ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 11 คนแรกของวิถีวิญญาณ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็กวาดเอาเผ่ามรณะทมิฬที่มีอยู่แทบทั้งหมดไป บ้างก็ตาย บ้างก็หนี ผู้อาวุโสใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็พลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล พลังคุกคามต่อจอมกระบี่ก็มิได้มากมายถึงเพียงนั้นแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ต้านทานการปะทะพลางมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเดือดดาล

 

“นี่มัน…”

 

ถ้าหากพูดถึงจอมกระบี่และบรรพชนแมลง ก็ยังนับได้ว่าเตรียมใจเอาไว้อยู่บ้าง เช่นนั้นเหล่าผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดที่เหลืออยู่กลุ่มหนึ่งของเผ่าเซวี่ยเหยียนนี้กลับยินดีจนแทบคลั่งอย่างยากที่จะเชื่อได้แล้ว!

 

“จู่ๆ ก็โดนกวาดไปเช่นนี้น่ะหรือ”

 

“เป็นจ้าวหิมะเหินผู้นั้นหรือ”

 

“เขา…ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญทั้งสามคน แต่กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

 

พวกเขาตื่นเต้นหาใดเปรียบ!

 

คราวนี้พวกเขาเดิมพันด้วยชะตาของทั้งเผ่าเซวี่ยเหยียน หากสำเร็จ เผ่าเซวี่ยเหยียนก็ยังมีหวังที่จะได้ลุกขึ้นแล้วกลับไปยังบ้านเกิด หากล้มเหลว เช่นนั้นก็จบสิ้นจริงๆ เสียแล้ว เกรงว่าเผ่าเซวี่ยเหยียนก็จะเลือนหายไปเหมือนกับชนพื้นเมืองเผ่าอื่นๆ บางกลุ่มในประวัติศาสตร์ เมื่อครู่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามต้องการจะร่วมมือกับเหล่าอ๋องกลุ่มหนึ่งล้อมโจมตีพวกเขา ก็ทำให้พวกเขาทำการต่อสู้ครั้งสุดท้ายอย่างสิ้นหวังแล้ว

 

ใครจะไปคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน! ฟ้าหลังฝนช่างแสนสดใส!

 

“เร็ว เร็วเข้า รีบไปที่ดินแดนชนเผ่าเร็วเข้า รีบไปคว้าผลวิญญาณทิพย์มาครองก่อนที่จักรพรรดิแห่งเผ่ามรณะทมิฬจะฟื้นตื่น!” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงเร่งเร้า

 

“เร็วเข้า!”

 

“ดินแดนชนเผ่า!”

 

บรรดาชนพื้นเมืองเหล่านี้แต่ละคนบ้าคลั่ง พุ่งตรงไปยังดินแดนชนเผ่าภายใต้การนำของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้อย่างบ้าคลั่ง

 

นี่เป็นการแข่งกับเวลา! เมื่อใดที่จักรพรรดิของเผ่ามรณะทมิฬปรากฏตัว เช่นนั้นก็จะน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่เสียอีก!

 

“เสวี่ยอิง เหตุใดมือสังหารผู้นี้ของเจ้าจึงได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้เล่า เกรงว่าบรรพชนฝานมาสำแดง ผลลัพธ์ก็ยังไม่แน่ว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยกระมัง!” พร้อมกันกับที่จอมกระบี่ต้านทานผู้อาวุโสใหญ่ สู้ไปพลาง มุ่งตรงไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงเอ่ยถามไปด้วย

 

ยามต่อสู้ สามารถแบ่งจิตใจมาสนทนาได้ด้วย เห็นได้ว่าตอนนี้จอมกระบี่ก็ผ่อนคลายเป็นอย่างมากแล้วจริงๆ

 

“พี่ใหญ่หิมะเหิน นี่ช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ถึงแม้ในข้อมูลจะบอกว่าเผ่ามรณะทมิฬค่อนข้างจะอ่อนแอทางด้านปณิธานวิญญาณอยู่สักหน่อย แต่นี่ท่านก็มากมายเกินจริงไปเสียแล้ว” บรรพชนแมลงยากที่จะเชื่อได้

