หลังจากการใช้ศาสตร์ลึกลับและชั่วร้ายอย่างวิชาสังเวยโลหิต บุปผาแห่งความมืดก็เพิ่มพลังให้กับฮวาเฉินได้เป็นอย่างมาก ในตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เขาก็มีความได้เปรียบเหนือกว่าอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน พลังของบุปผาแห่งความมืดก็แผ่กระจายออกไปอย่างเต็มที่และสภาพแวดล้อมโดยรอบก็ถูกปกคลุมไปด้วยพลังความมืดที่ทรงพลัง ส่งผลให้ฝ่ายฉินอวี้โม่และบรรดาสหายปลดปล่อยพลังออกมาได้ไม่เต็มร้อย
ถึงแม้ว่าบุปผาแห่งแสงและบุปผาแห่งความมืดจะมีพลังที่ต่อต้านซึ่งกันและกัน ทว่าหลังจากที่ใช้วิชาสังเวยโลหิต พลังของบุปผาแห่งความมืดในเวลานี้ก็มิใช่ระดับที่บุปผาแห่งแสงจะเทียบด้วยได้
คาดว่าความแข็งแกร่งของฮวาเฉินในตอนนี้เหนือกว่าขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวไปเสียอีก ในแต่ละครั้งที่เขาปลดปล่อยการโจมตีออกมา เขาจะสามารถฟาดจอมยุทธ์แกร่งกล้าคนหนึ่งจนกระเด็นปลิวออกไปและทำให้คน ๆ นั้นบาดเจ็บสาหัส
ภายในเวลาไม่นาน นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและอวิ๋นซื่อเทียน พลังในการต่อสู้ของคนอื่น ๆ ก็ล้วนลดน้อยลงมากและอยู่สภาพที่บาดเจ็บกันถ้วนหน้า
“เหอะ พวกเจ้ามิใช่คู่มือของข้าหรอก !”
สีหน้าของฮวาเฉินในตอนนี้ดูชั่วร้ายและป่าเถื่อน เมื่อพันปีก่อน แผนการของฝ่ายมารล้มเหลวและตัวเขาก็บาดเจ็บสาหัสจนปางตาย ทว่ายังก็สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ได้ ครานี้เมื่อเขาประกาศจุดยืนกลับมาอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็จะมีโอกาสได้ชำระความแค้นที่เก็บมานานตลอดพันปี ด้วยพลังสนับสนุนจากบุปผาแห่งความมืด ต่อให้ฉินอวี้โม่และผู้นำขุมกำลังเหล่านี้ร่วมมือกัน พวกเขาก็ไม่มีทางเอาชนะเขาได้แน่
เว้นแต่ว่าจะมีการใช้วิชาสังเวยโลหิตกับบุปผาแห่งแสงเช่นกัน ทว่าน่าเสียดายที่ฝ่ายของพวกเขาไม่มีทางหาคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะใช้วิชานี้ในเวลาเพียงสั้น ๆ ได้
“มันยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะดีใจ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขณะกระหน่ำการโจมตีใส่ฮวาเฉินต่อไป แม้สีหน้าของนางในตอนนี้จะแสดงถึงความตึงเครียดเล็กน้อย นางก็ไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด
หานโม่ฉือเองก็ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน ทั้งสองสามารถดูดซับพลังความมืดเหล่านี้และแปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังงานให้กับตนเองได้ แม้ผู้นำฝ่ายมารจะทรงพลังมาก มันก็ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะคนทั้งคู่ได้ในเวลาสั้น ๆ
สถานการณ์ประจันหน้าระหว่างสองฝ่ายก็ติดอยู่ในสภาวะชะงักงันไปอีกครา เวลานี้พลังในการต่อสู้ของกองทัพผีดิบก็พัฒนาขึ้นมาก ทว่าด้วยการร่วมมือกันของกองทัพอสูรมายาจำนวนมากและซิว รวมถึงการรวมพลังของขุมกำลังอื่น ๆ ของฝ่ายดินแดนเทพมายา การรับมือกับกองทัพผีดิบจึงยังไม่ถือว่าเป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป พลังของบุปผาแห่งแสงก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ ในขณะที่แรงกดดันจากบุปผาแห่งความมืดที่ควบคุมฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น
