GGS:บทที่ 1070 เหยื่อล่อ
ซูจิ้ง ฮู่ฮงหยาง และคนอื่นๆได้ออกจากสำนักสุดยอดศิลปะการต่อสู้ราชวงศ์จินไปอย่างไม่ใยดี อย่างไรก็ตาม กิตติศัพท์ของซูจิ้งยังคงอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่ได้จากไปไหน
นอกจากเศษซากสนามที่แตกเป็นชิ้น จินชิซู คิมูระจิน จั่วเยียน และศิษย์ในสำนักฯราชวงศ์จินคนอื่นๆต่างมีใบหน้าที่หน้ารังเกียจ และค่อยๆทยอยออกไปจากที่นี่
ไม่ต้องพูดถึงมือของจินเชินหวู่เลยว่าจะรักษาได้หรือไม่ ต่อให้รักษาได้แต่สำนักฯแห่งนี้ก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้อีกต่อไป นั่นก็เพราะคำพูดที่ซูจิ้งได้ทิ้งเอาไว้ก่อนจากไป ต่อให้ตัวของเขาไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่จะมีใครที่คิดหาญกล้าจะอยู่ต่อได้อีกกัน
คำมั่นที่จินเชาหวู่เคยบอกทั้งจินชิซูและคิมูระเอาไว้ว่าจะไปช่วยเปิดสำนักที่นั่นแน่นอนว่าพวกเขาจะทำเป็นไม่เคยได้ยินมาก่อน
นั่นก็เพราะคำมั่นนั้นไร้คุณค่าไปแล้ว หากพวกเขาไปเปิดโรงฝึกที่นั่นโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากซูจิ้งล่ะก็ ถ้าซูจิ้งไปปิดด้วยตัวเอง พวกเขาคงไม่มีหน้าตาอยู่ในสังคมอีกต่อไป
สำหรับคนที่ได้เรียนเพลงหมัดวัวคลั่งไปแล้วนั้น พวกเขาไม่คิดจะอยู่ที่สำนักฯราชวงศ์จินแห่งนี้อีกต่อไปเช่นเดียวกัน เพราะพวกเขาจะไม่ได้ถูกรู้จักในนามของสำนักฯราชวงศ์จิน แต่จะรู้จักเพียงแค่ในนามคนทรยศแห่งสำนักศิลปะการต่อสู้สับปะยุทธเท่านั้น
วิดีโอที่ซูจิ้งทำลายลานประลองด้วยการกระทืบเท้าเพียงครั้งเดียวนี้ ได้ถูกส่งแต่ไปจนทั่วบนโลกอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง ทุกคนที่เห็นต่างก็ตกตะลึงและเชื่อมั่นอยู่ในใจว่าซูจิ้งไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว
ในรถพยาบาลคันหนึ่ง จินเชาหวู่ที่นอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียงปฐมพยาบาลโดยมีหมอและพยาบาลอยู่ข้างๆ พวกเขาล้วนแล้วแต่ถูกสะกดจิตให้รับรู้ว่าไม่มีใครเห็นซูจิ้งอยู่ที่นั่น
ซูจิ้งเริ่มที่จะถามคำถามจินเชาหวู่ และจินเชาหวู่ก็ตอบซูจิ้งตามความจริงทุกประการ แต่ซูจิ้งเองก็ไม่ได้อะไรมามากนักเหมือนกัน
กลายเป็นว่ามีใครบางคนคอยสนับสนุนให้จินเชาหวู่และมอบข้าวสีน้ำเงินให้เขาอยู่เรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นจินเชาหวู่เองก็ไม่สามารถทัดทานได้เพราะอีกฝ่ายน่าจะมีอำนาจพอสมควร
ด้วยเหตุนี้เมื่ออีกฝ่ายต้องการให้เขาทำอะไรเขาเลยต้องยอมทำตามแต่โดยดี และแน่นอนว่าเป็นผู้สนับสนุนคนนั้นที่ขอให้จินเชาหวู่ไปท้าทายเสี่ยวไจ๋พร้อมรอยสักที่ต้นคอ
แต่อย่างไรก็ตาม จินเชาหวู่เองก้ไม่รู้ว่าอีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นใครกันแน่
“ไอ้พวกนี้ช่างระวังตัวดีซะจริงๆ แต่อย่างน้อยๆนี่แสดงให้เห็นว่าคนที่หนุนหลังหมอนี่เป็นกลุ่มเดียวกับคนที่จับตัวเว่ยเสี่ยวหยวนไปอย่างแน่นอน” ซูจิ้งได้วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้ภายในห้วงความคิดของเขา จินเชาหวู่ผู้นี้เองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง และซูจิ้งเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับชายคนนี้อีกต่อไป
ถึงแม้ว่าหมอนี่จะเป็นเพียงตัวหมาก แต่ด้วยการที่หมอนี่ทั้งทรยศสำนักฯสับประยุทธ์และทำร้ายเสี่ยวไจ๋แล้ว การเสียมือทั้งสองข้างไปก็เพียงพอแล้ว
