ตอนที่ 550 ใต้สุสานมีสุสาน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 550 ใต้สุสานมีสุสาน โดย Ink Stone_Fantasy

ชี่ของศพมีเพียงคนเพิ่งตายเท่านั้นถึงจะปรากฏ รอจนกระทั่งเนื้อหนังเน่าเปื่อยแล้ว จะมีแบคทีเรียทำให้เกินชี่ของศพจากนั้นก็จะค่อยๆ สลายไป ต้องทราบก่อนว่าแบคทีเรียนั้นไม่มีตัวนำพาหะ เหมือนกับที่ก็สูญเสียช่องทางในการมีชีวิตอยู่

โก่วซินเจียเคยเห็นชี่ของศพพวกนั้นกับตา แค่มองเขาก็แยกแยะออก คนพวกนี้ตอนที่ตายนั้นน้อยที่สุดก็มีห้าสิบปีขึ้นไป ไม่สามารถจะหลงเหลือชี่ของศพอยู่ได้เลย

“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่ใหญ่พูดไม่ผิด ตอนนั้นที่หน้างานฉันก็ดูแล้ว ศพคนตายพวกนั้นตอนนี้ไม่มีการเผา หากนายไม่เชื่อ ฉันสามารถพาไปดูที่ห้องเก็บศพได้”

จั่วเจียจวินนั้นก็ไม่ค่อยอย่างจะเชื่อในการวินิจฉัยของเยียเทียน คนที่ตายมาเป็นสิบปีจะยังมีชี่ของศพหลงเหลืออยู่ นั่นแสดงว่าโลกนี้มีวิญญาณจริง ๆ แล้ว

“ศิษย์พี่รอง ที่ผมพูดไม่ได้หมายถึงศพคนตายพวกนั้น”

เยี่ยเทียนส่ายหัว กล่าวว่า “ศพคนตายพวกนั้นถูกฝังอย่างรีบๆ แน่นอนว่าจะต้องไม่มีชี่ของศพหลงเหลืออยู่ แต่ว่าด้านล่าง นั้นจะต้องมีสุสานอยู่แน่!”

“อะไรนะ นี่..นี่เป็นไปไม่ได้หรอก”

หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียและจั่วเจียจวินพลันก็ตะลึงตาถลน แน่นอนว่าขัดกับหลักการปกติ

ต้องทรางก่อนว่าปกติแล้วสุสานนั้นจะอยู่ลึกลงไปประมารหนึ่งเมตร นอกเหนือจากฮ่องเต้ในสมัยโบราณ ก็จะเป็นพวกขุนนางผู้ใหญ่ แต่ก็จะไม่เกินประมาณสามเมตร

แต่สถานที่นั้นที่นั้นหลุมลึกที่เจอศพ ความลึกถึงสามเมตรหนึ่งแล้ว ในตอนฮ่องกงเมื่อสมัยโบราณเป็นเพียงสถานที่ห่างไกล ไม่มีทางมีสุสานกษัตริย์มาสร้างอยู่ทีนี่ได้

เยี่ยเทียนไม่ได้อธิบายเพิ่มแต่มองไปทางจั่วเจียจวิน ถามว่า “ศิษย์พี่รอง ตอนนั้นเมื่อโครงกระดูกเหล่านั้นถูกนำขึ้นมาแล้ว พี่ไปดูที่หน้างานแล้วรึเปล่า ดินเก่ากับดินใหม่พี่น่าจะแยกออกนะ”

ที่เยี่ยเทียนกล่าวถึงดินเก่านั้น ก็คือเป็นคำศัพท์เฉพาะทางของโบราณคดี ความหมายก็คือดินที่เคยถูกขุดมาก่อน ปกติถูกคนโบราณนั้นทำการพลิกหน้าดินมาก่อน ด้านล่างของดินเก่า มักจะมีสุสานอยู่

เหมือนกับเสียมลั่วหยางที่คนขุดสุสานคิดค้น สามารถนำดินที่อยู่ลึกสิบเมตรขึ้นมาอยู่ด้านบนได้ พวกเขาอาศัยดินพวกนี้ในการพิจารณาว่ามีสุสานอยู่หรือไม่

ในทางของฮวงจุ้ยแล้วจะต้องเกี่ยวข้องกับสุสานแน่นอน ในฐานะอาจารย์ฮวงจุ้ย จั่วเจียจวินแน่นอนว่าจะต้องเข้าใจมีความรู้ในการแยกแยะดิน ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงถามแบบนี้

“วันนั้นมีฝนตก ตอนที่ฉันไปถึง ก็ยุ่งอยู่แต่กับการย้ายโครงกระดูกพวกนั้น แต่ไม่ได้สังเกตคุณภาพของดิน”

