ตอนที่ 2,033 : ผู้นำของเหล่า 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์!
“ศิษย์น้องหลิงเทียน!”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัวก่อนที่จะออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที
เขาจำได้ว่าเสียงดังกล่าวเป็นของหลิวอวิ๋น
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋นท่านมาหาข้ามีอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกไปด้วยรอยยิ้มหลังเหินร่างมาหยุดเบื้องหน้าหลิวอวิ๋น
มีคำกล่าวว่า เมื่อคนเราอารมณ์ดีจะมีความสุข
ต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ทำให้หลิวอวิ๋นรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะคล้ายแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แลดูเปี่ยมล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวานัก
“ศิษย์น้องหลิงเทียนข้ารู้เรื่องที่เจ้าจะไปหอคุมกฏพรุ่งนี้แล้ว…อย่างไรก็ตามเมื่อไปถึงที่นั่นแล้วเจ้าต้องระวังต่งหลินเอาไว้ให้มาก!”
ต่างจากใบหน้าเปื้อนยิ้มของต้วนหลิงเทียน สีหน้าหลิวอวิ๋นเคร่งขรึมจริงจังไม่น้อย วาจาคำแรกที่เอ่ยก็เป็นการกล่าวเตือนเสียแล้ว
“เจ้าสมควรรู้เบื้องหลังของต่งหลินแล้วสินะ มันอย่างไรก็เป็นบุตรชายคนเดียวของรองจ้าวหอคุมกฏ…อย่างไรก็ตามมีอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าอาจยังไม่ทราบ รองจ้าวหอคุมกฏผู้นี้เป็นที่รู้กันดีว่ามันเป็นคนดุร้ายทั้งไร้ปราณียิ่งนัก!”
“ในอดีตภรรยามันบังเอิญได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอาวุโสของลัทธิอารามทมิฬ…มันถึงกับบุกไปอารามทมิฬหมายฆ่าอาวุโสคนนั้นอย่างดุดัน แม้ลัทธิอารามทมิฬจะมีชนชั้นยอดฝีมือมากมาย ทว่าทั้งหมดก็ได้รับบาดเจ็บกันเป็นแถบ แต่แน่นอนว่ามันก็เกือบตาย”
“ในตอนนั้นหากไม่ได้ท่านจ้าวลัทธิบูชาไฟเราออกหน้าด้วยตัวเอง น่ากลัวว่ามันคงได้ทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นแล้ว! และหากไม่ใช่เพราะว่าภรรยาของมันเพียงได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ถึงตาย มันคงเลือกหนทางตายตกไปพร้อมกับศัตรูทั้งหมดแน่ๆ”
กล่าวถึงจุดนี้หลิวอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งค่อยเล่าต่อ “ต่อมาภายหลังมันจึงได้รับทราบว่าภรรยาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่นั้น ที่แท้ได้ตั้งครรภ์แล้ว มันจึงเลือกที่จะรามือกลับมา แน่นอนว่าสตรีบาดเจ็บเมื่อต้องคลอดบุตรก็ย่อมมิอาจฝืนทนได้ไหว นางยังคงจากไปอยู่ดีหลังคลอดต่งหลิน…”
“เรียกได้ว่าตั้งแต่วันนั้น ต่งหลินก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของมัน!”
“แต่เจ้ากลับกล้าทำให้ต่งหลินต้องเสียหน้าท่ามกลางสาธารณชนเช่นนั้น ข้ากลัวว่ามันจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ”
หลิวอวิ๋นกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“หืม? มันถึงขั้นกล้าลงมือกับข้าในลัทธิบูชาไฟหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วกล่าวถาม
“มันคงไม่วู่วามทำอะไรเจ้าในลัทธิบูชาไฟ เพราะอย่างไรมันก็เป็นรองจ้าวหอคุมกฏคนหนึ่ง นอกจากนี้ด้วยความที่ชีวิตของมันก็ได้ท่านจ้าวลัทธิเก็บกู้กลับมา คงไม่กล้ากระทำอะไรที่เป็นการไม่ไว้หน้าท่านจ้าวลัทธิ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังมีข้อยกเว้น…”
หลิวอวิ๋นส่ายหัวไปมาค่อยกล่าวสืบต่อ “ที่ข้ามาที่นี่วันนี้ก็เพื่อจะกล่าวถึงเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง…ไม่ว่าเจ้าจะมีเรื่องบาดหมางกับต่งหลินมากเพียงใด แต่จักดีเสียกว่าที่ไม่ถึงขั้นฆ่ามัน! หากเจ้าฆ่ามัน รองจ้าวหอคุมกฏคงลงมือกับเจ้าโดยไม่สนเรื่องราวใดๆอีกต่อไป!”
