บทที่ 746 ตามล่าไป๋ชินหยุน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 746 ตามล่าไป๋ชินหยุน

บังเกิดเสียงฝีเท้าผู้คนดังขึ้น

ไป๋ชินหยุนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเย็นชายิ่งกว่าทะเลสาบน้ำแข็งพันปี

ปรากฏยอดฝีมือในชุดเสื้อคลุมสีเขียวหลายคนเดินเข้ามาอย่างแช่มช้า

“ทำความเคารพพระองค์ท่าน”

พวกเขาแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่น้อยกับการพบไป๋ชินหยุนในครั้งนี้

“ในที่สุด พวกเราก็เจอพระองค์ท่านเสียที”

“กราบขออภัยพระองค์ท่าน ไม่ทราบว่าบัดนี้ ท่านประมุขราชันย์งูพิษอยู่ที่ใด?” กลุ่มชายฉกรรจ์ชุดเขียวเหล่านี้ ต่างก็เป็นสมาชิกระดับสูงของป้อมอสรพิษทั้งสิ้น

“เขาหรือ?”

ไป๋ชินหยุนกวาดตามองหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ “เขาตายไปแล้ว”

ถูกต้อง

วิญญาณของราชันย์งูพิษแตกสลายลงแล้ว

ถึงราชันย์งูพิษจะมาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ และมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ แต่เมื่อเสียชีวิตลงแล้ว วิญญาณก็จะคงสภาพอยู่ได้อีกเพียงไม่นานเท่านั้น

“ข้าน้อยเพียงรอรับคำสั่งจากท่านประมุขป้อม คิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์กลับเลวร้ายถึงเพียงนี้แล้ว… เฮ้อ”

ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ถอนหายใจ

เขามีอายุประมาณ 30 ปี ร่างกายสูงใหญ่ สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวซึ่งตัดกับใบหน้าขาวเนียนหล่อเหลา เมื่อมองดูชายหนุ่มผู้นี้ก็จะรู้สึกได้ถึงความสุภาพอ่อนน้อมเป็นมิตรสำหรับทุกคน

เขามีนามว่าเว่ยหมิงเซวียน เป็นพี่ชายของเว่ยหมิงเฉินผู้เป็นความภาคภูมิใจแห่งมณฑลเฉียนเกา ปัจจุบัน เว่ยหมิงเซวียนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสี่ และเป็นหนึ่งในคนที่กุมอำนาจสูงสุดของป้อมอสรพิษประจำนครเจาฮุย โดยมีอำนาจเป็นรองเพียงประมุขป้อมชายหญิงทั้งสองคนเท่านั้น

ไป๋ชินหยุนไม่พูดคำใด

“พระองค์ท่านบาดเจ็บหรือขอรับ?”

เว่ยหมิงเซวียนเงยหน้าขึ้นมองสภาพเด็กสาว ก่อนชะงักไปเล็กน้อยและรีบพูดว่า “พวกเรายังไม่รีบนำยาออกมาอีก”

กลุ่มชายฉกรรจ์ผู้ติดตามรีบนำกล่องหยกออกมาเปิดฝาโดยเร็ว

กลิ่นสมุนไพรลอยออกมาจากด้านในกล่อง

ภายในกล่องบรรจุไว้ด้วยดอกไม้ที่มีขนาดเท่ากำปั้นมือคน กลีบของมันเป็นสีขาวบานสะพรั่ง มองดูแล้วไม่เหมือนดอกไม้ แต่เหมือนหยกขาวที่ถูกแกะสลักออกมาอย่างปราณีตให้เป็นรูปทรงดอกไม้มากกว่า

“กราบเรียนพระองค์ท่าน นี่คือดอกอนันตกาล ซึ่งเป็นสมุนไพรขึ้นชื่อของมณฑลเฉียนเกา มันมีสรรพคุณสามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของเทพีกระบี่ได้โดยตรงขอรับ”

เว่ยหมิงเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ

ไป๋ชินหยุนชำเลืองมอง แววตาเย็นชา ถามว่า “เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร?”