เมื่อได้ฟังเยี่ยเทียนกล่าวแบบนี้ จั่วเจียจวินสีหน้าก็แดงเห่อ นี่เป็นความผิดพลาดของเขา เพราะไม่ได้คิดไปถึงว่าด้านล่างนั้นจะยังมีสุสานอยู่อีก

“เยี่ยเทียน ต่อให้ด้านล่างมีสุสาน แต่ในตอนที่ก่อสร้างนั่นจะต้องนานกว่าที่ฝังกระดูกพวกนั้น ด้านล่างคงไม่มีคนทำให้เกิดชี่ของศพได้หรอก”

โก่วซินเจียส่ายหัว กล่าวต่อว่า “และคนเดียวทำให้เกิดชี่ของศพ ไม่สามารถทำอันตรายอะไรกับพวกคนหนุ่มพวกนั้นได้ นายอย่าบอกว่าด้านล่างมีการขโมยศพนะ ศิษย์พี่ไม่เชื่อเรื่องนี้”

โก่วซินเจียตั้งแต่เกิดมาเห็นอะไรต่อมิอะไรมามาก ที่บอกว่าเซียงซีศพเดินได้และเหมาซานเลี้ยงศพและอื่นๆ นั้นเขาเคยพบมาหมดแล้ว สุดท้ายก็เป็นพวกคนที่หาวิธีหลอกลวงจิตใจของคนอื่นท่านั้นเอง

“ขโมยศพนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่ แต่ว่าจะต้องมีสุสานอยู่แน่นอน เป็นจริงหรือไม่ พวกเราขุดไปก็จะรู้”

ถึงแม้ว่าตบะนั้นจะไม่แตกต่างกับโก่วซินเจีย แต่เยี่ยเทียนนั้นสัมผัสกับพลังธาตุทั้งหลายบนโลกนี้ยังน้อยกว่าศิษย์พี่ใหญ่อีกมาก

ในตอนแรกที่ยืนอยู่บริเวณหลุมลึกนั้น เยี่ยเทียนแอบสัมผัสได้ว่า ด้านล่างของหลุมลึกที่มีชี่พิฆาตลอยออกมา เมื่อเทียบกับพลังหยินจากธรรมชาติที่ทำให้เกิดชี่พิฆาตนั้นไม่เหมือนกัน

ในตอนั้นเยี่ยเทียนจึงใช้พลังลับจากสมองที่ได้รับมาพยากรณ์ ผลปรากฏว่า สถานที่นั้นกลายเป็นว่าเมื่อก่อนเป็นชีพจรมังกร แต่เป็นเพราะฮ่องกงถมทะเล ทำให้ชีพจรมังกรแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไป

แน่นอนมีสถานที่ชีพจรมังกรเหมาะแก่การสร้างสุสานคนตาย จะต้องมีคนใช้ประโยชน์จากสถานทีนี้ ดังนั้นตอนนั้นเองเยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่าด้านล่างมีสุสานอยู่อีก

รอจนกระทั่งได้พบกับคนที่ถูกชี่พิฆาตเข้าสู่ร่างกายในหมู่บ้านประมงแล้ว เยี่ยเทียนก็สัมผัสได้จากร่างกายของเขาว่ามีพลังสายหนึ่งเหมือนกับหลุมบ่อน้ำลึกนั้น ยิ่งเป็นการตอกย้ำการวินิจฉัยของตัวเอง

แต่สำหรับว่าทำไมร่างกายของศพที่อยู่ด้านล่างของบ่อน้ำนั้นไม่ย่อยสลายไปตามการเวลา เยี่ยเทียนกลับไม่สามารถให้คำตอบได้ มีเพียงแต่ขุดสุสานด้านล่างนั้นขึ้นมา จึงจะตอบข้อปัญหาที่มีอยู่ได้

จั่วเจียจวินและโก่วซินเจียมองกันเองหนึ่งที เห็นด้วยกับคำแนะนำของเยี่ยเทียน พวกเขาก็อย่างรู้ว่า ศิษย์น้องของพวกเขานั้นที่พูดมาเป็นความจริงหรือไม่

เยี่ยเทียนวันนี้เพิ่งมาจากปักกิ่ง และก็ยังวิ่งรอกไปที่หน้างานและหมู่บ้านประมง ตอนนั้นก็เป็นเวลาบ่ายสี่โมงห้าโมงกว่าแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถลงมือได้ทันที เรื่องนี้ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว

รับประทานอาหารค่ำที่บ้านของจั่วเจียจวินแล้ว เยี่ยเทียนก็ขอเนื้อหมูชิ้นหนึ่ง หยิบเอาไปป้อนเต่าทะเลสีเขียวตัวนั้น เจ้าตัวนั้นทำเหมือนกับคน หลังจากทานอาหารที่เยี่ยเทียนป้อนเรียบร้อยแล้ว ก็พยักหน้าใส่เขา เหมือนกับว่าจะแสดงความขอบคุณ

