“หากเจ้าอยากรู้ว่าทำไมเราไม่ไปที่สุสานเทียนซู…นั่นก็เพราะว่าระดับการต่อสู้ที่นั่นเกินกว่าระดับความสามารถของพวกเราจะเข้าร่วมได้ นับประสาอะไรกับเจ้าคนเดียว” เทียนไห่เฉิงอู่ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ประตูช้าๆ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “ส่วนความขัดแย้งในจิงตูครั้งนี้ เมื่อข้าตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ”
“ถึงแม้ท่านพ่อจะตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย แต่จะให้พวกเรายอมรับง่ายๆ ได้อย่างไร”
ใบหน้าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยซีดขาวราวหิมะ
“ข้าเป็นประมุขตระกูลเทียนไห่ การตัดสินใจของข้าก็คือเจตจำนงของตระกูลเทียนไห่”
“ท่านพ่ออย่าลืมว่าตระกูลเทียนไห่เป็นตระกูลเทียนไห่ได้ ก็เพราะว่าจักรพรรดินีแซ่เทียนไห่!”
“แต่ท่านก็อย่าลืมประโยคที่แพร่ไปทั่วต้าลู่มาช้านานแล้วที่ว่า เทียนไห่ก็คือเทียนไห่ ส่วนตระกูลเทียนไห่ก็คือตระกูลเทียนไห่!”
เทียนไห่เฉิงอู่จ้องมองบุตรชายประหนึ่งว่าเขาเป็นคนปัญญาอ่อน แล้วตะโกนอย่างดุดัน “แล้วเหตุใดข้าต้องลากตระกูลเทียนไห่ทั้งหมดลงหลุมไปพร้อมกับนางด้วย!”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยส่งเสียงหัวเราะอย่างหดหู่และกล่าว “ท่านพ่อคิดหรือว่าเมื่อหมดสิ้นเหนียงเหนียงแล้ว ตระกูลเทียนไห่จะดำรงอยู่ต่อไปได้”
“คนฉลาดอย่างแท้จริงจะไม่ปฏิเสธโอกาสรอดตาย แม้จะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม”
เทียนไห่เฉิงอู่มองไปทางสุสานเทียนซู หางตากระตุกเล็กน้อย เขาสูดหายใจลึกบังคับใจให้สงบลง จากนั้นก็กล่าวเสียงแหบแห้ง “ใต้เท้าสังฆราชกับเจ้าสำนักซางสาบานต่อท้องฟ้าพร่างดาวว่าพวกเขาจะไม่ถอย จากนั้นหากราชวังต้องการจะทำให้สงบโดยเร็ว พวกเขาก็จะต้องการความร่วมมือจากเรา”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกล่าวอย่างปวดร้าว “ท่านพ่อปกติไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก เหตุใดท่านถึงสับสนได้เพียงนี้”
“อ่อนต่อโลก? สับสน?” เทียนไห่เฉิงอู่หัวเราะ ประกายความเจ็บปวดและเกลียดชังฉายขึ้นในดวงตา เสียงแหบแห้งกว่าเดิมร้องคำรามออกมา “หากไม่ถึงจุดสุดท้ายจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะตัดสินใจเช่นนี้หรือ เมื่อครู่นี้เหนียงเหนียงช่วยเฉินฉางเซิง เจ้าไม่เข้าใจหรือว่ามันหมายความว่าอย่างไร”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นสีหน้ากระเสือกกระสนก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาอยากตะโกนอะไรบางอย่างออกมาแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
“นี่หมายความว่าเหนียงเหนียงได้ตัดสินใจว่าจะมอบบัลลังก์แก่เฉินฉางเซิง!”