เว่ยหมิงเซวียนรีบคำนับ ตอบว่า “ท่านราชันย์งูพิษเป็นคนจัดเตรียมทุกอย่างขอรับ เขาบอกให้พวกเราเตรียมตัวมาพบเจอพระองค์ที่สุสานใต้ดิน… ตอนนั้นเอง ข้าน้อยจึงรู้แล้วว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นกับป้อมอสรพิษเป็นแน่แท้ แต่น่าเสียดายที่พวกเรามาช่วยเหลือประมุขป้อมทั้งสองท่านไม่ทันเวลา บัดนี้ ไม่ทราบว่าพระองค์ท่านมีแผนการทำอย่างไรบ้าง… ได้โปรดบอกข้าน้อยด้วยเถิด”

ไป๋ชินหยุนได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจความคิดความอ่านของราชันย์งูพิษขึ้นมาทันที

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับป้อมอสรพิษในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าทั้งหมด ราชันย์งูพิษไม่ได้มีเจตนาสังหารหลินเป่ยเฉิน ทว่าเขามีเจตนาทำให้ไป๋ชินหยุนตัดใจจากหลินเป่ยเฉินให้ได้ต่างหาก

แม้การฆ่าฝันที่เกิดขึ้นจะทำให้ยอดฝีมือประจำเมือง อย่างเช่นพวกของเกาเฉิงฮั่นปรากฏตัวออกมา แต่ราชันย์งูพิษก็ได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เขาวางแผนที่จะพานางอพยพหลบหนีออกจากนครเจาฮุย

ในฐานะที่เป็นสมาชิกเผ่าพันธุ์ปีศาจซึ่งลงมาอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ ราชันย์งูพิษไม่ได้เป็นผู้ที่มีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่ง แต่จุดเด่นของเขาอยู่ที่การวางแผนและการประเมินสถานการณ์ทุกอย่างด้วยความรอบคอบ

ครั้งนี้ เขาถึงกับยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อตัดสายใยแห่งรักระหว่างไป๋ชินหยุนกับหลินเป่ยเฉินให้ขาดออกจากกัน

เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์ในวันนี้ไปแล้ว ไป๋ชินหยุนก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีทางหันหลังย้อนกลับมาได้อีก

นางรู้ดีอยู่เต็มหัวใจในขณะที่จ้องมองใบหน้าเว่ยหมิงเซวียนด้วยแววตาเย็นเยียบ

เว่ยหมิงเซวียนงงงันอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนจะรีบขยับเข้ามาใกล้ และหยิบดอกอนันตกาลขึ้นมาจากด้านในกล่องหยก เด็ดกลีบของมันส่งเข้าปากตนเองกลีบหนึ่ง

ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

เห็นดังนั้น ไป๋ชินหยุนจึงได้เด็ดกลีบดอกไม้หลายกลีบส่งเข้าปากตัวเองเช่นกัน

กลีบดอกไม้ละลายในปาก

ความรู้สึกเย็นเยือกไหลผ่านลำคอ แผ่กระจายไปตามแขนขา

ความเจ็บปวดจากบาดแผลบนหัวไหล่จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ราชันย์งูพิษได้สั่งเอาไว้หรือไม่ว่าต่อจากนี้ข้าต้องทำอย่างไร?”

ไป๋ชินหยุนสอบถาม

“ตามแผนการที่ท่านประมุขป้อมได้วางไว้ก่อนหน้านี้ พวกเรามีหน้าที่อารักขาพระองค์ท่านหลบหนีออกจากนครเจาฮุยขอรับ”

เว่ยหมิงเซวียนตอบ “ข้าน้อยเตรียมเส้นทางหลบหนีเอาไว้แล้ว หากพระองค์ท่านพร้อม พวกเราก็สามารถออกเดินทางได้ทันที”

ไป๋ชินหยุนพยักหน้า

ดีเหมือนกัน

หนีไปตั้งหลักก่อนดีกว่า

อย่าอยู่ที่นี่อีกเลย

จงบอกลาอดีตซะ

กลุ่มชายฉกรรจ์เสื้อเขียวเดินนำทาง

พวกเขาออกจากที่ซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

ความมืดปกคลุมผืนฟ้ายามราตรี

นครเจาฮุยตกอยู่ในความมืดมิด

หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง

ลมหนาวคมกริบไม่ต่างจากคมมีด

คณะของไป๋ชินหยุนหลบหนีผู้คนผ่านถนนหลายสาย จนกระทั่งเข้ามาอยู่ในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง

“ข้างหน้าเป็นที่พักชั่วคราวของพวกเรา พระองค์ท่านโปรดพักผ่อนสักสองชั่วยาม รอให้ดึกสงัดมากกว่านี้อีกสักหน่อย พวกเราจะมุ่งหน้าตรงไปที่เส้นทางลับขอรับ…”