“….ในเมื่อจินเชาหวู่ไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังก็คงได้แต่ลองลากมันออกมาดูแหะ ในเมื่อฝั่งนู้นวางเหยื่อล่อได้ ทำฉันจะทำมั่งไม่ได้ล่ะ” ซูจิ้งคิดไปสักพักก่อนที่จะออกจากรถพยาบาลมาอย่างเงียบ ทั้งจินเชาหวู่ หมอ และพยาบาลที่ได้สติ ต่างก็จำไม่ได้ว่าตัวเองได้พบเจอซูจิ้งก่อนหน้านี้
หลังจากลงจากรถ ซูจิ้งก็ได้โทรหาตงเสี่ยวและบอกให้เขาส่งคนขององค์กรเกล็ดงู(กองโจรเขี้ยวงูรุ่นใหม่)ให้ลอบไปหาจินเชาหวู่
ด้วยการที่ตงเสี่ยวอยู่ภายใต้การควบคุมของซูจิ้งแล้ว ในตอนนี้งานวิจัยของเขานั้นค่อนข้างจะเข้มงวดและไม่ได้เปิดเผยออกมาต่อหน้าสาธารณะชนแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ซูถึงแม้ว่าซูจิ้งจะไม่ได้ใส่ใจกับคนที่เขานำมาทดลองก่อนหน้านี้มากนัก แต่ก็ถือได้ว่ายังมีสัตว์ประหลาดขององค์กรเกล็ดงูซุกซ่อนอยู่ที่สถานพิทักษ์สัตว์แห่งเมืองจงหยุนอยู่
ก็ในเมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดอยากจะพบเจอคนขององค์กรเกล็ดงูมากนัก เขาก็จะให้พวกนั้นได้เจอ
เย็นวันนั้นเอง ที่ห้องพยาบาลที่จินเชาหวู่นอนพักอยู่ หลังจากเสร็จสิ้นการรักษา เขาก็ได้นอนนิ่งอยู่กับเตียงอย่างไปไหนไม่ได้
หมอบอกเขาไปว่าอาการของมือของเขานั้นยังมีโอกาสที่จะรักษาได้ แต่เกรงว่าการใช้มือทำงานออกแรงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ยิ่งไปเป็นไปไม่ได้เลยที่ว่าเขาจะกลับไปอยู่ในวงการศิลปะการต่อสู้อีก นี่ทำให้จิตใจของจินเชาหวู่นึกย้อนไปถึงฉากที่ตนเองต้องพ่ายแพ้ต่อซูจิ้งอย่างเจ็บปวดหัวใจ และเขาตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นประตูก็ได้เปิดออก เป็นชายหนุ่มสองคนที่ตัวสูงและอยู่ในชุดสูทเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นได้ปิดล็อคประตูทันทีที่เข้าไป หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ไปนั่งข้างๆเตียงของจินเชาหวู่
“แกเป็นใคร” จินเชาหวู่ถามออกมาอย่างสงสัยและคิ้วที่ขมวด
ชายสองคนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา หนึ่งในนั้นทำเพียงถกแขนเสื้อของตัวเองให้เห็นถึงเกล็ดงูสีเขียวอร่ามที่ไล่ขึ้นไปตามแขนราวกับเกล็ดของงู ช่างดูแปลกตาอย่างมากกับคนทั่วไป
ชายอีกคนหนึ่งได้ลุกขึ้นและวางเท้าของตัวเองไว้บนเก้าอี้นั่ง ก่อนที่จะค่อยๆกดเท้าของตัวเองจนเก้าอี้ค่อยย่นไปบนพื้นด้วยแรงเหยียบของเขา
นี่เป็นความแข็งแกร่งที่แม้แต่จินเชาหวู่เองในสภาพสมบูรณ์พร้อมก็ยังเทียบไม่ได้ นี่คือความแข็งแกร่งที่ไปไกลเกินกว่าความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
“คุณ…” จินเชาหวู่ได้เปลี่ยนสำเนียงการพูดพร้อมกระพริบตาปริบๆในทันที ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของคนกลุ่มนี้มาบ้างจากคนที่สนับสนุนเขาแล้วอยู่บ้าง
คนๆนั้นบอกว่าหากมีกลุ่มคนที่มีผิวหนังประหลาดคล้ายเกล็ดงูมาหาเมื่อไหร่ ให้เขารีบติดต่อไปที่ผู้สนับสนุนในทันที
ในตอนนั้นเขาก็คิดเพียงว่ากองโจรเกล็ดงูนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าลือเท่านั้น จะไปมีคนแบบนั้นมาหาเขาจริงๆได้ยังไงกัน คิดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ใช่เรื่องเล่าลือ แต่ยังมาหาเขาจริงๆ
คนพวกนี้ประหลาดอย่างที่ได้ยินมาจริงๆและเท่าที่ดูล่ะก็หากว่าเขาไม่ได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งและได้กินข้าวสีน้ำเงินไปจำนวนมากล่ะก็ เขานั้นจะยิ่งห่างไกลกว่าชายทั้งสองอย่างไม่เท่าเล็บมือด้วยซ้ำ
