ตอนที่ 1428 ชั่งน้ำหนัก โดย Ink Stone_Fantasy
“….” เซโรเชสมองมันอย่างงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ “ถ้าตัวผู้ที่ชื่อโรแลนด์ วิมเบิลดันตายล่ะ…”
“ข้าก็น่าจะตายตามไปด้วย” น้ำเสียงของวัลคีรีย์ไม่มีความหนักใจแม้แต่น้อย “แต่เมื่อเทียบกับทั้งเผ่าพันธุ์แล้ว ชีวิตของข้าไม่มีค่าให้พูดถึงเลย ถ้าฆ่ามันแล้วทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดต่อไปได้ เจ้าก็ห้ามลังเลเด็ดขาด”
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ไม่ได้รับคำ
มันหันหน้ามองลงไปยังถนนที่คึกคักที่อยู่ด้านล่างตึก ในนั้นไม่ได้มีแต่พวกมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีร่างระดับต้นของเผ่าพันธุ์มันอยู่อีกสองสามตัวด้วย พวกมันเดินอยู่ในกลุ่มคนที่เดินไปเดินมา กลายเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ภาพเหตุการณ์แบบนี้ไม่ว่าดูยังไงก็น่าเหลือเชื่ออย่างมาก
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง มันจึงถามขึ้นมาใหม่ว่า “เจ้าเชื่อตัวผู้คนนั้นเหรอ?”
“บอกตามตรง เรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ การใช้คำว่าเชื่อเพียงคำเดียวมาตัดสินใจมันค่อนข้างจะไร้น้ำหนักไปหน่อย” วัลคีรีย์ค่อยๆ โน้มตัวลงไปเท้าแขนกับราวกั้น “ถึงแม้คนที่ต่อรองจะเป็นเจ้า ข้าก็ไม่สามารถตัดสินใจโดยอาศัยเพียงคำว่าเชื่อเพียงคำเดียวได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่มันพูดถูก ความเชื่อคือพื้นฐานของการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีพื้นฐานที่ว่านี้ พวกเราก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี หรืออาจจะเป็นร้อยปีในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดมุมมองที่มีต่อสงครามแห่งโชคชะตา และบางทีราคาที่ต้องจ่ายนี้ก็อาจจะมากเกินกว่าที่เผ่าพันธุ์เราจะแบกรับไหว ดังนั้นไม่ว่าจะใช้คำว่าใช่หรือไม่มาตอบคำถามมันก็ล้วนแต่ไม่เหมาะทั้งนั้น”
“…..”
“เมื่อดูจากในตอนนี้ มันกำลังพยายามที่จะหยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตาจริงๆ การเปลี่ยนแปลงบนสนามรบที่มันบอกข้าเหล่านั้นก็ไม่ใช่คำโกหก เมื่อพิจารณาจากทุกๆ ด้านแล้ว ความเชื่อใจตรงนี้ถึงไม่ถือเป็นคำขอที่มากเกินไป” ไนท์แมร์พูดเสียงเบาๆ “เรามีเหตุผลให้สงสัยได้เสมอ แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่การชั่งน้ำหนักของผลได้ผลเสีย”
‘ชั่งน้ำหนัก’ งั้นเหรอ…ไซเลนท์พูดทวนเสียงเบาๆ “อย่างนั้นต่อไปข้าควรทำยังไง?”
“อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้า…ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าเป็นราชาที่ดีตนหนึ่ง ข้าไม่อยากให้คำพูดข้ามันส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้า”
“ต่อไป…มีแต่ต้องเข้ามาที่นี่ถึงจะเจอเจ้าได้ใช่ไหม?” เซโรเชสพูดอย่างลังเล
“มันก็ไม่แน่” วัลคีรีย์ยักไหล่ “ข้าได้ยินโรแลนด์บอกว่ามันกำลังพยายามที่จะช่วยชีวิตแม่มดคนหนึ่งที่ชื่อแอสเชส ถ้าข้อมูลที่เทวทูตบอกมาเป็นความจริงล่ะก็ อย่างนั้นต่อให้ร่างกายหายไปแล้ว แต่ขอเพียงยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก ก็ยังมีโอกาสที่จะฟื้นกลับคืนมาได้ เมื่อเทียบกับแม่มดที่ล่องลอยไปในทะเลแห่งจิตสำนึกแล้ว อย่างน้อยจิตสำนึกของข้าก็มีความสมบูรณ์มากกว่า เออใช่…”
ไนท์แมร์ยื่นสองมือออกไปถอดหมวกเหล็กของอีกฝ่ายออก “การมาเจอหน้ากันแบบนี้ไม่ค่อยมีความเสี่ยงเท่าไร ดังนั้นไม่ต้องใส่ชุดเกราะหนักๆ แบบนี้อีกแล้ว — เมื่อเทียบกับชุดเกราะสีดำแล้ว ข้าชอบเห็นเจ้าแบบนี้มากกว่า”
….