พลังของบุปผาแห่งความมืดก็มิใช่แค่ไม่ลดน้อยลงเท่านั้น ทว่ามันกลับแกร่งกล้ามากขึ้นด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่ามันจะดูดกลืนพลังมายาจากบริเวณโดยรอบและเสริมพลังให้กับตนเองอย่างต่อเนื่อง
ในเวลานี้ พลังความมืดอันทรงพลังก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณและแผ่ออกไปเรื่อย ๆ ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดส่งผลให้ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายรู้สึกอึดอัดและหดหู่เป็นอย่างยิ่ง
“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ฝ่ายของเราจะต้องพ่ายแพ้แน่”
น้ำเสียงเยือกเย็นของบุปผาแห่งแสงดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ มันตระหนักดีว่าความแข็งแกร่งของตนในเวลานี้ไม่มากพอที่จะต่อกรกับบุปผาแห่งความมืดได้ ยิ่งปล่อยให้สถานการณ์ดังกล่าวยืดเยื้อต่อไปเพียงใด ฝ่ายดินแดนเทพมายาก็จะเสียเปรียบมากขึ้นเพียงนั้น
“ข้ารู้…”
ฉินอวี้โม่ก็ทราบถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดีและหันไปสบตากับหานโม่ฉือข้างกาย จากนั้นทั้งสองก็ปลดปล่อยกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดออกไปด้วยกันเพื่อโจมตีฮวาเฉิน
“เหอะ เข้ามาเลย !”
ฮวาเฉินแค่นเสียงเย็นชาและโยนก้อนพลังความมืดสองก้อนออกไปขวางการโจมตีของทั้งสองด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย
ไม่ว่าเขาจะปลดปล่อยพลังออกไปมากเพียงใด พลังความมืดภายในร่างกายของเขาก็จะได้รับการเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง กอปรกับพลังประหลาดของบุปผาแห่งความมืด พลังของเขาก็มีแต่จะแกร่งกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
“ซิว อสูรเสริมร่าง !”
ฉินอวี้โม่ส่งกระแสจิตหาซิวทันที กองทัพผีดิบจำนวนมากเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของฮวาเฉิน ตราบใดที่เอาชนะเขาได้ กองทัพผีดิบก็จะพ่ายแพ้ไปโดยปริยาย หากต้องการเอาชนะผู้นำฝ่ายมารในสถานการณ์นี้ ฉินอวี้โม่จำต้องทุ่มสุดตัวเท่านั้น
หานโม่ฉือเองก็ส่งกระแสจิตหาอสูรพันธสัญญาของตนเพื่อใช้อสูรเสริมร่างเช่นกัน
ในเวลาที่ผ่านมานี้ อวิ๋นซื่อเทียนก็พยายามหาโอกาสใช้ระเบิดพลังมายาในการโจมตีฮวาเฉินมาโดยตลอด เพียงแต่พลังการป้องกันของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็แกร่งกล้าจนเกินไปและนางทราบดีว่าระเบิดพลังมายาของตนจะไม่ส่งผลใดต่อเขา
หลังจากนั้นฉินอวี้โม่ก็หยิบอาวุธคู่กายขึ้นมาโดยที่หานโม่ฉือก็หยิบอาวุธของเขาออกมาเช่นกัน
ทั้งสองสบตาอย่างรู้กันก่อนเริ่มลงมือโจมตี
อึดใจต่อมา ลำแสงบางอย่างปรากฏท่ามกลางความมืดมิดและพลังมายาโดยรอบหลั่งไหลเข้าหาทั้งสองอย่างไม่หยุดหย่อน ภายในเวลาเพียงสั้นๆ กระบี่เล่มยาวส่องประกายสว่างจ้าที่ก่อตัวจากพลังมหาศาลเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าคนทั้งสอง
ฮวาเฉินก็มองเห็นการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้อย่างชัดเจน แม้ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้จะเพิ่มขึ้นกว่าก่อนถึงหลายเท่าตัว ทว่าเขาก็ยังไม่กล้าประมาท เพราะเหตุนั้นเขาจึงควบแน่นรวมพลังความมืดเข้ามาในจุดเดียวกันและอึดใจต่อมา กระบี่ขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยแสงสีดำทะมึนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาเช่นกัน
“ลุย !”
