ตอนที่ 937 กดดัน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 937 กดดัน

ณ พระตำหนักขององค์หญิงใหญ่

รอยยิ้มบนใบหน้าของหยูซูหรงค่อย ๆ เหือดหายไป

นางจ้องมองไปยังหัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ละคนสีหน้าหมองคล้ำและกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก

“ตามที่เอ่ยมานี้…พวกเจ้าจะมิรับผิดชอบหุ้นที่ตนเองออกขายใช่หรือไม่ ? ทั้งที่ธนาคารซื่อทงเกือบจะถูกเผาจากเหล่าผู้ก่อความมิสงบ พวกเจ้ามิกลัวว่าพวกเขาจะไปเผาเรือนของพวกเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? มิกลัวว่าพวกเขาจะมาเผาวังหลวงแห่งนี้หรือเยี่ยงไร ? ”

“อดีตพวกเจ้าถือเป็นคนของราชวงศ์อู๋ ทว่าบัดนี้ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในราชวงศ์หยู จึงถือว่าเป็นชาวหยูเต็มตัวแล้ว ตระกูลของพวกเจ้าควบคุมการค้าที่ทำกำไรได้มากสุดในราชวงศ์หยูและการให้พวกเจ้าออกเงินบางส่วนเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในจินหลิง มันยากลำบากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”

“ที่พวกเจ้าสามารถรวบรวมเงินได้จำนวนมหาศาลก็เพราะอาศัยเงินที่ได้จากหุ้นเหล่านี้ ทว่าบัดนี้ราคาหุ้นตกต่ำ เงินที่พวกเจ้าได้ไปจะมินำออกมาช่วยเหลือเลยหรือ ? ”

สีหน้าของหยูซูหรงเย็นชาขึ้นมาทันใดพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าพวกเจ้ากำลังรังแกราชวงศ์หยูอยู่ คงเห็นว่าข้ามิมีวิธีทำให้พวกเจ้าคายมันออกมาได้สินะ ! ”

เมื่อหัวหน้าตระกูลเฉินได้ยินดังนั้นก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สีหน้าเริ่มซีดเผือด เหงื่อผุดออกมาทั่วทั้งหลัง

เขารีบเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ทูลองค์หญิง ย่อมมิใช่อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วเพราะเหตุใดกัน ? ”

เฉินฉือเหลือบมองโจวสวินหัวหน้าตระกูลโจวและหลู่เฟิงหัวหน้าตระกูลหลู่ ทั้งสองส่ายศีรษะเล็กน้อยแสดงความมิเห็นด้วย…เพราะพวกเขาเพิ่งบริจาคเงินจำนวน 10 ล้านตำลึงเพื่อแผนการชุนเหลยของหยูเวิ่นเต้า !

เพื่อทำให้แผนการชุนเหลยสำเร็จ แม้แต่ในวงศ์ตระกูลของพวกเขาก็มีเพียงผู้นำตระกูลทั้งสามเท่านั้นที่ทราบ จักรพรรดิหยวนเคยเอ่ยเอาไว้ว่าแผนการนี้ห้ามผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด แม้แต่ไทเฮาก็ห้ามทูลให้ทราบ แล้วจะทูลองค์หญิงใหญ่ได้เยี่ยงไร ?

ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลพวกเขาก็ซื้อกิจการไว้แล้ว แน่นอนว่าการดำเนินอุตสาหกรรมต้องใช้เงินจำนวนมากและในเรื่องของหุ้นพวกเขาก็ได้ลงต้นทุนไปตั้งสามเท่าจากปกติ

หุ้นที่สูญเสียไปในนั้น หมายความว่าเงิน 10 ล้านตำลึงที่ลงทุนไปก็มิได้อันใดกลับคืนมาเลยล่ะสิ

บัดนี้องค์หญิงใหญ่ยังจะให้พวกเราหาเงินให้ได้ 50 ล้านตำลึงอีก นี่มิใช่การเอาชีวิตกันหรอกหรือ ?

จะไปหาเงินมากมายมาจากที่ใดเล่า ?

หรือต้องขายธุรกิจที่อยู่ในมือจนหมด

หากโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อตั้งขึ้นมาอย่างยากลำบากถูกขายออกไป…บรรดาลูกจ้างหลายแสนคนจะประทังชีวิตเยี่ยงไร ?

ดวงตาของหยูซูหรงหรี่ลงช้า ๆ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยท่าทางเย็นชา “มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? เป็นใบ้กันหมดเลยหรือเยี่ยงไร ? หรือพวกเจ้าจะหอบเงินกลับไปยังราชวงศ์อู๋กัน ? ”

คำนี้ช่างแทงใจดำยิ่งนัก !

