บทที่ 663 ควานหาตัวราชันสงคราม

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

สีหน้าของเฟิงฉิงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดขึ้นเรื่อย ๆ ในระหว่างที่เขาตรวจสอบห้วงความทรงจำของทุกคนในเหมืองและไม่พบกับอะไร

ทองคำสีชาดทั้งหมดหายไปไหนกัน?

ในตอนนี้เขาหวังเพียงแค่หานฉีจะได้รับเบาะแสอะไรเพิ่มเติม

หลังจาก 3 วันผ่านไป ในตอนนี้ความทรงจำของหานฉีที่ถูกผนึกไว้ได้ถูกคลายออกหมดแล้ว เขาจึงเริ่มดำเนินการตามแผนต่อไปทันทีโดยการเข้าไปพบกับเฟิงฉิง

“มีความคืบหน้าอะไรบ้างไหม?” เฟิงฉิงรีบถามขึ้น

“ท่านบรรพบุรุษ ข้าได้พยายามสืบหาในทุก ๆ ตารางนิ้วของเมืองขนนกอัคคีแล้วแต่ข้าก็ยังไม่เจอทองคำสีชาดที่หายไปเลย” เมื่อหานฉีสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของเฟิงฉิงเรื่อย ๆ เขาก็รีบพูดขึ้นต่อทันที “แต่มันก็ใช่ว่าข้าจะไม่มีเบาะแสอะไรเลย”

“เบาะแสอะไร?” เฟิงฉิงถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “จงภาวนาว่าเบาะแสของเจ้ามันมีประโยชน์พอ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายตรงนี้ทันที!”

หานฉีรีบพูดขึ้นว่า “ท่านบรรพบุรุษ การที่จะมีใครขโมยทองคำสีชาดไปแบบนี้ได้ คนผู้นั้นจะต้องมีความคุ้นเคยกับเมืองขนนกอัคคีเป็นอย่างมากแน่นอน ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ได้มีกลุ่มคนน่าสงสัยกลุ่มหนึ่งเพิ่งปรากฏตัวขึ้นที่นี่”

“ในกลุ่มคนพวกนั้นมีเด็กสาว 2 คนที่เป็นคนของตระกูลเสี่ยว ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในพวกตระกูลหนิงที่เป็นคนทรยศของพวกเรา”

“เมื่อข้าทราบข่าวว่าพวกนางมาถึงที่เมืองของข้า ข้าจึงพาคนของข้าทั้งหมดเข้าจับกุมพวกนางแต่แล้วข้ากลับพบกับเรื่องราวไม่คาดฝันก็คือในตอนนี้พวกนางกลับกลายเป็นหนึ่งในชนชั้นสูง ซึ่งผู้ที่รับรองให้พวกนางเป็นชนชั้นสูงก็คือ ราชันสงคราม! และก็เป็นราชันสงครามเองที่พาพวกนางมาที่นี่ในครั้งนี้!”

เมื่อได้ยินชื่อราชันสงคราม เฟิงฉิงก็รีบถามขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง “ราชันสงคราม? เจ้าแน่ใจเหรอว่าใช่ราชันสงครามจริง ๆ?”

หานฉีรีบตอบกลับ “ไม่ผิดพลาดแน่นอน ในตอนนั้นผู้อาวุโสชิวไป๋หยูก็อยู่ด้วยกันกับข้าและเขาก็เป็นคนยืนยันว่านางเป็นราชันสงครามจริง ๆ ในรอบนี้ที่ราชันสงครามกลับมา นางไม่ได้กลับมาเพียงคนเดียวแต่นางยังพาเหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมากับนางด้วย แต่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนางก็ได้พากลุ่มของนางออกไปจากเมืองของข้าแล้ว”

“จากที่ข้าสันนิษฐาน ตระกูลเสี่ยวนั้นอยู่อาศัยที่เมืองนี้มาเป็นเวลานานตั้งแต่รุ่นก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยกับเมืองนี้เป็นอย่างมากแถมก่อนหน้านี้ เสี่ยวถิงไห่และภรรยาของเขาก็เป็นผู้ที่ทำงานอยู่ในเหมือง พวกเขาจึงคุ้นเคยกับเหมืองเป็นอย่างดีเช่นกัน ดังนั้นการที่จะมีใครสามารถขโมยทองคำสีชาดไปได้แบบนี้ กลุ่มของราชันสงครามจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดเพราะในกลุ่มของพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันอยู่ถึง 2 คน ซึ่งในเมืองของข้าไม่มีใครมีระดับการบ่มเพาะสูงขนาดนั้น”

“ดังนั้นการที่จะมีใครสามารถลอบเข้าไปในเหมืองและขโมยทองคำสีชาดออกมาโดยไม่มีใครรู้ตัวได้นั้น มันจึงมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถทำได้!”

หานฉีอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ และวิเคราะห์ข้อสรุปในคราวเดียว

ความหมายของเขาทั้งหมดที่ต้องการจะสื่อก็คือมันเป็นกลุ่มของราชันสงครามแน่นอนที่ขโมยทองคำสีชาดไป

เฟิงฉิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาถึงขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “มันมีประโยชน์อะไรที่ราชันสงครามจะขโมยทองคำสีชาดไป?”

หานฉีพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านบรรพบุรุษ ข้าได้ยินมาว่าราชันสงครามนั้นมีอุปลักษณะนิสัยไม่เหมือนใครเลย นางอาจจะวางแผนการบางอย่างไว้ก็เป็นได้”

เฟิงฉิงมองไปที่หานฉี และพูดขึ้นว่า “จงหยุดกิจการทุกอย่างของเหมืองทองคำสีชาดเอาไว้ก่อนชั่วคราว อย่าเพิ่งทำอะไรกับเหมืองในตอนนี้”

หลังจากพูดจบ เฟิงฉิงก็รีบกลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์ในทันที

แทบจะในทันทีที่เฟิงฉิงกลับถึงภูเขาฟีนิกซ์ การประชุมลับก็บังเกิดขึ้นในภูเขาฟีนิกซ์ทันที

“ราชันสงครามต้องการทำอะไรกันแน่? ทำไมนางต้องขโมยทองคำสีชาดไปจนหมดด้วย?” ชายชราผู้หนึ่งตะโกนด้วยความเดือดดาล

“ยังต้องหาคำอธิบายอะไรอีก? นางก็แค่อยากกลับมามีอำนาจอีกครั้งยังไงล่ะ! แต่นางรู้ดีว่ามันมีหลายคนที่ไม่ชอบวิธีการของนางสักเท่าไหร่ นางจึงสร้างสถานการณ์ขโมยทองคำสีชาดเอาไปซ่อน แล้วจากนั้นนางก็จะแสร้งทำเป็นว่านางหาพวกมันเจอเพื่อได้รับการสนับสนุนจากคนอื่น ๆ ในเผ่า!”

“ถ้างั้นนางก็ดูถูกพวกเรามากไปแล้ว นางคิดว่าพวกเราจะสนับสนุนนางให้นั่งบนบัลลังก์ได้ง่าย ๆ เพราะเรื่องแค่นี้น่ะเหรอ!?”

“นี่พวกท่านพลาดประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งไปรึเปล่า? มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากราชันสงครามไม่ได้เป็นคนขโมยไปจริง ๆ?”

“มันจะเป็นใครไปได้นอกจากนาง? ในอดีตเวลานางทำอะไรนางก็ชอบทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้อยู่ตลอด…”

ชายชราผู้หนึ่งที่กำลังมองดูกลุ่มคนทั้งหลายกำลังเถียงกันพัลวัน เขาก็กระแอมขึ้นหนึ่งครั้ง ส่งผลให้บรรดาผู้คนที่กำลังเถียงกันเงียบลงและหันไปมองชายชราทันที

หนึ่งในกลุ่มคนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “บรรพบุรุษเฟิงอู่ พวกเราควรจะยังไงต่อกับสถานการณ์นี้ดี?”

เฟิงอู่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ในตอนนี้เรื่องการกลับมาของราชันสงครามนั้นเป็นเรื่องรอง ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าราชันสงครามไม่ได้ขโมยไปแต่เป็นผู้อื่นที่ขโมยทองคำสีชาดไปทั้งหมดพวกเราภูเขาฟีนิกซ์จะสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำเป็นอันดับแรกก็คือการปิดผนึกอาณาเขตฟีนิกซ์ทั้งหมดจนกว่าเราจะหาทองคำสีชาดที่หายไปเจอ”