ด้วยเสียงตะโกนสั้น ๆ กระบี่แสงสว่างเล่มใหญ่ของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็พุ่งตรงเข้าโจมตีฮวาเฉินทันที
ผู้นำฝ่ายมารเองก็ไม่ยั้งมือเช่นกันและกระบี่เล่มใหญ่ที่ก่อตัวจากพลังความมืดก็พุ่งออกไปปะทะกับกระบี่ของอีกฝ่าย
เคร๊ง !
กระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลทั้งสองเล่มปะทะกันจนเกิดเสียงกระทบดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
แน่นอนว่าการปะทะอย่างรุนแรงของคมกระบี่สว่างเจิดจ้าและกระบี่พลังความมืดก่อให้เกิดพลังงานมหาศาลที่ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่เกินต้าน
อย่างไรก็ตาม กระบี่ทั้งสองเล่มก็ยังไม่สลายหายไปและยังคงประจันหน้ากันกลางอากาศอย่างที่ไม่ยอมกัน
เหล่าผู้ที่กำลังล้อมโจมตีกองทัพผีดิบก็อดที่จะเงยหน้ามองขึ้นไปกลางอากาศไม่ได้ สีหน้าของพวกเขาในตอนนี้ต่างก็แสดงให้เห็นถึงความตกตะลึง
กองทัพผีดิบเหล่านั้นก็เหมือนจะได้รับผลกระทบบางอย่างจากการปะทะกลางอากาศและหยุดการเคลื่อนไหวของตนเองโดยที่ไม่ริเริ่มโจมตีใส่ฝ่ายดินแดนเทพมายาไปชั่วขณะ
เคร๊ง เคร๊ง เคร๊ง !
เสียงกระบี่กระทบกันยังคงดังอย่างต่อเนื่องและพลังของกระบี่ทั้งสองก็ค่อย ๆ สลายหายไปทีละน้อย ๆ ภายในเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป ในที่สุดพลังงานของคมกระบี่ทั้งสองก็แห้งเหือดและสลายหายไปกลางอากาศ
แรงกดดันอันทรงพลังซึ่งกดทับอยู่รอบ ๆ ก็สลายหายไปเช่นกันส่งผลให้ทุกคนถอนหายใจกันออกมาด้วยความโล่งอก
“ต้องให้ข้าบอกอีกกี่ครั้ง…ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็มิใช่คู่มือของข้า !”
ฮวาเฉินกล่าวขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ยืนยันความแข็งแกร่งที่แท้จริงของทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้นและในตอนนี้เขาเชื่อว่าตนเองไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
“โอ้ จริงรึ ?”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มเล็กน้อย การโจมตีประสานของนางและหานโม่ฉือถูกอีกฝ่ายป้องกันได้สำเร็จก็จริง ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าพวกนางจะเอาชนะฮวาเฉินไม่ได้
“เสี่ยวโพธิ์ ถึงเวลาของเจ้าแล้ว”
เสียงที่ชัดเจนของฉินอวี้โม่ดังเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวก่อนได้ยินเสียงหนึ่งตอบกลับมา
“พี่อวี้โม่…ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ร่างของเด็กหนุ่มก็ปรากฏกายข้างบุปผาแห่งแสง
“บุปผาแห่งแสง ขอบคุณที่ช่วยถ่วงเวลาไว้”
เด็กหนุ่มผู้นี้คือร่างจำแลงของเสี่ยวโพธิ์นั่นเอง เมื่อครู่นี้มันวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์พอดิบพอดี แม้ความแข็งแกร่งของมันจะยังไม่บรรลุถึงระดับสูงสุด ทว่ามันก็ไม่อ่อนแอเหมือนก่อนอีกต่อไป ด้วยการร่วมมือกับบุปผาแห่งแสง เชื่อว่าพวกมันจะสามารถรับมือกับบุปผาแห่งความมืดที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากใช้วิชาสังเวยโลหิตได้แน่
“ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนความแข็งแกร่งของเจ้าจะพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”
เมื่อบุปผาแห่งแสงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเสี่ยวโพธิ์ในเวลานี้ มันก็เงยหน้าขึ้นและหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าแววตาที่ซับซ้อนไม่น้อย