 

“เมื่อครู่ข้าก็พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ สูญสิ้นสติรับรู้ จากนั้น ‘อ๋อง’ แปดคนที่ถูกผลาญสังหารวิญญาณต่างก็แปลงร่างกลายเป็นไอหมอกสลายหายไป เหลือเอาไว้เพียงแค่อาวุธต่างๆ ทิ้งเอาไว้เท่านั้น อย่างเช่น ‘กรงเล็บสีแดงโลหิตอันแปลกประหลาด’ ‘ไม้เท้าที่ดูธรรมดาๆ อันหนึ่ง’ ซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บวัตถุเหล่านี้ขึ้นมาตามอำเภอใจ

 

เผ่ามรณะทมิฬเป็นชนเผ่าที่เชาวน์ปัญญาต่ำต้อยอย่างที่สุด

 

เกือบทั้งหมดของชนเผ่า ยามที่มองดูผู้มาจากภายนอกทั้งหมดทั้งมวล ต่างก็มีเพียงแค่การประเมินว่า ‘กินได้’ กับ ‘กินไม่ได้’ ราวกับสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น! มีเพียงระดับสุดยอดของชนเผ่าเท่านั้นที่นับว่าเชาวน์ปัญญายังพอใช้ได้ แต่ก็คิดจะสังหารผู้มาจากภายนอกทั้งหมดทั้งมวลลูกเดียวเช่นกัน! ยากที่จะร่วมมือด้วยได้

 

อย่างเช่นชนพื้นเมืองยังสามารถร่วมมือด้วยได้ หรือแม้กระทั่งทำข้อตกลง ทำการแลกเปลี่ยนกัน

 

แต่เผ่ามรณะทมิฬน่ะหรือ

 

แม้กระทั่งภายในเผ่ามรณะทมิฬ เกือบทั้งหมดก็ราวกับสัตว์เดรัจฉาน ต่างก็กลืนกินซึ่งกันและกัน ที่พักอาศัยของพวกมันก็หยาบแสนหยาบ แต่โดยทั่วไปแล้ววัตถุสำหรับทำอาวุธล้วนไม่ธรรมดา! ถ้ามิได้ฟูมฟักออกมาด้วยตนเอง เช่นนั้นก็เป็นวัตถุวิเศษบนเกาะลอยคว้าง

 

“ถึงแม้ว่าเผ่ามรณะทมิฬจะมีเชาวน์ปัญญาต่ำต้อย แต่ว่ากันว่าเป็นชนเผ่าที่ฟูมฟักออกมาจากซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้า มีชีวิตที่วิเศษ ต่อให้เชาวน์ปัญญาและระดับจิตใจต่ำต้อยกว่านี้ การต้านทานของวิญญาณต่อโลกภายนอกก็ยังแข็งแกร่งอย่างที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ อ้างอิงจากข้อมูลที่ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักสั่งสมเอาไว้ ถึงแม้ว่าวิญญาณของเผ่ามรณะทมิฬจะมีความพิเศษ แต่เชาวน์ปัญญาและระดับจิตใจต่ำเกินไป ทางด้านการต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณ…

 

กลับมิอาจสู้ผู้บำเพ็ญที่ป่ายปีนขึ้นมาจากผู้อ่อนแอทีละก้าวๆ ได้!

