทีเดียว โทเทมแห่งพลังได้เพิ่มพลังชีวิตของซูเฉินอย่างมหาศาลทำให้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าคนเถื่อนทั่วไปเสียอีก โชคไม่ดีนักที่วิธีการใช้งานโทเทมนั้นเป็นปริศนา กระทั่งในตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถค้นพบวิธีการใช้โทเทมวิญญาณสายฟ้าได้สำเร็จ
ของชิ้นสุดท้ายเป็นทรงกลมสีแดงที่คายรัศมีที่ทรงพลังของความกระหายเลือดออกมา ซูเฉินไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เขารู้ได้โดยไร้ข้อสงสัยว่าสิ่งของเหล่านี้นั้นมีค่าเป็นอย่างมาก
คนอื่นใดคงจะหยิบเอาสิ่งของเหล่านี้ไปในทันที
แต่ซูเฉินเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น เขายืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ดึงเอาขวดยาเล็ก ๆ ออกมา 2 ขวด แล้วจึงเทขวดหนึ่งลงบนพื้นและอีกขวดลงบนตัวเขาเอง
ยาที่เขาเทลงไปบนพื้นนั้นรู้จักกันในชื่อยากระตุ้นใจ ในขณะที่เขาใช้ยาต้านพิษกับตัวเอง ยานี้จะเพิ่มพูนอารมณ์ความรู้สึกของคนไม่ว่าอารมณ์นั้นจะเป็นเช่นไร คนโลภจะโลภยิ่งขึ้น คนโกรธเกรี้ยวจะโกรธยิ่งขึ้น คนอิจฉาริษยาจะอิจฉามากขึ้น และคนที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังก็จะเกลียดชังมากยิ่งขึ้น
ยากระตุ้นใจนี้จะใช้ได้เฉพาะกับอารมณ์ของคนที่มีอยู่แล้วแต่แรก แม้ว่าผลนี้จะฟังดูไม่น่าประทับใจนัก แต่มันเป็นประโยชน์ทีเดียวเมื่อใช้มันอย่างถูกที่ถูกเวลา
ผู้คนที่เฉลียวฉลาดนั้นฉลาดเพราะพวกเขารู้วิธีการยับยั้งอารมณ์ของตัวเอง ยิ่งสถานะของผู้นั้นยิ่งใหญ่เท่าไร พวกเขาก็จะรู้ว่าจะทำมันให้ดีขึ้นได้อย่างไร
เยี่ยเสิ่นหยางนั้นฉลาดพอที่จะเกี่ยวพันซูเฉินเข้ามาในการต่อสู้ล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการให้โอกาสซูเฉินในการใช้งานเขา
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องยากไม่น้อยสำหรับซูเฉินที่จะได้รับผลประโยชน์อย่างชาวประมง
แต่ในตอนนี้ ด้วยสมบัติของจริงตรงหน้าพวกเขา การรักษาความสงบในจิตใจนั้นเป็นไปไม่ได้ ด้วยยาที่ซูเฉินเพิ่มลงไปเป็นเชื้อเพลิง… มันก็สามารถจินตนาการถึงผลลัพธ์ได้อย่างง่ายดาย
เขาเพียงแค่เทยานั้นลงบนพื้นดินก่อนจะได้ยินเสียงสายลมที่ว่องไวข้างหลังของตนในทันใด
อี่หนี่เก้อและเยี่ยเสิ่นหยางปรากฏตัวขึ้น
ดวงตาของพวกเขาล้วนลุกเป็นประกายอย่างพร้อมเพรียงขณะที่พวกเขาเอื้อมไปหยิบเอาสมบัติทั้ง 3 ชิ้นและไม่สนใจการมีอยู่ของซูเฉินเลยแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนั้นเอง เยี่ยเวิ่นหยางก็ปล่อยธนูล่องหนไปยังอี่หนี่เก้อ และอี่หนี่เก้อก็ปล่อยวิชาอาร์คาน่าไปยังเขา พวกเขาไม่ลืมที่จะโจมตีซูเฉินด้วยเช่นกัน
ซูเฉินเพียงแค่ป้องกันตัวเองและไม่ได้พยายามที่จะโต้ตอบ
ในเวลานี้ ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องจะดึงดูดความสนใจเข้าหาตัวเอง แน่นอนว่าอี่หนี่เก้อและเยี่ยเสิ่นหยางเริ่มปะทะกัน
แม้ว่ายากระตุ้นใจจะเป็นยาระดับหายาก ผลของมันก็ทรงพลังเหลือเชื่อเพราะมันกระทำต่ออารมณ์ที่มีอยู่แล้ว กระทั่งอี่หนี่เก้อ ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากผลของมันไปได้ เขาและเยี่ยเสิ่นหยางจ้องเขม็งกันอย่างโกรธเกรี้ยว