ในตอนที่ทั้งสองคนกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง โรแลนด์พลันขมวดคิ้วขึ้นมา
ถึงแม้เขาจะรู้จากรายงานของฟิชบอลอยู่ก่อนแล้วว่าร่างกายที่แท้จริงของไซเลนท์ดิสแอสเตอร์กับรูปร่างในตอนที่มันออกรบตามปกตินั้นแตกต่างกันอย่างมาก แต่ในตอนที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง เขาก็ยังแอบรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
ถ้าไม่เตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า เขาคงยากที่จะเชื่อมโยงเกราะเหล็กที่ดูดุร้ายนี้เข้ากับปีศาจ ‘ผู้หญิง’ ที่อยู่ข้างในได้
“พวกเจ้าคุยกันเสร็จแล้วเหรอ? เป็นยังไงบ้าง?”
“ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้ามนุษย์” เซโรเชสถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ถ้าสงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องโกหกจริงๆ เจ้ามั่นใจแค่ไหนว่าจะเอาชนะพระเจ้าได้?”
“ความจริงแล้วข้าไม่รู้” นี่คือคำถามที่โรแลนด์ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน “พระเจ้าคืออะไร เป้าหมายของมันคืออะไร ข้าต้องสู้อย่างไร แล้วก็มีโอกาสที่จะได้สู้หรือไม่ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้ายังไม่อาจรู้ได้ นอกจากนี้ถ้าโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไป แล้วดูจากพลังที่มันแสดงออกมาในตอนนี้ ตามหลักแล้วพวกเราไม่มีโอกาสเลย แต่ข้าเชื่อว่าไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรมันก็ดีกว่าการนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ”
“ข้าไม่ได้สนใจเลยว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย แต่อย่าลืมซะล่ะว่าท่านวัลคีรีย์ยังอยู่ในดินแดนจิตสำนึกของเจ้า ดังนั้น….”
“ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปใช่ไหม?”
“เจ้าเข้าใจก็ดี” เซโรเชสถลึงตาใส่มัน “ส่วนเรื่องที่เจ้าขอ ข้าต้องไปคิดดูก่อนค่อยตัดสินใจ”
“ข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบจากการพูดคุยเพียงครั้งเดียวเหมือนกัน” โรแลนด์พยักหน้า “แต่อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นความคืบหน้าที่สำคัญ หลังจากนี้ใช้จดหมายติดต่อก็แล้วกัน เพราะการมาเจอหน้ากันแบบนี้มันมีความเสี่ยงอย่างมากสำหรับทั้งสองฝ่าย — ขอเพียงกองทัพตะวันตกยังคงรุกคืบเข้ามาในดินแดนของสี่อาณาจักรใหญ่ ไฟสงครามก็จะไม่มีวันหยุดลง แล้วก็…”
เขายกแก้วขึ้นมา “ในเมื่อไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้เจอกันอีก เจ้าจะไม่ลองดื่มดูซักแก้วจริงๆ เหรอ?”
“เหอะ” เซโรเชสหยิบเครื่องดื่มที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมากรอกใส่ปากอย่างดูถูก — ลูกไม้แบบนี้มันเคยเห็นมาเยอะแล้ว ต่อให้เจ้านี่มันจะรสชาติแย่แค่ไหน มันก็ไม่มีทางแสดงความหวาดกลัวใดๆ ออกมาต่อหน้าศัตรูแน่
พริตาที่รสชาติหอมหวานกับความกลมกล่อมอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนไหลลงไปในลำคอ ห้องทั้งห้องพลันหายไป มันกลับมายังป่าอีกครั้ง
ไซเลนท์มองไปทางตำแหน่งที่วัลคีรีย์นั้งอยู่ทันที แต่มันกลับเห็นเพียงแค่ทุ่งหญ้าที่ว่างเปล่าเท่านั้น
ภาพที่เมื่อครู่นี้เหมือนเป็นเพียงความฝัน มีเพียงรสชาติหอมหวานเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปาก
….