 

แม้กระทั่งเผ่าชนพื้นเมืองที่การต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณค่อนข้างร้ายกาจ ถึงแม้ว่าจะดีกว่าเผ่ามรณะทมิฬอยู่พอสมควร แต่กลับมิอาจเทียบชั้นกับผู้บำเพ็ญได้เลย

 

ผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งที่สุดในด้านระดับจิตใจ

 

“เคล็ดวิชาวิญญาณ โดยทั่วไปแล้วมีผลลัพธ์ดีเป็นที่สุด”

 

“แต่ว่าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่เคล็ดวิชาวิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้นมีอยู่น้อยเสียจนน่าสงสารเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ส่วนใหญ่ยังไม่มีร่างแยกอีกด้วย! ย่อมไม่กล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงอยู่แล้ว”

 

“แต่สมบัติลับล้ำค่าทางด้านวิญญาณที่ไปถึงพลังคุกคามระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง ในท้ายที่สุดแล้วก็มีน้อยนิดยิ่งนัก อยากจะควบคุมและกระตุ้น วิถีวิญญาณก็ต้องไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่ง อีกทั้งเมื่อใดที่สูญเสียร่างแยกไป สมบัติลับล้ำค่าก็ต้องถูกทิ้งไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ถึงแม้ว่าดินแดนจิตโลกาจะรู้กันทั่วว่าเคล็ดวิชาวิญญาณจัดการเผ่ามรณะทมิฬให้ผลลัพธ์ดียิ่ง แต่ก็ยังยากนักที่จะใช้ในบริเวณกว้างขวาง

 

เคล็ดวิชาระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง โดยทั่วไปแล้วก็จะมีผลต่อระดับ ‘อ๋อง’ ในเผ่ามรณะทมิฬ

 

กับระดับจักรพรรดิ ก็สามารถมองข้ามไปได้เลย

 

ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาโจมตีหมู่ที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ทั้งยังเป็น ‘มือสังหาร’ ที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย! การโจมตีหมู่อาศัยตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนการตอบสนองผู้แกร่งกล้าที่สุดก็ยกให้จอมกระบี่แล้ว!

 

“ที่แท้วิถีเขตลวงโลกเทียมของเสวี่ยอิงไปถึงระดับขั้นใดแล้วกันแน่” จอมกระบี่อดที่จะแอบคิดมิได้

 

เขารู้เพียงแค่ว่า

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยตำราวิถีเขตลวงโลกเทียมทำข้อตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุจนได้ของอย่างดอกบัวเพลิงห้วงอากาศและเม็ดทรายอลวนหนึ่งแสนชั่งมาครอง

 

แต่กลับไม่รู้เลยว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ได้ผสานรวมสี่สายทางด้าน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ไปแล้ว กำลังผสานรวมสายที่ห้าอยู่ กระทั่งเพราะว่าตอนที่ช่วยเหลือสรรพชีวิตซึ่งถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กดขี่เป็นทาส ก็ยิ่งตระหนักรู้ทางด้านวิถีวิญญาณ มีแนวทางอันแม่นยำในการผสานรวมสายที่ห้าแล้ว ทางด้านวิถีวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงที่ดินแดนจิตโลกาเลย แม้จะดูในโลกกำเนิดจำนวนมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังยืนอยู่ที่จุดยอดสุดอยู่ดี

 

เป็นคนแรกของวิถีวิญญาณที่ดินแดนจิตโลกาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง!

 

เช่นสมบัติลับล้ำค่าอย่าง ‘อาภรณ์ราชันย์มาร’ นี้ เป็นเพียงแค่สองสายผสานรวมกันเท่านั้น!

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ที่ห้าสายต่างก็เริ่มค่อยๆ ผสานเข้าด้วยกันแล้ว… เขาสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอย่างสุดกำลัง ผลลัพธ์ก็ย่อมล้ำเลิศที่สุดเท่าที่ดินแดนจิตโลกาเคยมีมาอยู่แล้ว!