“แต่…ข่าวเพิ่งออกมาจากสุสานเทียนซูว่าเฉินฉางเซิงไม่ใช่รัชทายาทเจาหมิง”
“แล้วมันสำคัญตรงไหน ไม่ว่ารัชทายาทเจาหมิงจะเป็นใคร ก็หมายความว่าเหนียงเหนียงไม่เคยคิดจะมอบบัลลังก์ให้ข้าเลย”
น้ำเสียงเทียนไห่เฉิงอู่เย็นชายิ่งกว่าเดิม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมข้าต้องให้ตระกูลเทียนไห่เสียเลือดเสียเนื้อเพื่อนางด้วย”
เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยังไม่อาจยอมรับได้และกล่าว “แล้วหากทำเช่นนั้น ท่านพ่อจะได้ครองบัลลังก์หลังจากนี้ละหรือ ก็ไม่! คนเดียวที่จะได้ครองบัลลังก์ก็ยังคงเป็นรัชทายาทเจาหมิงที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน! เจ้าสำนักซางวางแผนมานานหลายปี และเขาก็ไม่ยอมให้เกิดเรื่องอื่นใดขึ้นได้ ไม่ใช่เซียงอ๋อง ไม่ใช่จงซานอ๋องและไม่ใช่ท่านพ่อ ท่านเองก็ไม่มีหวังแล้วมันจะต่างอะไรกัน”
“ความต่างก็คือหากเหนียงเหนียงชนะ นางจะต้องบั่นทอนกำลังเราอย่างถึงที่สุดเพื่อประโยชน์ของบุตรชายนาง จนถึงขั้นสังหารพวกเรา แต่หากเหนียงเหนียงพ่ายแพ้ หากบุตรนางอยากปกครองประเทศใต้การเฝ้ามองของสิบเจ็ดอ๋อง เช่นนั้นเขาก็ต้องให้ตระกูลเทียนไห่เป็นแขนขาให้”
สุ้มเสียงเทียนไห่เฉิงอู่เย็นชาหาใดเปรียบ “สุดท้ายแล้ว เราก็เป็นญาติฝ่ายแม่ของเขา เขาก็เป็นญาติของข้า เราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ”
……
……
ฝนที่จิงตูได้หยุดลงแล้ว ทว่าฝนห่าใหญ่ยังคงตกอยู่ในที่ราบห่างไกล สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบเป็นระยะๆ ส่องต้องร่างของอินทรีแดงที่โฉบเฉี่ยวไปมาอย่างน่าตกใจ
สายฟ้าฟาดลงมาอย่างฉับพลันและห่าฝนลูกศรก็พุ่งขึ้นทวนสายฝน ยิงใส่อินทรีแดงที่บินลงใต้
ไม่นานจากนั้น เสียงฟ้าคำรามก็ดังมาจากเมฆฝน แทนที่เสียงฝีเท้าม้าดังอึงคะนึงราวกับฟ้าร้องซึ่งค่อยๆ หยุดลง ตามมาด้วยเสียงลูกศรพุ่งผ่านอากาศและเสียงโลหะปะทะกัน
ภาพคล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นในหลายที่ กองทัพหลายกองเตรียมตัวกลับจิงตูในฐานะกำลังเสริม กองทัพต้าโจวตกอยู่ใต้ความปั่นป่วนท่ามกลางสายฝนและเงียบลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย
ทหารม้าหลายหมื่นนายหยุดการเดินทัพไปทั้งอย่างนั้น หยุดอยู่ท่ามกลางสายฝนในความเงียบงันอันน่าประหลาด ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เบื้องหน้าทหารม้าซงซานแห่งต้าโจวที่กำลังเดินทางกลับจิงตูจากป้อมที่เขาซงซาน มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่อย่างเงียบงัน
หญิงชราจากตระกูลมู่ท่าลงจากรถม้าอย่างยากลำบากด้วยการช่วยเหลือของผู้พิทักษ์นาง นางยืนอยู่กลางสายฝน มองไปยังเหล่าทหารม้าตรงหน้า
“แม่ทัพของพวกเจ้าอยู่ไหน”
ทหารม้าหลายพันนายของกองทัพซงซานแหวกออก เถียนซง ขุนพลเทพอันดับเจ็ดแห่งต้าโจวควบม้ามังกรดำออกมา