“กระทั่งเรื่องที่จะฆ่าเจ้าในลัทธิบูชาไฟมันก็สามารถกระทำ กระทั่งยังจะทำแน่! เพราะในสายตาของมันชีวิตบุตรชายยังสำคัญกว่าชีวิตมันเสียอีก”
วาจาประโยคต่อมาสีหน้าหลิวอวิ๋นก็ยิ่งตึงเครียดนัก
“ขอบคุณศิษย์พี่หลิวอวิ๋นมากที่มาบอกเรื่องนี้กับข้า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกหวั่นๆกับบิดาของต่งหลินผู้เป็นรองจ้าวหอคุมกฏคนนี้อยู่บ้าง
จากคำของหลิวอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นคนโหดเหี้ยม!
เพื่อภรรยาถึงกับบุกเข่นฆ่าสังหารไปยังลัทธิอารามทมิฬ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็จะสามารถกระทำได้
นอกจากนี้ภรรยาของมันก็ตกตายไปหลังมีต่งหลิน เช่นนั้นต่งหลินก็เสมือนสิ่งสุดท้ายที่มันหลงเหลือ เช่นนั้นไม่ว่าใครก็ทราบดีว่าบุตรชายคนเดียวของมันคนนี้มีความสำคัญกับมันขนาดไหน
หากลูกชายคนเดียวของมันตาย มันต้องเสียสติแน่!
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกหวั่นๆ ก็ไม่ได้สนใจเรื่องฆ่าต่งหลินสักเท่าไหร่อยู่แล้ว
นอกจากนั้นต่อให้เขาท้าประลองเป็นตายกับต่งหลิน อีกฝ่ายก็ไม่มีวันยอมรับคำท้าเขาแน่นอน
ดังนั้นเขาก็ไม่ได้กังวลอะไรเรื่องที่รองจ้าวหอคุมกฏจะกล้าลงมือกับเขาด้วยตัวเอง
‘เรื่องนี้เพียงระวังหากข้าต้องมีเหตุให้ออกจากลัทธิบูชาไฟก็พอ…แต่ไม่ใช่ว่ามีคนคิดฆ่าข้าอยู่ไม่น้อยแล้วหรือ? ต่อให้รองจ้าวหอคุมกฏนั่นไม่ลงมือแต่พวกหลี่อันกับหยางชงนั่นมีหรือจะพลาดโอกาสงามๆในการฆ่าข้า…’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรสักเท่าไหร่ เรื่องที่รองจ้าวหอคุมกฏนั่นจะลงมือกับเขาหรือไม่
“ศิษย์น้องหลิงเทียนในเมื่อพรุ่งนี้เจ้าคิดไปหอคุมกฏแล้ว…หากเป็นไปได้ก็ระวังตัวให้มาก พยายามอย่าได้ไปยุ่งกับต่งหลินมันอีก หากเจ้าทำอะไรมันมากไปกว่านี้ ข้ากลัวว่าบิดาของมันจะลงมือกับเจ้าโดยไม่สนใจอะไร”
หลิวอวิ๋นกล่าวเตือนอีกรอบ
อย่างไรหอคุมกฏก็เสมือนฐานที่มั่นของพ่อลูกสกุลต่ง การที่ต้วนหลิงเทียนเข้าไปทำงานยังต่าอะไรจากบุกเข้าไปในพื้นที่ของศัตรู
“ศิษย์พี่อย่าได้ห่วงไป ข้ารู้ดีว่าควรทำอย่างไร”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เพราะอันที่จริงเขาก็ไม่ได้มีเรื่องมีราวอะไรกับต่งหลินมาก่อน ตราบใดที่ต่งหลินนั่นไม่มาหาเรื่องเขาอีกครั้ง เขาก็ไม่คิดจะยุ่งกับมันแต่แรกแล้ว
หากวันนี้ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมาหาเรื่องเขาก่อน มีหรือเขาจะไปยุ่งวุ่นวายกับมัน
“ศิษย์น้องหลิงเทียน พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้า…เป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินจริงๆหรือ?”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนรับฟังคำเตือนและไม่มีทีท่าผลีผลามหลิวอวิ๋นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันก็คล้ายหลิวอวิ๋นจะนึกอะไรขึ้นได้ รีบถามออกมาทันที
มันย่อมได้ยินรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มาแล้ว
มันไม่เพียงแต่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนกล้างัดกับต่งหลิน แต่ยังรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเสมือนตบหน้าต่งหลินดังฉาด!