 

“อย่าเพิ่งด่วนดีใจเร็วไปนักเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “เมื่อมือสังหารผู้นี้ของข้าออกมา

 

แน่นอนว่าจะต้องทำให้เผ่ามรณะทมิฬตื่นตระหนก เกรงว่าพวกเขาจะต้องไปปลุกจักรพรรดิของพวกเขาขึ้นมาเสียแล้ว! แม้กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ผู้นี้ เมื่ออยู่ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของข้าก็ยังคงสามารถรักษาพลังเอาไว้ได้ถึงห้าส่วนเกรงว่าข้าจะส่งผลกระทบต่อจักรพรรดิผู้นั้นต่ำลงไปอีก! ดังนั้นพวกเราก็ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด”

 

“ถูกต้อง”

 

“เร็วๆๆ ข้าไม่อยากจะเผชิญกับจักรพรรดิผู้นั้นเลยจริงๆ”

 

จอมกระบี่โต้ตอบกับผู้อาวุโสใหญ่ไปพลาง เคลื่อนเข้าใกล้ดินแดนชนเผ่าไปพลาง ส่วนอัตราเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก

 

……

 

จักรพรรดิ

 

เกาะลอยคว้างแห่งใดๆ กลุ่มชนเผ่ามรณะทมิฬต่างก็มีจักรพรรดิอยู่คนหนึ่ง มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในทั้งเกาะลอยคว้าง และถือครองทรัพยากรที่ดีที่สุดในเผ่ามรณะทมิฬแต่เพียงผู้เดียว

 

โดยทั่วไปแล้วมักจะบำเพ็ญอยู่ในห้วงนิทราโดยตลอด! อ้างอิงจากข้อมูลที่จอมกระบี่ให้กับพวกตงป๋อเสวี่ยอิง การบำเพ็ญของบรรดาชนเผ่ามรณะทมิฬโดยทั่วไปแล้วล้วนอยู่ในห้วงนิทรากันทั้งสิ้น

 

การกลืนกินก็เป็นการบำเพ็ญอย่างหนึ่ง

 

ดูดซับทรัพยากรอยู่ในห้วงนิทราก็เป็นการบำเพ็ญเช่นกัน

 

ที่เกาะลอยคว้าง อย่าได้คิดที่จะเอาชนะ ‘จักรพรรดิ’ สักคนหนึ่งซึ่งๆ หน้าเลย! ถ้าหากมีพลังยุทธ์อย่างราชันย์อนธการอมตะและจักรพรรดิเซี่ยอาจจะยังสามารถพอสูสีกันได้ แต่สิ่งที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงคิดก็คือสามารถคว้าเอาสมบัติล้ำค่าหนีออกไปจากเกาะลอยคว้างได้ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว

 

“สมควรตาย”

 

“ถึงกับ… ถึงกับมีผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้”

 

“จักรพรรดิ! ปลุกจักรพรรดิสิ!”

 

“ปลุกจักรพรรดิเร็วเข้า!”

 

ณ ดินแดนชนเผ่า

 

‘ระดับอ๋อง’ ที่แกร่งกล้าเป็นที่สุดสามคน ได้แก่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามที่เคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีกลับมา รวมถึงอ๋องฝูซาด้วย หญิงสาวอาภรณ์ดำ‘อ๋องฝูซา’ นับได้ว่าเป็นระดับล่างที่สุดในบรรดาคนทั้งสามแล้ว

 

พลังยุทธ์ระดับพวกเขานี้จึงจะสามารถฝืนคงสติอันแจ่มชัดเอาไว้ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำได้เพียงแค่สำแดงเคล็ดการหลบหนีออกมาเท่านั้น

 

พวกเขาแต่ละคนพรั่นพรึง เดือดดาล และตื่นตระหนกไม่เป็นสุข

 

ปลุกจักรพรรดิ!

 

มีเพียง ‘จักรพรรดิ’ เท่านั้น จึงจะสามารถจัดการศัตรูได้

 

“ปลุกจักรพรรดิหรือ” อ๋องฉี่ตู้ผู้อยู่ที่ตำหนักผู้อาวุโสมองพวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามที่กลับมาอย่างสะบักสะบอมด้วยความตกตะลึง

 

“เร็วเข้า” พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่จักรพรรดินิทราอยู่

 

“เป็นอะไรไปเล่า ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” อ๋องฉี่ตู้ติดตามพวกผู้อาวุโสรองไปพลาง ถามไถ่เหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสามคนไปพลาง

 

“ตายแล้ว เหล่าอ๋องที่ไปด้วยกัน มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ท่านอ๋องคนอื่นๆ ตายไปกันหมดแล้ว” สัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าสีเทาเงินตนหนึ่งส่งเสียงทุ้มต่ำ

 

“อะไรนะ อ๋องคนอื่นๆ ตายไปกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ” อ๋องฉี่ตู้ตื่นตระหนก

 

พลังยุทธ์ของเขานับได้เพียงว่าธรรมดาทั่วไปในบรรดาอ๋องเท่านั้นเอง

 

ถ้าหากไปด้วยกันน่ะหรือ เกรงว่าก็คงต้องตายกระมัง!