แม้ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่จะกล่าวว่าต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ฝ่ายเดียวกับนางและมันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จากร่างของฉินอวี้โม่ได้อย่างเลือนราง บุปผาแห่งแสงก็ยังไม่คิดเชื่อเท่าไหร่นัก ทว่าในตอนนี้มันไม่สงสัยในวาจาของฉินอวี้โม่อีกต่อไป ไม่เพียงเพราะต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ติดตามนางด้วยความเต็มใจเท่านั้น ทว่าเนื่องจากพลังลึกลับในร่างกายของฉินอวี้โม่ก็ช่วยให้พลังของต้นโพธิ์พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน
หากมันเลือกที่จะติดตามฉินอวี้โม่ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูพลังกลับคืนสู่ระดับสูงสุดหรือแม้กระทั่งก้าวผ่านขีดจำกัดสูงสุดนั้นไป มันก็เป็นสิ่งที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเท่านั้น
“ใช่แล้วล่ะ การที่มีทั้งพี่อวี้โม่และคฤหาสน์เฟิงหัว ข้าจะไม่พัฒนาได้อย่างไรกัน”
เสี่ยวโพธิ์กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มแป้น รูปลักษณ์ของมันในตอนนี้ยังคงเป็นเด็กชายอายุประมาณสิบขวบผู้มีใบหน้าน่ารักน่าชังอย่างมากและมีกลิ่นอายที่แตกต่างไปจากบุปผาแห่งแสงอย่างสิ้นเชิง ถึงอย่างไรเทพพฤกษาทั้งสามชนิดก็ล้วนมีรูปแบบลักษณะของตัวมันเองโดยที่รูปลักษณ์ของเสี่ยวโพธิ์ถือว่าน่ารักน่าชังมากที่สุด
“บุปผาแห่งความมืด การที่ปล่อยให้คนชั่วช้าเช่นนี้ควบคุมพลังของเจ้าได้ นี่เจ้าเต็มใจรึ ?”
เสี่ยวโพธิ์มองตรงไปที่บุปผาแห่งความมืดกลางอากาศและขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเหาะไปอยู่ตรงหน้ามัน
“ฮืออ….”
เสียงร้องด้วยความเสียใจดังขึ้นในหูของทุกคนซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าบุปผาแห่งความมืดไม่ได้เต็มใจเสียทีเดียว เพียงแต่วิชาสังเวยโลหิตก็ทรงพลังและเผด็จการเกินไปและมันมิอาจต้านทานได้แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฮวาเฉินจับมันไปที่ฝ่ายมาร เขาก็แอบใช้วิชาลับบางอย่างกับมัน บุปผาแห่งความมืดในวันนี้จึงมิใช่บุปผาแห่งความมืดเหมือนอย่างในอดีตอีกต่อไป
“มันสูญเสียจิตสำนึกไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับมันหรอก จัดการเลยเถอะ”
บุปผาแห่งแสงกล่าวทันทีและเดิมพลังที่สลายไปก็ฟื้นฟูกลับมาบางส่วน ความแข็งแกร่งของมันเพียงลำพังไม่สามารถรับมือกับบุปผาแห่งความมืดในตอนนี้ได้ ทว่าด้วยการรวมพลังกับต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ คาดว่าคงจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป
เสี่ยวโพธิ์พยักหน้าและแผ่พลังมายาออกไปรอบตัวเพื่อปัดเป่าพลังความมืดออกไป ในขณะเดียวกัน พลังอีกส่วนหนึ่งของมันก็พุ่งตรงไปยังบุปผาแห่งความมืดเพื่อโจมตีมันโดยตรง
ทันทีที่ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าของฮวาเฉินก็ไม่ได้ดูผ่อนคลายเช่นเดิมอีกต่อไป หลังจากลองเชิงมานานและไม่มีร่องรอยใด ๆ ของต้นโพธิ์ เขาก็มั่นใจว่าต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์คงจะยังแสดงพลังออกมาไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่ามันจะปรากฏตัวออกมาในเวลานี้