และการ ‘ตบหน้า’ ที่ว่าก็คือการเปิดเผยพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงิน!
อย่างไรก็ตามแม้มันจะได้ยินเรื่องพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนที่แท้เป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินมาแล้ว แต่หลิวอวิ๋นก็ยังรู้สึกยากจะเชื่อนัก เพราะมันเองก็เหมือนคนอื่น เรื่องรากวิญญาณต้วนหลิงเทียนเป็นสีเหลืองได้หยั่งรากลึกในใจมานาน…
ดังนั้นมันถึงได้ถามออกมาตอนนี้
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้น…การทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณที่แท่นบูชาทมิฬ ไฉนพรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าถึงได้มีผลการทดสอบออกมาเป็นสีเหลืองทั้ง 2 ครั้งเล่า”
ได้ยินคำถามเพิ่มเติมของหลิวอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าหากไม่ได้รับคำตอบคงไม่เลิกราเป็นแน่
แต่เรื่องนี้เขาก็เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว
“ข้ารู้ทักษะลับที่สามารถปกปิดพรสวรรค์รากวิญญาณได้น่ะ…ตอนนั้นก็เพราะข้าใช้ทักษะลับดังกล่าวผลการทดสอบถึงได้ออกมาเป็นสีเหลืองทั้ง 2ครั้ง”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเปิดเผย นี่เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดแล้ว
นอกจากนี้เขาเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เองก็คงต้องคิดแบบนี้
หาไม่แล้วไฉนพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำดินได้ คงเป็นเรื่องที่ยากอธิบายนัก
“ข้าก็ว่าแล้ว…”
ถึงแม้หลิวอวิ๋นจะพอเดาได้ แต่พอได้ฟังคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียนมันก็อดตกใจไม่ได้
“เช่นนั้นหมายความว่า…กระทั่งพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินที่ศิษย์น้องหลิงเทียนเผยออกมาตอนนี้ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นพรสวรรค์รากวิญญาณที่แท้จริงของเจ้าใช่หรือไม่?”
ทันใดนั้นหลิวอวิ๋นก็ตระหนักถึงเรื่องนี้และอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกมา
ถูกแล้ว!
ในเมื่อต้วนหลิงเทียนสามารถปกปิดพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเองได้ ถึงขั้นทำให้คนอื่นเชื่อว่าเขามีรากวิญญาณสีเหลืองมาก่อนได้ไม่ยาก เช่นนั้นรากวิญญาณสีน้ำเงินที่เผยออกมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของจริง!
หลิวอวิ๋นมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาฉายแววคมกล้า ราวกับจะสังเกตทุกรายละเอียดบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน
ทว่าตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนพลันยิ้มออกมาแทนการตอบคำ
ยังเป็นรอยยิ้มลึกลับมีเลศนัยนัก! ทำให้หลิวอวิ๋นรู้สึกว่าการคาดเดาของมันครั้งนี้ไม่ผิดแน่แล้ว!!