เมื่อทั้งสามตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็มีนางกำนัลเดินเข้ามาแล้วเอ่ยกับหยูซูหรงว่า “ทูลองค์หญิง ใต้เท้าจัวหลิวหวินขอเข้าเฝ้าเพคะ”

“พาเขาเข้ามา”

“หม่อมฉันจะไปประเดี๋ยวนี้เพคะ”

จากนั้นจัวหลิวหวินก็เดินเข้ามาในตำหนักองค์หญิงใหญ่ เขาทำความเคารพหยูซูหรงไปหนึ่งครา จากนั้นก็นั่งลงอย่างมั่นคงแม้จะมีเรื่องยุ่งยากใจมากมายก็ตาม

เขาจ้องมองไปยังหัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสาม หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ที่ถนนสายยาวได้พบกับฝูงชนที่ก่อความมิสงบนับมิถ้วน พวกเขากำลังไปที่เรือนของท่านทั้งสาม ข้าจึงหยุดพวกเขาเอาไว้โดยเอ่ยว่าจะให้เวลาพวกท่านรวบรวมเงินทุนราว 2 วัน จากนั้นก็ให้ไปแลกหุ้นคืนยังที่ว่าการเมืองจินหลิง”

“จากนั้นพวกเขาก็ได้ปรึกษากันครึ่งชั่วยาม จึงยอมตอบตกลงและแยกย้ายกันกลับเรือนในที่สุด เมืองจินหลิงถึงได้กลับมาสงบอีกครา”

“ทั้งสามท่านคิดว่าที่ข้าแก้ปัญหาเช่นนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

เฉินฉือและอีกสองคนเงยหน้าขึ้นมองจัวหลิวหวิน ใต้เท้าจัวผู้นี้ทราบเรื่องแผนการชุนเหลยและสถานการณ์ในตระกูลของพวกเขาเป็นอย่างดี !

เดิมทีคิดว่าใต้เท้าจัวจะมาช่วยเจรจา ทว่ามิคิดเลยว่าเขาจะมาซ้ำเติมกันเสียได้ !

“ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังคิดอันใดอยู่ ทว่าพวกท่านมิลองคิดในมุมอื่นบ้างเล่า ? ”

“องค์หญิงใหญ่มิใช่คนนอก บัดนี้กระหม่อมจะอธิบายทุกอย่างให้พระองค์รับฟังเองพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“บัดนี้ฝ่าบาททรงนำทัพทหารด้วยพระองค์เอง แผนการนี้คือชะตากรรมของราชวงศ์หยูในอีกพันปีข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ ! ” น้ำเสียงของจัวหลิวหวินเบาลง ทว่าคำเอ่ยนี้ทำให้หยูซูหรงตื่นตกใจขึ้นมาทันใด สายตาจดจ้องไปที่ใบหน้าของจัวหลิวหวิน…ฮ่องเต้นำทัพเองเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขานำทัพทหารไปที่ใดกัน ?

จัวหลิวหวินมิได้หันไปมองหยูซูหรง ทว่าจ้องไปยังหัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสามแล้วเอ่ยว่า “ศึกนี้พวกเราย่อมชนะอย่างแน่นอน หากชนะแล้วทั้งสามตระกูลจะยังขัดสนเงินทองอยู่อีกหรือ ? ”

“บัดนี้ให้พวกท่านลงทุนเงิน 50 ล้านตำลึงเพื่อซื้อความสงบให้จินหลิงและเพื่อเป็นแรงหนุนให้แก่ฝ่าบาท ! ”

“พวกท่านเป็นถึงหัวหน้าตระกูล ทว่าเหตุใดสายตาจึงมิมองการณ์ไกลเอาเสียเลย ? ”

“การขยายธุรกิจของพวกท่านในราชวงศ์หยูจะได้อันใดขึ้นมาเล่า ? ในที่สุดพวกท่านก็จะกลับไปยังราชวงศ์อู๋อยู่ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่นั่นล้วนเป็นของพวกท่านอยู่แล้ว เหตุใดต้องมากังวลเรื่องกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นี่ด้วยกัน”

“หากจินหลิงเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นมา ข้าขอเอ่ยถามพวกท่านว่า…ฝ่าบาทจะยังสามารถนำทัพได้อย่างสบายใจอยู่อีกหรือไม่ ? หรือต้องให้ฝ่าบาทนำกองทัพกลับมาปราบความวุ่นวายนี้เสียก่อน ? ”

“หากฝ่าบาทพ่ายแพ้กลับมา…อย่าเพิ่งเอ่ยถึงธุรกิจเหล่านั้นของพวกท่านเลย เกรงว่าทั้งตระกูลก็คงมิรอด ! ”

ถ้อยคำเหล่านี้ประทับอยู่ในสมองของหัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสาม

ทว่าสิ่งที่จัวหลิวหวินเอ่ยมานั้นมีเหตุผลยิ่ง

พวกเขาสนับสนุนเงินมากมายถึงเพียงนี้ก็เพื่อที่จะหวนคืนไปยังราชวงศ์อู๋มิใช่หรือ ?