 

อ๋องฉี่ตู้ทั้งหวาดหวั่นทั้งตื่นตระหนก

 

“ที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ต่อให้เหล่าอ๋องจะกำราบยอดฝีมือไร้เทียมทานที่ใช้กระบี่ผู้นั้นมิได้ ก็ควรจะต้องมีหวังในการรักษาชีวิตเอาไว้ได้สิ” อ๋องฉี่ตู้ถ่ายเสียงเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าจอมกระบี่ร้ายกาจ เหล่าอ๋องควรต้องระแวดระวังจึงจะถูกต้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคราวนี้แม้กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังออกไปต่อกรเลย

 

“เป็นผู้บำเพ็ญระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองผู้นั้น บอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังยุทธ์อ่อนแอที่สุด! เขาต่างหากเล่าที่น่าหวั่นเกรงที่สุด”

 

“น่าหวั่นเกรง”

 

เหล่าอ๋องที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ เมื่อคิดถึงเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นเคลื่อนใกล้เข้ามา แรงดึงดูดชวนหลงใหลต่างๆ นานา ฉุดลากวิญญาณของพวกเขาเข้าไปในโลกลวงนั้นอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นแล้ว

 

พวกเขาก็เพียงแค่คงสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้เท่านั้น ถ้าหากเวลายาวขึ้นอีกหน่อยก็อาจจะควบคุมไม่อยู่จนติดกับได้เช่นกัน แม้กระทั่งสติสัมปชัญญะและพลังยุทธ์ที่สามารถแสดงออกมาได้ก็ต่ำเสียจนน่าอนาถ

 

ปัง…

 

ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามนำทางเหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสี่คนมาถึงตรงหน้แอ่งน้ำขนาดมหึมาแห่งนั้น ภายในแอ่งน้ำมีของเหลวสีเขียวเข้ม ร่างกายมหึมาสีดำขลับร่างหนึ่งเอนกายอยู่กลางแอ่งน้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วมีขนาดใหญ่เกินไป ผิวกายก็โผล่พ้นผิวของเหลวในแอ่งน้ำออกมา มันอยู่ในห้วงนิทราแต่กลับไม่มีระลอกคลื่นเลยแม้แต่น้อยราวกับร่างไร้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

 

อย่างเช่นผู้บำเพ็ญและเหล่าชนพื้นเมืองต่างก็มิอาจรู้สึกได้ถึงความพิเศษของจักรพรรดิที่อยู่ในห้วงนิทราผู้นี้

 

แต่ผู้ที่เป็นเผ่ามรณะทมิฬเช่นเดียวกันทั้งผู้อาวุโสและเหล่าอ๋องกลับสามารถรู้สึกได้ว่า ‘จักรพรรดิ’ ที่เอนกายอยู่ที่นั่น ซ่อนเร้นพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นเพียงใดเอาไว้ภายในกาย ถ้าหากสามารถกินจักรพรรดิลงไปได้ เกรงว่าพวกเขาก็อาจจะสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาได้บ้างกระมัง ด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขา เกรงว่าคงจะมิอาจทำลายผิวหนังของจักรพรรดิได้เสียด้วยซ้ำ!

 

“จักรพรรดิ” พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามแต่ละคนค้อมศีรษะลงต่ำด้วยความเคารพอย่างที่สุดแล้วเอ่ยปากเรียกจักรพรรดิของพวกเขา!

 

………………………………………………….