เช้าวันที่สอง จั่วเจียจวินก็ขับรถพาผู้ชมทั้งหลายไปที่หน้างาน ในตอนที่ไปถึงที่นั่น ด้านข้างก็มีรถของก่อสร้างจอดอยู่หลายคัน

เพียงแต่ว่ารถพวกนั้นจอดห่างจากสถานที่ที่มีของทิ้งร้างอยู่สี่สิบห้าสิบเมตร คนขับและคนงานไม่มีใครกล้าเข้าใกล้สถานที่ที่มีร้อยศพนั้น

“อาจารย์จั่ว ข้าวของพวกเราเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่า…แต่ว่าคุณดู พวกเราไม่เข้าไปได้มั๊ย”

จั่วเจียจวินเพิ่งจะจอดรถไว้ที่ข้างถนน ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าก็ออกมาต้อนรับ สีหน้านั้นลำบากใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าแม้แต่ตัวเอง ก๋ไม่กล้าเข้าใกล้สถานที่เลวร้ายนั้น

“ทำไม มีฉันอยู่ตรงนี้พวกนายยังกลัวอะไรอีก”

หลังจากจั่วเจียจวินได้ฟัง พลันก็ถลึงตา จะต้องสูบน้ำจากหลุมให้แห้ง ก่อนอื่นก็ต้องดึงสายท่อสูบน้ำไป คงไม่ได้หวังให้พวกเขาทำงานใช้แรงพวกนี้หรอกใช่มั๊ย

และยังมีศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์น้องอยู่เป็นสามคมแบบนี้ อาศัยพลังกายจากในกายของพวกเขา ต่อให้สถานที่นี้มีชี่พิฆาตหนาแน่น ก็สามารถทำให้สลายไปได้มาก

“แต่…แต่ว่าอาจารย์จั่ว ต่อให้จ่ายเงินมากขนาดไหน พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปน่ะสิ”

หลังจากได้ฟังคำของจั่วเจียจวินแล้ว ชายวัยกลางคนนั้นก็เกือบจะร้องไห้ออกมา กัดฟันกล่าวว่า “อาจารย์จั่ว ไม่อย่างนั้นผมให้พวกเด็กยกเครื่องสูบน้ำมา ส่วนคนอื่นก็ให้ยืนอยู่ที่นั้นแหละ”

เห็นท่าทางลำบากใจของคนนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็หัวเราะและกล่าวว่า “โอเค คุณคนนี้ ให้พวกเขาเดินเครื่อง อย่างอื่นก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”

สถานที่ที่มีหยินพิฆาตนี้แน่นอนว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด ชี่พิฆาตที่ปล่อยออกมาจากหลุมนั้นชั่วร้ายมาก เกรงว่าเยี่ยเทียนและคนอื่น จะต้องกลายเป็นคนธรรดาที่เลือดลมไม่ดีแล้ว ไม่แน่ว่าหากไม่ระวังก็อาจจะถูกทำร้ายได้

และยังจะต้องหันกลับมาดูแลพวกเขาอีก นั่นก็ไม่เท่ากับทำเอง ยังไงเยี่ยเทียนและโจวเส้าเทียนก็อายุยังน้อย ทำงานใช้แรงหน่อยก็ไม่กระไร

“นี่…” ชายวัยกลางคนไม่ทราบว่าเยี่ยเทียนเป็นใคร ก็มองอย่างสงสัยไปที่จั่วเจียจวิน

จั่วเจียจวินพยักหน้า กล่าวว่า “ทำตามที่เขาบอกแล้วกัน กำลังของเครื่องสูบน้ำจะต้องมากหน่อย!”

“ได้ อาจารย์จั่ว คุณวางใจได้ เครื่องหนึ่งไม่พอละก็ผมจะเอามาอีกสองเครื่อง” ชายวัยกลางคนดีใจ รีบวิ่งกลับไป เรียกคนงานมาขนเครื่องสูบน้ำลงจากรถ

เยี่ยเทียนยยื่นมือไปรับปั๊มน้ำตัวหนึ่งมา ลองยกขึ้นมาดู แต่ปากก็ไม่วายกล่าวว่า “โถ่เอ๋ย เจ้าสิ่งนี้นี่ไม่เบาจริงๆ”

“นี่…เด็กคนนี้เป็นคนรึเปล่า”

ไม่พูดที่เยี่ยเทียนยกเครื่องสูบน้ำเดินไปยังบ่อน้ำ พวกคนงานพวกนั้นมองกันตาค้าง เพราะว่าปั๊มน้ำเครื่องนั้นเป็นตัวที่มีกำลังมากที่สุดในบริษัท น้ำหนักนั้นหนักประมาณ 240 กิโลกรัมได้

เมื่อซักครู่ตอนที่ยกเครื่องนี้ลงจากรถ ใช้คนงานที่รูปร่างแข็งแรงถึงแปดคน แต่ว่าเยี่ยเทียนใช่มือเดียวก็ยกขึ้นมาอย่างสบายก่อนเดินไป ทำให้พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก

“เส้าเทียน ดึงท่อมา!”