ด้วยสมบัติที่อยู่แค่เอื้อมมือและศัตรูตลอดกาลตรงหน้าของพวกเขา การจะสังหารศัตรูและนำสมบัติไปนั้นมีเหตุผลและถูกต้องอย่างแน่นอน
ณ จุดนี้ หลักเหตุผลและตรรกะได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง สิ่งเดียวที่พวกเขายังนึกถึงอยู่คือการหาข้อได้เปรียบและปลิดชีพอีกฝ่ายเสีย
ซูเฉินถอยหลังออกมาอีก
ไม่ใช่ทุกคนที่จะรักษาท่าทางสงบเสงี่ยมไว้ได้สำหรับสมบัติที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้
แต่ซูเฉินทำได้
เขาเห็นเพียงแค่คู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้า
สมบัตินั้นถูกใช้เป็นเพียงเหยื่อล่อ เพียงด้วยเหยื่อล่อที่มากพอ พวกเขาจะมุ่งมั่นในการจู่โจมอีกฝ่ายโดยไม่ยั้งมือ
นี่คือเหตุผลที่ซูเฉินถอยออกมายังมุมที่ไกลที่สุดและใช้ราตรีซ่อนเร้นทำให้เขาหายตัวเข้าไปในเงามืดโดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกัน หลี่ต้าวหงและตงชิงหมิงก็พุ่งตรงเข้ามาเช่นกัน
สายตาของพวกเขาต่างเริ่มส่องประกายความโลภเมื่อมองเห็นสมบัติอยู่บนโต๊ะ
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้คนก็เข้ามาภายในปราสาทมากขึ้นอีก ภาพสมบัติเหล่านั้นทำให้พวกเขาสูญเสียสติในการคิดไปสิ้น สิ่งที่มาทดแทนหลักเหตุผลของพวกเขาคือความต้องการที่จะปล่อยการโจมตีที่ดุร้ายใส่ศัตรูของพวกเขา
แม้ว่าซูเฉินจะไม่ได้โจมตี ปรสิตจอมตะกละและสิ่งมีชีวิตปีศาจที่เขาพามาด้วยก็ออกฆ่าฟันไปตามหมู่ผู้คนอย่างอิสรเสรีและเข้าร่วมไปกับการต่อสู้ที่โหดร้ายนี้
ซูเฉินนั่งลงที่มุมและมองศึกแสนดุเดือดที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขา หัวใจของเขานั้นสงบนิ่งและมั่นคงอย่างถึงที่สุด
ความสงบนี้ไม่ได้มาจากเพียงตัวยาเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะแนวคิดที่เหนือธรรมชาติของเขาต่อสมบัติเหล่านั้นอีกด้วย
ทัศนคติของซูเฉินต่อสมบัติที่สำคัญยิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในความไม่แยแสเพราะเขาตั้งมั่นอยู่กับการเสาะหาความรู้
อี่หนี่เก้อก็เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้ให้คุณค่ากับความรู้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสมบัติเหล่านี้ เขาก็ไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้อีกต่อไป ในอีกคำพูดหนึ่ง เขาคิดว่าเขานั้นไม่แยแส แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ไม่เช่นนั้น ยากระตุ้นใจคงจะไม่ส่งผลต่อเขาถึงเพียงนี้
ซูเฉินมองดูอย่างใจเย็นขณะที่การฆ่าฟันดูจะดุเดือดมากขึ้นและมากขึ้น
ทุกวินาทีมีผู้คนตายเป็นจำนวนมาก
นักรบสละชีพของหลี่ต้าวหง ผู้ติดตามของตงชิงหมิง สมาชิกมือแห่งโชคชะตา และศิษย์นิกายแห่งพระแม่ต่างก็มีชะตากรรมร่วมกัน พวกเขาแตกต่างกันแค่ในเชิงของความแข็งแกร่งเท่านั้น
สมบัติทั้งสามในโถงหลักนั้นช่างเป็นเหยื่อล่อที่เย้ายวนใจเหลือเกิน มากเกินพอที่จะให้ทุกคนเริ่มสังหารกันเองโดยไม่มีโอกาสที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย !
สงครามนั้นมีแต่จะเข้มข้นขึ้นและเข้มข้นขึ้น อี่หนี่เก้อเริ่มสำแดงพลังเต็มขั้นออกมาในที่สุด
เขาเริ่มพึมพำคำสาปด้วยเสียงแผ่วเบา ท่วงทำนองคำสาปแปลกประหลาดนี้แผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูอากาศด้วยรัศมีที่ลึกลับและน่าขนลุก
เยี่ยเสิ่นหยางรู้สึกได้ว่าบางสิ่งผิดแปลกไปและเรียกใช้ขนนกศักดิ์สิทธิ์ในทันที
ยิ่งขนนกศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดเผยออกมานานเท่าไร พลังของมันก็จะยิ่งแผ่ขยายออกไปรวดเร็วขึ้นเท่านั้น
คนอื่น ๆ คงจะกระหายการเอาตัวเองเข้าไปในศึกนี้ แต่ซูเฉินเพียงแค่จ้องมองต่อไปอย่างเยือกเย็นเท่านั้น
แสงสว่างจากขนนกศักดิ์สิทธิ์กำลังป้องกันเสียงปีศาจของอี่หนี่เก้อ แต่ในคราวนี้อี่หนี่เก้อกำลังโจมตีไปยังทุกคนโดยรอบ ทำให้แม้เยี่ยเสิ่นหยางอาจสามารถต่อต้านผลของคำสาปได้แต่คนอื่น ๆ อาจไม่ ลูกน้องของเยี่ยเสิ่นหยางและหลี่ต้าวหงกู่ต่างร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่คำสาปนั้นดังขึ้นในหูทำให้พวกเขาเสียชีวิตลงอย่างน่าอนาถ
เมื่อเขาเห็นดังนั้น ท่าทีของเยี่ยเสิ่นหยางก็ลุกเป็นฟืนเป็นไฟ “คิดว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่มีทักษะเช่นนี้หรือ ? ขนนกศักดิ์สิทธิ์ทำงาน !”
แสงสวรรค์สีทองฉายขึ้นด้านหลังเขา กระทั่งซูเฉินก็ได้รับผลกระทบไปด้วย แต่เขาก็กัดฟันทนและปฏิเสธที่จะตอบโต้เพื่อหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจโดยไม่จำเป็น
แต่สมาชิกของมือแห่งโชคชะตาทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก
กระทั่งผู้ติดตามของตงชิงหมิงก็ติดอยู่ในความโกลาหลนี้ด้วย
ตงชิงหมิงเดือดดาล “คิดว่าเจ้ามีทักษะแบบนั้นคนเดียวหรือ ? ข้าก็มี… ระเบิดให้ข้า !”
หุ่นเชิดที่เขาออกคำสั่งเริ่มระเบิดตัวทันที และคลื่นพลังที่รุนแรงก็เริ่มแผ่ซ่านออกไปทั่วทุกทิศทาง
หลี่ต้าวหงเองก็โกรธเกรี้ยวเช่นกัน การโจมตีของตงชิงหมิงและอี่หนี่เก้อไม่ได้ไว้ชีวิตเขาเลยแม้แต่น้อย และเขาได้สูญเสียนักรบสละชีพไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากผู้ติดตามของเขากำลังจะถูกสังหารแม้ว่าพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องในศึกนี้ งั้นมันคงจะดีกว่าหากพวกเขาได้เสียชีวิตไประหว่างการต่อสู้ ! หลี่ต้าวหงแผดเสียงกร้าว “นักรบสละชีพ มอบชีวิตของพวกเจ้าให้แก่ข้า !”
นักรบสละชีพของหลี่ต้าวหงต่างยกมือขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนที่จะทิ่มแทงนิ้วมือเข้าไปในดวงตาของตนเอง
ในพริบตาเดียวเท่านั้น นิ้วมือของพวกเขาก็ทะลุผ่านเบ้าตาไป
ขณะที่เลือดพุ่งกระฉูดออกไปในท้องฟ้า นักรบสละชีพเหล่านั้นก็เริ่มกลับกลายเป็นรูปร่างไร้ตัวตนของฝันวิจิตร ภาพจางเหล่านั้นพุ่งเข้าไปภายในร่างของหลี่ต้าวหงและนำร่างของฝันวิจิตรออกมาสู่ความเป็นจริง ฝันวิจิตรคำรามอย่างบ้าคลั่งขณะที่คลื่นเสียงทะลวงจิตใจที่ทรงพลังดังสนั่นไปทั่วทุกหนแห่ง ทุกคนที่นั่นรวมทั้งซูเฉินและอี่หนี่เก้อต่างก็รู้สึกได้ว่าจิตของตนกำลังสั่นไหว
คลื่นพลังจิตที่ทรงพลังอย่างน่าตกใจเริ่มลุกลามออกไปทุกพื้นที่ราวกับไฟป่า
กระทั่งซูเฉินผู้กำลังใช้วิชากำแพงใจก็ยังไม่สามารถหลบเลี่ยงอิทธิพลของมันได้สำเร็จ ท่าทางของอี่หนี่เก้อและเยี่ยเสิ่นหยางดูหมองหม่นลงและมนุษย์กับเผ่าปักษาตนอื่น ๆ ต่างก็กู่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดสาหัส กระทั่งปรสิตจอมตะกละและสิ่งมีชีวิตปีศาจเหล่านั้นผู้ไม่เกรงกลัวต่อพลังต้นกำเนิดก็ต้องกรีดร้องออกมาเพราะบาดแผลเช่นกัน