แม้ว่าแคว้นฝานจะขอผลประโยชน์ไปครึ่งหนึ่งและให้ทั้งสามตระกูลแบ่งครึ่งที่เหลือกันอีกที ก็ยังถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มากมายเหลือล้นอยู่ดี !

“พวกท่านจงคิดให้ดี ข้าจะให้เวลาพวกท่านครึ่งก้านธูป หากคิดได้ก็ค่อยเอ่ยกับข้า ทว่าถ้าคิดมิได้…ข้าก็จะมิบีบบังคับ พวกท่านสามารถเดินออกไปจากที่นี่ได้ทันที”

ทั้งสามคนมิมีผู้ใดกล้าเดินออกไป

จัวหลิวหวินต้มชา จากนั้นก็มองไปที่หยูซูหรงด้วยความรู้สึกเสียใจ “ทูลองค์หญิงใหญ่ มีบางอย่าง…ที่กระหม่อมมิอาจเอ่ยได้ ขอพระองค์โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

หยูซูหรงเหลือบมองจัวหลิวหวินอย่างต้องการคำตอบ ทว่าก็มิได้เอ่ยถามออกไปตรง ๆ

ชาที่จัวหลิวหวินต้มช่างหอมหวนมากยิ่งนัก เขาเทน้ำชาให้หัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสามพลางเงยหน้าขึ้นมอง “ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ข้ามิควรตัดสินใจแทนพวกท่าน พวกเราอยู่ร่วมผืนปฐพีกันมา 2 ปีก็ถือเป็นโชคชะตา ชาถ้วยนี้ข้าขอดื่มแทนองค์หญิงให้แก่พวกท่านทั้งสาม หลังจากดื่มชาถ้วยนี้เสร็จแล้ว…พวกท่านก็ไปเสียเถิด ส่วนความสัมพันธ์ก็ให้มันจบลงที่ตรงนี้”

“ได้เวลาแล้ว…”

จากนั้นเฉินฉือก็คุกเข่าลงกับพื้น ตามมาด้วยหัวหน้าตระกูลอีกสองคนที่คุกเข่าตามมาติด ๆ

“องค์หญิง ใต้เท้า…ข้าน้อยเต็มใจ ทว่าขอยืดเวลาไปสักหน่อยได้หรือไม่ เวลาเพียง 2 วันมิเพียงพอสำหรับหาเงินมากมายถึงเพียงนี้ได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เช่นนั้นก็ 3 วันก็แล้วกัน พวกท่านไปเถิด หลังจาก 3 วันนี้ถ้ามิพบพวกท่านไปไถ่ถอนหุ้น…พวกท่านจะมิหลงเหลือสิ่งใดอีกเลย ! ”

“ยืนงงอันใดอยู่กัน ? มีเวลามากนักหรือเยี่ยงไร ? ”

พอได้ยินดังนั้นแล้ว หัวหน้าตระกูลทั้งสามก็รีบลุกขึ้นยืน ทำความเคารพแล้วเดินจากไปทันที

จัวหลิวหวินก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ทว่าเขายังมิทันได้เอ่ยลาก็ถูกหยูซูหรงเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน “นั่งลงประเดี๋ยวนี้ ! ”

หยูซูหรงจ้องหน้าจัวหลิวหวินเขม็ง “จงบอกข้าว่าฝ่าบาทนำทัพไปออกศึกกับที่ใด ? ”

จัวหลิวหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “ทูลองค์หญิง แม้กระหม่อมจะเอ่ยไป ทว่าพระองค์ก็มิอาจหยุดยั้งได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ความจริงเขาไปที่ใดกันแน่ ! ? ”

“ฝ่าบาทตรัสว่าจะบุกโจมตีราชวงศ์อู๋พ่ะย่ะค่ะ”

“ว่าเยี่ยงไรนะ… ? ”

บัดนี้สีหน้าของหยูซูหรงซีดเผือดราวกับกระดาษขาว รู้สึกเหมือนอยากเป็นลมเสียให้ได้

“เขาจะรบกับฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ? เขามีสิทธิอันใดไปสู้รบกับฟู่เสี่ยวกวนกัน ? เหลวไหลสิ้นดี ! ”

“องค์หญิงทรงพระทัยเย็นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงวางแผนนี้มาเนิ่นนานแล้ว แคว้นฝานกับแคว้นอี๋ก็เข้าร่วมด้วย คาดว่าจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”

“ปึง… ! ” หยูซูหรงตบลงที่โต๊ะน้ำชา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที “จะปลอดภัยได้เยี่ยงไรกัน ! ช่างโง่เขลายิ่งนัก พวกเจ้ามิรู้ถึงความเก่งกาจที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวนเลยด้วยซ้ำ ! ”

จากนั้นหยูซูหรงก็เดินออกจากตำหนักทันที ส่วนจัวหลิวหวินหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วดื่มเข้าไปอีกหนึ่งอึก

อุณหภูมิของชานี้กำลังดี สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของชานวลเต็มปาก