สำหรับการร่วมมือกันของต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และบุปผาแห่งแสง เกรงว่าแม้แต่บุปผาแห่งความมืดที่ได้รับการกระตุ้นจากวิชาสังเวยโลหิตก็อาจสู้ไม่ได้
เมื่อสัมผัสได้ว่าพลังความมืดรอบตัวเริ่มสลายหายไปอย่างต่อเนื่อง แววตาตื่นตระหนกของผู้นำฝ่ายมารก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
เขามองไปที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ขณะตัดสินใจอย่างแน่วแน่ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการกำจัดคนเหล่านั้นเสียก่อน ตราบใดที่กำจัดฉินอวี้โม่ได้ ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และบุปผาแห่งแสงก็คงจะไม่กล้าสู้กับเขาอีกต่อไป เมื่อถึงตอนนั้น ชัยชนะของสงครามครานี้ก็จะตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฮวาเฉินก็ไม่ยั้งมืออีกต่อไปและถือโอกาสโจมตีฉินอวี้โม่และเหล่าสหายทันที
พลังของเขาก็พุ่งพรวดขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยมและแสดงให้เห็นถึงพลังที่เหนือยิ่งกว่าขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็สัมผัสได้ว่าพลังของคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย หลายคนก็ไม่กล้าประมาทจนเกินไปจึงร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับฮวาเฉินและถ่วงเวลาไว้
“เสี่ยวโพธิ์ ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามขณะยังประจันหน้ากับฮวาฉิน สิ่งที่พวกนางต้องทำในตอนนี้คือถ่วงเวลาต่อไป ตราบใดที่ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และบุปผาแห่งแสงเอาชนะและยับยั้งบุปผาแห่งความมืดได้สำเร็จ โอกาสคว้าชัยชนะของพวกนางก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก
“พี่อวี้โม่ สองก้านธูป…อีกสองก้านธูปเท่านั้นและเราจะปราบปรามบุปผาแห่งความมืดได้สำเร็จ”
เสี่ยวโพธิ์คำนวณเวลาอย่างคร่าว ๆ คาดการณ์ได้ว่ามันและบุปผาแห่งแสงจะเอาชนะบุปผาแห่งความมืดได้ในเวลาอีกสองก้านธูป เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะสังหารผู้นำของฝ่ายมารให้สิ้นซาก
“เข้าใจแล้ว !”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับทราบขณะปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตนออกมาและต่อสู้กับฮวาเฉินอย่างไม่ยั้งมือ หานโม่ฉือเองก็ปล่อยพลังทั้งหมดเพื่อโจมตีจากอีกด้านหนึ่งเช่นกัน เรียกได้ว่าทั้งสองมีความเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใด นอกจากนี้ด้วยการโจมตีเสริมจากอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ฮวาเฉินจึงไม่สามารถตอบโต้อะไรได้มากนัก
เมื่อเวลาผ่านไป สีหน้าของฮวาเฉินก็กังวลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หรือทำให้พลังการต่อสู้ของพวกนางลดลงไปได้เลย ซ้ำร้ายเขายังรู้สึกได้ว่าพลังของบุปผาแห่งความมืดกำลังสลายหายไปอย่างไม่หยุดหย่อน หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งฮวาเฉินกังวลเพียงใด การเคลื่อนไหวของเขาก็ยิ่งยุ่งเหยิงและไร้สมาธิมากเพียงนั้น ทว่าในทางกลับกัน การโจมตีประสานกันของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย
“พี่อวี้โม่ ตอนนี้แหละ !”
ในที่สุด เสี่ยวโพธิ์และบุปผาแห่งแสงก็ควบคุมบุปผาแห่งความมืดได้สำเร็จและส่งเสียงตะโกนบอกกับฉินอวี้โม่ทันที