ครั้นเห็นหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างรถม้า ขุนพลเทพเถียนซงก้มหน้าเล็กน้อย ปล่อยให้สายฝนชะล้างชุดเกราะอยู่เงียบๆ เป็นเวลานาน
ในที่สุดเขาก็ลงจากหลังม้าและกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนกับหญิงชรา “ลูกผู้นี้สวมชุดเกราะเต็มตัว ไม่อาจโค้งคำนับท่านแม่ได้”
“ตอนนี้แล้วเจ้าก็ยังสนใจเรื่องธรรมเนียมหยุมหยิมอยู่อีกหรือ”
หญิงชราแห่งตระกูลมู่ท่าไม่ได้โกรธเคืองท่าทีของเขา แต่บ่นดังเช่นหญิงชราคนหนึ่ง “ลูกสาวเจ้ากำลังจะคลอดแล้ว ทางที่ดีควรกลับบ้านกับข้าไปดูนาง”
……
……
ค่ายเฮยซาน คือกองทัพที่มีทักษะการป้องกันสูงสุดของกองทัพต้าโจว มีชื่อเสียงด้านค่ายกลและทักษะการใช้ของวิเศษ ปกติแล้วทำหน้าที่ปกป้องจิงตู และได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่อย่างล้ำลึก
เนื่องจากราชามารออกจากเมืองเสวี่ยเหล่ามายังเขาหานซานก่อนหน้านี้ สถานการณ์ในแดนเหนือจึงตึงเครียดผิดปกติ ค่ายเฮยซานถูกส่งไปยังแนวหน้า เพื่อจัดตั้งแนวป้องกันที่ชายแดนเมืองหวาหยาง แต่ว่าพวกเขาก็ยังอยู่ไม่ไกลไปจากจิงตู เพราะมีกองทัพมากมายกลับมายังจิงตูในคืนนี้ แม้ว่าทหารม้าของค่ายเฮยซานจะมีจำนวนน้อย แต่ก็เป็นกลุ่มที่มุ่งมายังจิงตูเร็วที่สุด
จนกระทั่งถูกบังคับให้หยุดลงด้วยสายฝนหรือเหตุผลอื่นใด บนยอดเขาหุบเขาหงซงห่างจิงตูไปสามสิบลี้
สายฝนตกลงบนกระโจมที่กางอย่างเร่งรีบ เสียงกระหน่ำไม่เหมือนกับกลองศึก แต่เหมือนกับกระสอบที่เต็มไปด้วยสุราตกกระทบพื้น
กระโจมอบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา แต่มิใช่เพราะว่าในยามที่ตึงเครียดเช่นนี้ยังมีคนที่มีอารมณ์มาดื่มสุรา หากแต่เพราะว่ามีทหารองครักษ์บางนายได้รับบาดเจ็บและกำลังได้รับการรักษาอยู่
ผู้บัญชาการค่ายเฮยซานคือขุนพลเทพอู๋ซวง ขุนพลเทพผู้นี้มีพื้นเพไม่ธรรมดา มีความสูงส่งงดงาม ควบคุมกองทัพอย่างเข้มงวดแต่ไม่รุนแรง มีการลงโทษและให้รางวัลที่ชัดเจนแต่ก็ไม่มากเกินไปเช่นกัน เขาได้รับความเคารพรักจากกองทัพมากมายภายใต้การบังคับบัญชา หากมีใครมุ่งจะทำร้ายเขา อย่าว่าแต่ทำให้บาดเจ็บเลย เหล่าทหารองครักษ์รอบกายจะยอมสละชีวิตเพื่อคุ้มกันเขา
แต่คืนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป องครักษ์เหล่านั้นอยู่กับฝ่ายตรงข้าม
ใบหน้าขุนพลเทพอู๋ซวงซีดขาวราวกระดาษ สีหน้าแข็งค้างราวถูกแช่แข็ง เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
สายตากวาดผ่านเหล่าองครักษ์ภายในกระโจมที่เติบโตมาพร้อมกับเขา หมอบราบอยู่ข้างกายบิดาเขา อารมณ์ของเขาเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว ต้องการจะยืนขึ้นแต่เมื่ออยู่ภายใต้การสะกดจากของวิเศษเขาจึงไม่อาจขยับได้
เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “จักรพรรดินีปฏิบัติต่อข้าด้วยดีเสมอ ท่านพ่อทำเช่นนี้ไม่เท่ากับบังคับให้ข้าทำเรื่องอกตัญญูอย่างยิ่งหรอกหรือ!”