“ทำไมถึงนานขนาดนี้?”
เมื่อเห็นไซเลนท์ปรากฏตัวขึ้นมา เฮคซอดพลันเปิดประตูมิติขึ้นมาต่อเนื่องหลายบาน ก่อนจะดึงมันออกมา 10 กว่ากิโลเมตรแล้วค่อยถามคำถาม
มันมองว่าหลังจากที่ได้รับจดหมายตอบกลับแล้วก็ควรจะรีบหนีออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นถึงจะถูก
“พวกมันไม่ได้ตอบจดหมายข้า” สีหน้าไซเลนท์เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“อะไรนะ?” สกายลอร์ดขมวดคิ้วขึ้นมา “หรือว่าเป็นกับดัก?”
“ไม่ ข้าได้เจอวัลคีรีย์”
เฮคซอดเกือบจะร่วงตกลงไปจากฟ้า
“เจ้าว่าอะไรนะ!”
“เจ้าเดาไม่ผิด วัลคีรีย์อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งจิตสำนึกจริงๆ” ไซเลนท์ค่อยๆ พูด “เพียงแค่คนที่ถูกมันอาศัยอยู่นั้นคือราชาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นผู้ที่ครอบครองชิ้นส่วนสืบทอด”
หลังกลับมายังพระผู้สร้างและฟังเซโรเชสบรรยายจนจบ เฮคซอดก็ตกอยู่ในความสับสนอย่างรุนแรง
ข้อมูลจำนวนมหาศาลแทบจะอุดอยู่ในหัวสมองของมัน
ถึงแม้จะคิดอยู่แล้วว่าวัลคีรีย์จะต้องเจออะไรบ้าง แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามนุษย์จะมาไกลถึงขนาดนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในอีกแง่หนึ่งก็หมายความว่าไนท์แมร์ได้ร่วมมือกับอีกฝ่าย ถ้าข่าวเหล่านี้แพร่ออกไป ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์นับพันปีของเผ่าพันธุ์ได้ แต่ยังจะทำให้พวกมันยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจักรพรรดิด้วย
จะลองไปรายงานจักรพรรดิไหม? เฮคซอดแทบจะสลัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที ตอนนี้ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่ยอมที่จะเข้าไปในหอเจ้าชีวิตอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าหากจักรพรรดิให้มันทำอะไร มันก็จะไม่มีโอกาสแม้แต่จะปฏิเสธ
อย่างนั้นยืนอยู่ฝั่งวัลคีรีย์เหรอ?
ความจริงในตอนแรกสุด ไนท์แมร์นั้นเป็นผู้สืบทอดคนสำคัญของจักรพรรดิ ความจริงแล้วความแตกต่างระหว่างจักรพรรดิกับราชานั้นไม่ได้สะท้อนออกมาในรูปแบบของพลัง การกลายเป็นจักรพรรดินั้นมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่ นี่ขึ้นอยู่กับการเลือกของแต่ละคน ด้วยเหตุนี้ความคิดนี้จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ในเรื่องของเกียรติยศหรือศักดิ์ศรี สิ่งเดียวที่ทำให้มันลังเลอยู่นี้คือมนุษย์ซึ่งอยู่คนละเผ่าพันธุ์
สงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่านั้นยังไม่อาจรู้ได้ แต่เรื่องที่ชิ้นส่วนสืบทอดสามารถทำให้เผ่าพันธุ์ยกระดับได้นั้นเป็นเรื่องจริง ตอนนี้มนุษย์พัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือของชิ้นส่วนสืบทอดที่ไม่รู้จัก ถ้าหากหลังจากนี้เกิดการปะทะกันขึ้นมาอีก เผ่าพันธุ์ควรจะทำยังไง?
ความลังเลสงสัยเหล่านี้ทำให้มันไม่อาจตัดสินใจออกมาได้
แต่เฮคซอดไม่ทันได้สังเกตว่าตอนที่มันกำลังแช่อยู่ในบ่อละอองชีวิตและครุ่นคิดอย่างหนักอยู่นี้ ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ได้สวมหมวกเหล็ก หยิบดาบยาวขึ้นมา แล้วออกไปจากบ่อละอองชีวิตอย่างไร้ซุ่มเสียง
……………………………………………………………