สมุนเหล่านี้ต่างก็ไม่อ่อนแอเลยสักนิด แต่การใช้งานไม้ตายลับหลายต่อหลายครั้งนั้นก่อให้เกิดการโจมตีที่ซ้อนทับกันมากมาย กระทั่งผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถทนทานต่อการปะทะได้และสิ้นลมหายใจไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อคลื่นพลังต้นกำเนิดที่หนาแน่นอย่างเหลือเชื่อพลุ่งพล่านออกไปครอบคลุมทั่วทั้งสนามรบและส่งผู้คนลอยไปทั่ว กระทั่งตัวปราสาทเองก็ทำได้เพียงคร่ำครวญภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้
เมื่อความโกลาหลหยุดลงแล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่จากแต่ละฝ่าย
หลี่ต้าวหงยังมีผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน 1 คน และผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ 2 คนอยู่เคียงข้างเขา ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินยังอยู่ในสภาพที่พอใช้ได้นั้น ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณทั้งสองต่างก็อยู่ในสภาพย่ำแย่
ฝ่ายตงชิงหมิงนั้นน่าเศร้ายิ่งกว่า เขามีเพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 คนเดียวอยู่ข้าง ๆ อย่างไรแล้วเผ่าปักษาก็มีร่างกายที่อ่อนแอกว่ามนุษย์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะรอดอยู่ได้นานกว่ามนุษย์
สานุศิษย์ชาวปักษาของเยี่ยเสิ่นหยางก็ไม่ต่างกัน มีเพียงหนึ่งในหัวหน้าบาทหลวงและผู้อารักขาอีก 3 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต ส่วนทางฝ่ายของมือแห่งโชคชะตานั้นมีเพียงรองหัวหน้าและอาจารย์ 3 คนที่ยังมีลมหายใจอยู่
ซูเฉินดูคงจะเป็นคนเดียวที่สูญเสียไปน้อยที่สุด
ปรสิตจอมตะกละและสิ่งมีชีวิตปีศาจล้วนมีพลังชีวิตที่ทรงพลังถึงขีดสุด ดังนั้นแล้วแม้ว่าพวกมันจะบาดเจ็บอย่างรุนแรงด้วยพลังอันท่วมท้นนี้ พวกมันก็ยังคงมีชีวิตอยู่
สำหรับซูเฉินแล้ว เขาคงจะเป็นคนเดียวที่สามารถหลบหนีจากสถานการณ์นั้นได้อย่างไร้รอยขีดข่วน
เขาคงจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบ
ชายหนุ่มรักษาระยะห่างจากการต่อสู้ที่วุ่นวายและมุ่งพลังของเขาทั้งหมดไปกับการปกป้องตนเอง หากเขาบาดเจ็บสาหัสจากสิ่งนี้ก็คงจะเป็นเรื่องน่าอับอายเกินไป
ถึงอย่างนั้น เขาก็อาจสามารถแน่ใจได้ว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถซ่อนตัวต่อไปได้
การโจมตีนี้ทำลายการแฝงตัวของเขาลงและกระทั่งบดขยี้หน้ากากของชายหนุ่มและฉีกซูเฉินออกมาจากกำบัง
การปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของซูเฉินอย่างกะทันหันดึงดูดความสนใจของทุกคนไป
ไม่แปลกเลย อย่างไรแล้วผู้ร่วมต่อสู้หลายคนก็ถูกสังหารไปโดยกระแสพลังที่รุนแรงนั้น มันจึงได้ชะล้างส่วนสุดท้ายของยาที่ซูเฉินทิ้งไว้อีกด้วย
คนทั้ง 4 กลุ่มที่ยังอยู่นึกถึงซูเฉินขึ้นมาทันทีที่พวกเขาหลบหนีออกมาจากอิทธิพลของยากระตุ้นใจนั้นได้สำเร็จ
หรือบางทีอาจจะแม่นยำกว่าหากพูดว่าพวกเขาไม่เคยลืม แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้การควบคุมอารมณ์กลับคืนมาแล้ว พวกเขาก็สามารถมีสติกลับมาได้อีกครั้ง
เมื่อได้เห็นซูเฉินผู้ไร้ซึ่งหน้ากาก ตงชิงหมิงและหลี่ต้าวหงต่างก็ตะโกนออกมา “เจ้าเองหรือ ? มนุษย์ ?”
เยี่ยเสิ่นหยางและอี่หนี่เก้อก็กล่าวอย่างประหลาดใจเช่นกัน “เหอหยาง !”