“ใช่ พวกเราควรปิดผนึกอาณาเขตฟีนิกซ์ก่อนเป็นอันดับแรก!” ใครบางคนตะโกนขึ้น

จากนั้นเมื่อทุกคนลงความเห็นกันจนเป็นเอกฉันท์ เมืองลอยฟ้าก็สำแดงอำนาจของมันผนึกอาณาเขตฟีนิกซ์ทั้งหมดไว้ด้วยกำแพงพลังวิญญาณที่เชื่อมต่อกับกระจกฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ทันที

“ตอนนี้อาณาเขตฟินิกซ์ทั้งหมดถูกผนึกแล้ว ต่อไปก็ส่งคนไปที่เมืองขนนกอัคคีอีกรอบเพื่อสืบเรื่องทองคำสีชาดที่หายไปอีกครั้ง” เฟิงอู่พูดขึ้น “และอีกอย่าง หาตัวราชันสงครามให้เจอด้วยเช่นกัน”

ในเมื่อราชันสงครามปรากฏตัวขึ้นแล้ว มันไม่สำคัญว่าราชันสงครามจะขโมยทองคำสีชาดไปหรือไม่ ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องหาตัวราชันสงครามให้เจอ จากนั้นเมื่อเจอตัวแล้ว เขาก็ค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเอายังไงต่อกับราชันสงคราม

“แล้วพวกเราจะทำยังไงเมื่อเจอกับราชันสงครามแล้ว?” ใครบางคนถามขึ้น “วิธีการปกครองของราชันสงครามนั้นมันไม่เหมาะกับรูปแบบของภูเขาฟีนิกซ์ในปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว หากนางได้กลับมาควบคุมพวกเราอีกครั้ง ข้าเกรงว่ามันคงจะไม่ส่งผลดีกับพวกเราทั้งหมด”

“หานางให้เจอก่อนเป็นอันดับแรกก็พอ!” เฟิงอู่พูดขึ้น

บรรดาคนอื่น ๆ ก็พยักหน้ารับ จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง

ในเวลานี้บรรดาผู้คนที่อยู่ในอาณาเขตฟีนิกซ์รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างร้ายแรงเกิดขึ้น เนื่องจากพวกเขาสัมผัสได้ว่ามีกำแพงพลังวิญญาณปกคลุมทั้งอาณาเขตฟีนิกซ์เอาไว้อยู่

หากพวกเขาพยายามฝ่ากำแพงพลังวิญญาณที่ผนึกอาณาเขตเอาไว้ในตอนนี้ออกไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเขารนหาที่ตาย

เมื่อมองไปที่กำแพงพลังวิญญาณที่ผนึกคลุมทั่วทั้งอาณาเขตฟีนิกซ์อยู่แบบนี้ ชิวไป๋หยูก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่า เขาอดไม่ได้ที่จะกังวลกลัวว่าใครจะค้นพบความลับของแผนการของเขา

ในเวลาเดียวกันเขาถอนหายใจด้วยความจนใจ

นี่คืออำนาจของเมืองลอยฟ้า! หากไม่มีเมืองลอยฟ้าแห่งนี้ ภูเขาฟีนิกซ์จะยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบันได้ยังไง?

ด้วยจุดมุ่งหมายในการทำลายเมืองลอยฟ้า เขาและพวกของเขาอีกหลายคนจึงวางแผนที่ต้องใช้เวลานับหมื่นปีเพื่อทำลายมันขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้แผนของเขาก็ดูเหมือนว่าเริ่มจะไปได้สวยจนเขาคิดว่าวันหนึ่งมันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

แต่พอมาถึงตอนนี้แผนการของเขาทุกอย่างมันกลับถูกสั่นคลอน เนื่องจากเขาไม่เคยคิดเลยว่าจู่ ๆ ราชันสงครามจะปรากฏตัวขึ้นมาในเวลานี้!

ในระหว่างที่ภูเขาฟีนิกซ์กำลังตามหาราชันสงครามกันจนหัวหมุน หลิงตู้ฉิงก็พาหมิงยู่และหลิงไช่หยุนออกเดินไปทั่วเมืองลอยฟ้า

ในเมืองลอยฟ้าการที่พวกเขามีผู้ติดตามเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันนั้นมันดูเด่นเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงออกมากันเพียง 3 คน ทิ้งให้คนอื่น ๆ อยู่รอกันที่โรงเตี้ยม

“ท่านพ่อ พวกเรากำลังจะทำอะไรกันงั้นเหรอ?” หลิงไช่หยุนถามขึ้น

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “พ่อกำลังจะทำให้พวกเราเป็นเจ้านายของภูเขาฟีนิกซ์!”