เว่ยหมิงเซวียนยังคงพูดจาน้ำเสียงอ่อนน้อม

ไป๋ชินหยุนพยักหน้าอย่างเย็นชา ตอบกลับไปว่า “ประเสริฐ…”

แต่เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย

คมกระบี่ก็สาดประกายเข้ามาหาหัวไหล่ขวาของนาง

ไป๋ชินหยุนใบหน้ากระตุก ยกมือขวาสะบัดหลังมือกระแทกออกไป

ชายฉกรรจ์เสื้อเขียวที่ลอบโจมตีจึงถูกหลังมือของนางกระแทกเข้าใส่ลำคอลอยกระเด็นกลับไปอย่างแรง

ในเวลาเดียวกันนี้…

วูบ! วูบ!

คมกระบี่สาดประกายวูบวาบ

ปรากฏว่าชายฉกรรจ์เสื้อเขียวซึ่งเป็นผู้อารักขาไป๋ชินหยุนหลบหนีมาจนถึงตรอกแห่งนี้ทั้งสี่คน กลับชักกระบี่ออกมาอย่างพร้อมเพียง

ทุกคนโหมโจมตีเข้าใส่นางด้วยความดุดันอำมหิต

ไป๋ชินหยุนวาดมือซ้ายดีดปลายนิ้วด้วยความเร็วสูงสุด

เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!

ได้ยินเหมือนเสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แล้วกระบี่ก็แตกหัก เศษกระบี่ปลิวกระจาย

ชายฉกรรจ์เสื้อเขียวทั้งสี่คนถูกเศษกระบี่ปลิวกลับไปปักเข้าหัวใจของตนเอง เพียงไม่กี่ลมหายใจต่อมา พวกเขาก็ต้องล้มลงไปนอนกุมหน้าอกสิ้นใจตายอยู่บนพื้นดิน

“เพราะอะไร?”

ไป๋ชินหยุนกระชากตัวชายฉกรรจ์ที่ลอบโจมตีนางคนแรกขึ้นมาจากพื้นดิน ก่อนหันหน้าไปสอบถามเว่ยหมิงเซวียน ซึ่งถอยออกไปยืนอยู่ห่างไกลตั้งแต่แรก

ในค่ำคืนมืดมิด รอยยิ้มของเว่ยหมิงเซวียนกลับดูน่าขนลุกขนชันเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าที่เคยสุภาพหล่อเหลาบัดนี้กลับบิดเบี้ยวน่าเกลียดน่ากลัว

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

“เพราะขบวนการของพวกเราไม่ต้อนรับผู้ที่หมดใจ”

“เจ้าทำให้น้องชายของข้าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง พวกเราอุตส่าห์ช่วยเหลือครอบครัวของเจ้าลงหลักปักฐานในโลกมนุษย์ สูญเสียทรัพย์สินเงินทองและทรัพยากรไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่เจ้าที่มีสถานะเป็นถึงองค์หญิงแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจกลับทำสิ่งใดไม่สำเร็จสักอย่าง… มิหนำซ้ำ ยังถึงกับไปหลงใหลในคารมของหลินเป่ยเฉินอีก นับว่าเจ้าไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่มีประโยชน์ต่อพวกเราอีกแล้ว”

“เจ้า…”

“โฮะโฮะโฮะ แต่เรือนร่างของเจ้านั้นยังพอมีประโยชน์สำหรับพวกข้าอยู่บ้าง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

เสียงหัวเราะของเว่ยหมิงเซวียนดังก้องกังวานไปทั่วตรอกแคบ

ได้ยินเสียงฝีเท้าผู้คนดังขึ้น

แล้วคนของป้อมอสรพิษจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวออกมาจากรอบทิศทาง ราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่กำลังออกล่าเหยื่อ

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน

แต่มันเป็นการซุ่มโจมตีที่วางแผนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี

เด็กสาวบิดข้อมือเล็กน้อย

‘กร๊อบ’

ลำคอของชายฉกรรจ์เสื้อเขียวที่ลอบโจมตีนางเป็นคนแรกถูกหักลงแล้ว

“มนุษย์อย่างพวกเจ้า เป็นได้เพียงมดปลวกในสายตาของข้าเท่านั้น”

แววตาที่เย็นชาของไป๋ชินหยุนเป็นประกายวูบวาบกลางความมืด