“ไม่ใช่ว่าแกอยากหาพวกเราหรือ” ชายหนุ่มเกล็ดงูคนหนึ่งชี้ไปที่ลอยสักเกล็ดงูที่อยู่บนต้นคอของจินเชาหวู่ ก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า “แต่เท่าที่ฉันดูแล้วแกไม่น่าจะมีอำนาจตัดสินใจสินะ พวกเราต้องการเจอเจ้านายของแก”
“ดะ…ดะ…เดี๋ยวนะ รอสักครู่” จินเชาหวู่รีบพยักหน้ารับอย่างหว่างกลัวก่อนที่จะนำสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก และถ่ายรูปชายเกล็ดงูทั้งสองคนโดยมุ่งเน้นไปยังเกล็ดงูที่อยู่ที่แขนของชายคนหนึ่ง ก่อนที่จะทารส่งรูปไปยังวีแชท หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความส่งกลับมาพร้อมสถานที่นัดพบ
ขณะเดียวกัน ณ ยอดของตึกที่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลที่จินเชาหวู่นอนรักษาตัวอยู่ ซูจิ้งได้หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาและพูดกับซูฉือและหลัวฉือหลินว่า “นายสองคนรู้จักวีแชทอยู่แล้วสินะ พอจะแกะรอยวีแชทของไอ้คนที่อยู่เบื้องหลังนั่นได้รึเปล่า”
“อาจจะยากไปหน่อยแต่พวกเราจะลองดูนะ” ซูฉือพูดออกมา
“เยี่ยม หากว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมให้ติดต่อฉันในทันทีได้เลย” ซูจิ้งพูดออกมา
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่กลางถนนนั้นก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้นมา เขาจึงเปิดโทรศัพท์ออกมาดูว่ามีอะไรเข้ามา
เมื่อเขาได้เห็นข้อความที่ถูกส่งมายังวีแชทของตัวเองก็ได้ถึงกับปากสั่นในทันที เขาได้ลบภาพนี้ทิ้งและเขวี้ยงโทรศัพท์ของตัวเองลงถังขยะในทันทีและเดินจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขารีบกลับไปขึ้นรถก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งออกมาและโทรออกไป
“ลูกพี่หยวน พวกเขาติดต่อมาแล้ว”
ในห้องสำนักงานแห่งหนึ่ง หยวนหยินหนิงที่ได้เห็นว่าใครโทรมาหาเขาก็ได้รีบรับโทรศัพท์ในทันที และเมื่อได้ยินข้อความจากปลายสาย สายตาและใบหน้าของเขาแสดงออกมาถึงความตื่นเต้นอย่างห้ามไม่ได้
ในที่สุดหนึ่งในสามกองกำลังที่เหนือกว่าซูจิ้งก็ได้ติดต่อมาหาเขาเสียที เขาอยากจะรู้ว่าคนพวกนี้ไปได้ขุมพลังอันล้นเหลือมาจากไหนกันแน่
และอะไรเกิดขึ้นกับงูยักษ์ที่ทำลายได้แม้แต่กรงเหล็กแบบนั้น และจะยินดีที่สุดหากพวกนั้นยอมช่วยเหลือเขาในการกำจัดซูจิ้งและลากความลับของซูจิ้งมาให้เขาได้ประจักษ์
“ซูจิ้งสังเกตอะไรได้รึเปล่า” หยวนหยินหนิงได้ถามออกมาอย่างจริงจัง
“เท่าที่ดูผมว่าไม่ครับ หมอนั่นจากไปทันทีที่เล่นงานจินหวู่เชา” ชายหนุ่มได้ตอบกลับมา
“ถ้างั้นเอาเป็นให้พอใครสักคนไปติดต่อกับสัตว์ประหลาดเกล็ดงูนั่นก่อนก็แล้วกัน จำไว้ว่าอย่าไปด้วยตัวเองเป็นอันขาด นายต้องระวังตัวอย่างที่สุดและถี่ถ้วน หากมีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เราจะถอนตัวทันทีและจะไม่ได้สืบสาวมาถึงฉันได้” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“รับทราบครับ” ชายหนุ่มเองหลังจากวางสายก็ได้เตรียมตัวในทันที
ในตอนนั้นเองหลังจากวางสายไป เสียงโทรศัพท์ของหยวนหยินหนิงก็ได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ในคั้งนี้เป็นฮัวหยุนชูที่โทรเข้ามา นี่ทำให้หยวนหยินหนิงอดจะบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ว่า
“ว่าแล้วว่าเรื่องนี้ต้องไปสะกิดต่อมความสงสัยของสองคนนั่น พวกนั้นไม่ใช่คนโง่จริงๆ เห็นทีคงได้เวลาบอกสองคนนั่นแล้วแหะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็เพียงเงินทุนของฉันคงไม่เพียงพออย่างแน่นอน”