ประมุขตระกูลอู๋มองบุตรชายของตนและตอบ “จักรพรรดินีเชื่อมั่นในตัวเจ้าอย่างแท้จริง แต่นางมอบความเชื่อมั่นให้กับตระกูลของเจ้าแม้แต่เพียงสักนิดหรือไม่”
สีหน้าอู๋ซวงไม่เปลี่ยนไป กล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “จักรพรรดินีไม่เคยปฏิบัติต่อข้าอย่างไม่ถูกต้อง ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อนางได้”
ประมุขตระกูลอู๋สีหน้าไม่เปลี่ยนเช่นกัน เขาตอบอย่างเฉยชา “ดังนั้นพ่อจึงไม่ปล่อยให้เจ้ามีใจทรยศ ตอนนี้เจ้ามีใจทรยศแต่ไร้ซึ่งกำลัง”
อู๋ซวงคิดว่าบิดาจะนำเหล่าองครักษ์ไปซุ่มโจมตีและขังเขาเอาไว้ สีหน้าเขาก็รังเกียจเดียดฉันท์ยิ่งกว่าเดิม
ประมุขตระกูลอู๋กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ยอมรับเสียเถอะ…จักรพรรดินีช่วยชีวิตเฉินฉางเซิงที่สุสานเทียนซู เป็นเหตุให้ตระกูลเทียนไห่ทรยศ…นางไม่เคยคิดถึงจุดนี้เลยหรือ แล้วทำไมนางถึงยังทำอีก ก็เพราะนางเป็นมารดาเฉินฉางเซิง เช่นนั้นแล้วข้าจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร”
……
……
ทหารจากกองทัพหันโจวได้ประสบกับการต่อสู้อันดุเดือด ในตอนนี้พวกเขาถูกหยุดอยู่นอกเมฆฝนที่สันเขาเฉิงกง
เทียนฉุย ขุนพลเทพอันดับหกของต้าโจว ยืนบนสนามรบอันเต็มไปด้วยซากศพ มือทั้งสองกำทวนแน่น
เลือดสิบว่าสายไหลออกมาจากร่องต่างๆ บนชุดเกราะ ดวงตาเบิกกว้าง เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
เขาจ้องไปที่พวกผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในสนามรบ พวกที่เคยเป็นเพื่อนร่วมสำนัก เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ต่อให้เจ้าฆ่าข้าได้ เจ้าจะกล่อมพวกที่เหลือได้อย่างไร เจ็ดกองทัพที่กลับมายังจิงตู ต่อให้เจ้าสังหารขุนพลทุกคน แล้วเจ้าจะทำให้ทหารเชื่อฟังเจ้าได้อย่างไร!”