พรสวรรค์รากวิญญาณของศิษย์น้องหลิงเทียนของมัน ไม่แน่ว่าจะเป็นแค่รากวิญญาณสีน้ำเงิน!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ใจหลิวอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะเต้นผิดจังหวะไปทันที มันถี่รัวขึ้นจนยากจะสงบลงได้อยู่นาน
แน่นอนว่ารอยยิ้มลึกลับมีเลศนัยดังกล่าว เป็นต้วนหลิงเทียนจงใจกระทำ
เขาทำแบบนี้เพื่อให้หลิวอวิ๋นเชื่อว่า รากวิญญาณสีน้ำเงิน ยังไม่ใช่ที่สุดของเขา และเขาอาจเก็บงำอะไรเอาไว้
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็มีความสามารถในการกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของผู้อื่น สักวันมันต้องยกระดับขึ้นได้แน่
ขอเพียงเขามีอัจฉริยะให้กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณมากพอ พรสวรรค์รากวิญญาณของเขาย่อมสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสีคราม กระทั่งสีม่วงก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
เช่นนั้นเขาจึงได้แต่ทิ้ง ‘ปริศนา’ เอาไว้แบบนี้
ด้วยวิธีนี้ต่อไปในวันหน้าถึงเขาจะเผยรากวิญญาณสีอื่นออกมาหลิวอวิ๋นก็จะไม่สงสัยอะไร
“ศิษย์น้องหลิงเทียน เรื่องที่ข้าคิดกล่าวหลังได้พบเจ้าตอนนี้ก็กล่าวไปหมดสิ้นแล้ว เช่นนั้นข้าไม่คิดรบกวนเวลาเจ้าบ่มเพาะสืบไป ขอลา”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเพียงฉีกยิ้มมีเลศนัยออกมา หลิวอวิ๋นก็ไม่คิดถามอะไรให้มากความอีก
ในสายตาของมัน
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องตอบอะไรให้วุ่นวาย อาศัยรอยยิ้มนี้ก็เสมือนบอกมันตรงๆ!
เช่นนั้นถึงแม้จะจากไปได้สักพักแต่ใจหลิวอวิ๋นยังเต้นรัวยากสงบอยู่นาน
‘ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศิษย์น้องหลิงเทียนไม่เพียงมีเวทย์พลังขั้นสูงทั้ง 4 สาย แต่ยังมีพรสวรรค์รากวิญญาณเลิศล้ำ…เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ที่ศิษย์น้องจะโดดเด่นเหนือใครใน 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์’
เรื่องนี้หลิวอวิ๋นมั่นใจถึงที่สุด
‘วันหน้าศิษย์น้องหลิงเทียนต้องเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ที่เหนือล้ำเกินผู้ใดในลัทธิบูชาไฟเป็นแน่…สุดท้ายคงได้เป็นถึงผู้นำของเหล่า 8 อัจฉริยะท้าทายสวรรค์!’
หลิวอวิ๋นลอบคิดในใจอย่างเชื่อมั่น
หลังจากที่หลิวอวิ๋นกลับไปอารมณ์ยินดีของต้วนหลิงเทียนเพราะจะได้เจอเค่อเอ๋อแม่ลูกก็ค่อยๆซาลง ตอนนี้ยังกลายเป็นรู้สึกกดดันแทนที่เมื่อนึกถึงบิดาต่งหลิน
เพราะอย่างไรพรุ่งนี้เขาก็จะไปยังหอคุมกฏแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาดเขาสมควรต้องเข้าทำงานที่นั่นเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม
และเมื่อเขาอยู่ในหอคุมกฏ หากต่งหลินมันคิดเล่นงานเขาอีกฝ่ายอาจไม่ต้องลงมือด้วยตัวเอง เพียงส่งคนอื่นมารังควาญเขาแทน และนั่นคงสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อย
เพราะอย่างไรอาวุโสเพลิงเงินที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน กระทั่งพวกที่ร้ายกาจเข้าหน่อยก็บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน
‘ด้วยพลังของข้าตอนนี้ คิดปะทะกับอาวุโสเพลิงเงินตรงๆคงเป็นไปไม่ได้เลย…กระบี่นิลสวรรค์ก็ไม่อาจใช้ออกได้พร่ำเพรื่อ เว้นแต่จะถึงขั้นต้องฆ่ากันจริงๆ’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนกระจ่างชัดแก่ใจ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลัวไม่น้อยว่าบิดาต่งหลินจะลงมือกับเขาด้วยโทสะ
‘ช่างเถอะ…อย่างไรเป้าหมายข้าคือพบหน้าเค่อเอ่อแม่ลูกให้ได้ ตราบใดที่มีโอกาสเห็นทั้งคู่ ให้โดนทุบตีหน่อยแล้วจะยังไง? อย่างดีข้าก็แค่ทนเท่านั้น และมันให้อาวุโสเพลิงเงินทุบตีข้าอย่างไร…ข้าก็จะไปทุบตีลูกชายของมันอย่างนั้น ดูกันไปเถอะว่าใครมันจะทนกว่ากัน!’
คิดถึงเรื่องนี้สองตาต้วนหลิงเทียนพลันทอประกายดุร้ายออกมา
เขาไม่ใช่คนที่ใครที่จะมารังแกกันได้ง่ายๆ!