เมื่อเดินไปถึงข้างบ่อน้ำ เยี่ยเทียนก็นำปากทางน้ำเข้าของเครื่องสูบน้ำด้านหนึ่งใส่ลงไปในน้ำ จากนั้นก็ตะโกนเรียกโจวเส้าเทียน

“โอ้ มาแล้ว” โจวเส้าเทียนออกรับคำหนึ่ง ดึงท่อใหญ่ที่ม้วนเป็นวงกลมอยู่เดินเข้าไป เอาไปต่อเข้ากับปั๊มน้ำ

ในตอนที่เสียงของเครื่องสูบน้ำดังขึ้นนั้น ท่อทีเดิมราบเรียบก็พลันโป่งพองกลมขึ้นมา น้ำในบ่อน้ำก็ไหลผ่านท่อออกมาไม่หยุดไปยังถนนฝั่งตรงข้าม

“ไม่ได้ ช้าไป ไปเอาปั๊มน้ำมาอีกสองตัว”

ยืนมองระดับน้ำที่ลดลงในบ่อน้ำอยู่พักใหญ่ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว หากตามความเร็วนี้ รอจนน้ำในบ่อถูกสูบออกหมดเกรงว่าจะเป็นตอนค่ำแล้ว

จั่วเจียจวินนั้นไม่ขัดคำของเยี่ยเทียน พลันก็เรียกชายวัยกลางคนมา กำชัดให้ไปเอาปั๊มน้ำมาอีกสองเครื่อง

ปั๊มน้ำสามเครื่องที่มีกำลังมากทำงานพร้อมกัน น้ำที่ขังในบ่อน้ำมองด้วยตาแล้วก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันถึงตอนเที่ยง ก็ปรากฏก้นบ่อออกมาให้เห็น

“ทำไมอากาศนี่พลันก็เย็นขึ้นมากันนะ”

ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นตอนกลางวันพอดี แต่ว่ายืนอยู่รอบบ่อลึก โจวเส้าเทียนที่ตะบะอ่อนด้อยและเหลี่ยวติ้งติ้งก็ยังคงรู้สึกถึงไอเย็นเยียบเข้ากระดูก เหมือกนับว่าหลุมด้านล่างเป็นปากทางเข้าประตูนรกก็ไม่ปาน

หลังจากปรับตำแหน่งของเครื่องดูดน้ำ และสูบน้ำจนไม่เหลือซักหยดแล้ว เยี่ยเทียนก็พับแขนเสื้อและกางเกงเห็นว่าเยี่ยเทียนจะลงไปด้วยตัวเอง โจวเส้าเทียนก็กล่าวอาสาอย่างแข็งขันว่า “อาจารย์ ให้ผมไปเถอะ ผมเด็กกว่าคุณ!”

“ไสหัวไป ฉันอายุมากกว่านายแค่ไม่กี่ปีเอง”

เยี่ยเทียนถูกคำพูดของลูกศิษย์ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่งเท้าออกไปสัมผัสกับก้นของโจวเส้าเทียนเบาๆ กล่าวว่า “หยิบพลั่วเหล็กมา นายกับติ้งติ้งกลับไปแล้วยืนอยู่ให้ไกลหน่อย”

สุสานด้านล่างนั้นไม่ปรากฏออกมา แต่หยินพิฆาตที่ปล่อยออกมานั้นก็หนาแน่นมาก เยี่ยเทียนกลัวลูกศิษย์รับไม่ไหว ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ

เห็นเยี่ยเทียนกระโดดลงไปในหลุม โคลนเหลวก็คลุมถึงหัวเข่า จั่วเจียจวินอดไม่ได้ที่จะตะโกนบอก “ศิษย์น้อง นายระวังตัวด้วย ถ้าไม่ไหวก็ใช้เครื่องขุด”

“ศิษย์พี่รองไม่เป็นไร ด้านล่างไม่ได้ลึกเท่าไหร่”

เยี่ยเทียนส่ายหัว นี่ดีว่าเป็นเขา หากเป็นคนอื่นนั้นไม่มีทางขุดได้แน่โคลนตมพวกนี้จับตัวกันแน่นอยู่ด้านล่างของหลุม

…………………….