ทหารหลายสิบคนที่ล้อมเขาเอาไว้พลันแยกตัวออก และเฉินกวนซง เจ้าสำนักเด็ดดาราก็เดินลงมาตามเนินเขาช้าๆ
“อาจารย์…ท่านออกมาจากจิงตูตั้งแต่เมื่อไร”
ขุนพลเทพเทียนฉุยจ้องมองเฉินกวนซง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน “แม้แต่อาจารย์…ก็กบฏด้วยหรือ”
เฉินกวนซงจ้องมองเขาและกล่าว “ราชวงศ์ต้าโจวไม่เคยแซ่เทียนไห่ แต่แซ่เฉิน คำว่า ‘กบฏ’ นี้…อาจารย์ไม่อาจรับไว้ได้”
ผู้อาวุโสระดับสูงของกองทัพต้าโจวผู้เก็บตัวจนผู้คนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว พิศมองลูกศิษย์ที่เขาชื่นชมที่สุดเมื่อสองร้อยปีก่อนต้องตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ ใบหน้าเผยความเจ็บปวดในยามที่กล่าว “ในการต้านทานเผ่ามารทางเหนือ เจ้าได้ทำคุณงามความดีในนามของมนุษยชาติไม่น้อย ต้าโจวสามารถรักษาสมดุลอำนาจเอาไว้ได้ในช่วงหลายปีนี้ก็เพราะเจ้า ตราบใดที่เจ้ายินยอมมอบตัว ใต้เท้าสังฆราช เจ้าสำนักซางและอ๋องทั้งหลายจะยินดีมาก เจ้าจะสามารถเลือกบัญชาการกองทัพใดก็ได้ในแดนเหนือ”
สีหน้าผิดหวังเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าขุนพลเทพเทียนฉุย ผ่านไปครู่หนึ่งก็จางหายไปทั้งหมด ประกายความโหดเหี้ยมฉายวาบบนใบหน้า “เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้”
เขาไม่ตอบรับคำแนะนำของอาจารย์ที่เขารัก หวังแต่จะรู้เหตุผล
เฉินกวนซงออกจากแนวรบ ก็กลับมายังจิงตู รับหน้าที่ดูแลสำนักเด็ดดารา ช่วยราชสำนักต้าโจวสร้างขุนพลอันโดดเด่นมากมายนับไม่ถ้วน เขาจึงเป็นคนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เชื่อใจอย่างล้ำลึกที่สุดคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขาเข้าใจอาจารย์และรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เฉินกวนซงจะทนมานานสองร้อยปีเพื่อเหตุการณ์ในคืนนี้ ดังนั้นอะไรกันคือสิ่งที่ทำให้เขาเลือกอยู่ตรงข้ามจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
“ข้าบอกไปแล้ว เจ้าคือเหตุผลที่ต้าโจวสามารถรักษาสมดุลอำนาจกับเผ่ามารในแดนเหนือได้…เซวียสิ่งชวนไม่เคยออกจากจิงตู สวีซื่อจีก็ไร้สามารถ สิ่งสำคัญคือความคิดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ใช่แล้ว จนแล้วจนรอดข้าก็ผิดหวังในตัวเหนียงเหนียงจนได้ นี่แหละคือเหตุผล”
เฉินกวนซงมองเทียนฉุยและกล่าว “ข้าหวังว่าเหตุผลนี้จะโน้มน้าวเจ้าได้”
ขุนพลเทพเทียนฉุยเงียบไปเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะ เผยฟันขาวทั้งปาก เป็นเสียงหัวเราะอย่างน่าอนาถใจแต่แฝงความดูหมิ่นเย้ยหยัน
“แล้วพวกเจ้ารู้อะไร”
เมฆฝนบนท้องฟ้าเคลื่อนผ่านสันเขาเฉิงกงในที่สุด
ห่าฝนเทกระหน่ำลงมา ทว่าก็ไม่อาจชะล้างเลือดบนชุดเกราะขุนพลเทพเทียนฉุยได้
เขาจ้องมองไปทางเฉินกวนซง มองดูเหล่าทหารที่เคยเป็นเพื่อนร่วมสำนัก ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกตะเบ็งเสียง “เข้ามา”