ตอนที่ 525 ท่านอ๋องฉู่เจียง?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

บนภูเขาปลูกต้นท้อเอาไว้เป็นจำนวนมากตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันออกจะงุนงงอยู่บ้าง ต้นท้อถือเป็นไม้มงคลยับยั้งสิ่งชั่วร้าย ฉู่เจียงถือเป็นหนึ่งในสิบยมราช เดิมทีย่อมมีธาตุหยินเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่เขากลับปลูกต้นท้อเอาไว้ทั่วทั้งภูเขา นี่มิใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ? 

 

 

ช่วงนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง จึงไม่มีลูกท้อแล้ว ทั่วทั้งต้นมีแต่ใบสีเขียวเข้มเพิ่มพูนความเขียวขจีและความสดชื่นไปทั่วทั้งภูเขา 

 

 

ตรงจุดที่ใกล้กับยอดเขา ตู๋กูซิงหลันก็พบว่ายังมีต้นท้อที่ผลิดอกอยู่แถบหนึ่ง 

 

 

ดอกท้อสีขาวผลิบานเป็นบริเวณกว้าง ใต้เท้าเป็นผืนหญ้าสีเขียวสด ใบหญ้าแซมด้วยดอกไม้ป่านานาพันธุ์ ทั้งยังมีผีเสื้อมากมายโบยบิน 

 

 

กลางป่าดอกท้อ มีเรือนไม้หลังหนึ่ง ไม่ใหญ่นักแต่กลับจัดสร้างอย่างปราณีต ลานหน้าบ้านปูด้วยหินสีเขียว รอบๆเรือนไม้มีรั้วรอบขอบชิด ภายในรั้วมีสวนแห่งหนึ่งปลูกผักต่างๆเอาไว้ 

 

 

ในสวนยังเลี้ยงไก่บ้านเอาไว้สิบกว่าตัว 

 

 

มุมหนึ่งของสวนมีลำธารเล็กๆ ลำธารมีน้ำใสสะอาดอย่างยิ่ง 

 

 

ทิวทัศน์ที่นี่ แตกต่างจากโลกภายภายนอกไปอย่างสิ้นเชิง 

 

 

ไม่พบกันเพียงช่วงสั้นๆ รสนิยมในเรื่องความงามของฉู่เจียงช่างพัฒนาไปมาก แค่ขยับมือไม่กี่ครั้งก็สามารถเนรมิตสถานที่งดงามเช่นนี้ขึ้นมาได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเดินเข้าไปได้สองก้าว ก็ได้ยินคนส่งเสียงเรียกไก่กุ๊กๆ 

 

 

นางเดินไปอีกก้าวก็หยุดเท้า เห็นสาวน้อยในชุดกระโปรงสีชมพูรากบัวกำลังวิ่งตรงเข้ามา 

 

 

ใต้ป่าดอกท้อ นางยังคงงดงามดุจเดิม ดวงหน้าของนางเป็นสีชมพูอ่อนทอประกายสดใสน้อยๆ ดวงตากลมโตเด่นชัด ทั่วทั้งร่างดูบริสุทธิ์สดใส ราวกับกระดิ่งแก้วที่ทำให้จิตใจผู้คนผ่อนคลาย 

 

 

เหลียงเซิงเซิง 

 

 

ครั้งก่อนจากกันในเมืองกู่เย่ว คิดไม่ถึงว่านางจะย้ายมาอยู่ในภูเขาฝูซางซานแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง สาวน้อยผู้นี้มิได้ถูกฉู่เจียงกลืนกินลงไปแล้วหรอกหรือ? 

 

 

นางรีบสังเกตไปที่ลำคอของสาวน้อย อืม มีรอยเขี้ยว เป็นแผลเล็กๆสีแดง 

 

 

ดูท่า เจ้าปีศาจเฒ่าจอมโหดฉู่เจียงผู้นั้น คงจะใช้สาวน้อยผู้นี้เป็นยาบำรุญจิตวิญญาณเข้าจริงๆ 

 

 

เห็นรอยแผลนั้นยังไม่หายดี ดูท่าทุกวันเป็นต้องได้ชิมคำหนึ่งกระมัง? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะสงสารสาวน้อยผู้นี้อย่างเงียบๆ  

 

 

เหลียงเซิงเซิงเป็นสายเลือดอันสูงส่งของไท่จื่อแคว้นกู่เย่ว ต้องนับว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง ถือได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน 

 

 

แต่ตอนนี้ เหลียงเซิงเซิงถือมีดหั่นผักเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ เดินเข้าไปในฝูงไก่ด้วยสายตาเป็นประกาย สุดท้ายสายตาของนางไปหยุดอยู่ที่ไก่ตัวที่อ้วนพีที่สุด ทันใดนั้นก็พุ่งเข้าไปพร้อมมีดหั่นผัก 

 

 

ไม่เจอกันเพียงไม่นาน พลังกำลังของนางเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย สามารถจับเจ้าไก่อ้วนขึ้นมาได้ง่ายๆ หิ้วมันไปที่แผ่นหินสีเขียว พอยกมีดขึ้นมาปาดฉับๆสองครั้งหัวไก่ก็หล่นลงไปเรียบร้อย 

 

 

กรีดเลือด…..ถอนขน เสร็จสับในอึดใจเดียว 

 

 

ใครจะไปคิดว่า หลานสาวของกู่เย่วจวิ้นอ๋อง ที่แม้แต่มดก็ยังไม่กล้าเหยียบจะฆ่าไก่ได้อย่างแม่นยำและคล่องแคล่ว 

 

 

ฝีมือนั้นดูช่างแสนจะชำนาญ ราวกับว่าไก่ที่ตายใต้ฝ่ามือของนางนั้นมีเป็นร้อยเป็นพันตัวแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่นอกรั้ว พอสายลมโชยมา กลีบดอกท้อก็ปลิวลงไปที่ผมของนาง 

 

 

เหลียงเซิงเซิงที่พึ่งจะจัดการไก่เสร็จเงยหน้าขึ้นมามองเห็นตู๋กูซิงหลันพอดี 

 

 

นางตกใจไปเล็กน้อยราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตา สุดท้ายแววตาก็เปลี่ยนเป็นทอประกายยินดีขึ้นมา 

 

 

“เป็นท่าน?” นางวางไก่ตัวอ้วนพีที่พึ่งเชือดเสร็จลงไปในอ่างใบหนึ่ง มือแทบจะไม่ได้ล้างก็วิ่งปานจะเหาะมาที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน 

 

 

นางเตี้ยกว่าตู๋กูซิงหลันเล็กน้อย ยามนี้ยิ่งจ้องเขม็งมาที่ตู๋กูซิงหลัน “เป็นท่านจริงๆด้วย…..พี่สาวที่ถูกลาถีบศีรษะ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “….” หากไม่มีครึ่งประโยคหลัง ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะพอเป็นพี่เป็นน้องกันได้ 

 

 

“พี่สาว ขาของท่านหายดีแล้วหรือ?” เหลียงเซิงเซิงเดินวนรอบนางรอบหนึ่ง สองมือมีแต่เลือดไก่ แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร ปาดเช็ดลงไปบนกระโปรงอย่างลวกๆรอบหนึ่ง 

 

 

“ตอนนั้นจากกันอย่างรีบร้อน ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะหาหมอมารักษาท่านให้หาย น่าเสียดายที่บ้านเกิดเรื่องบางประการขึ้น….” นางพูดพลางก็หลุบตาลง คล้ายไม่อยากจะกลับไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก 

 

 

“ไม่เป็นไร ข้าหายดีแล้ว เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร” ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปบนไหล่ของนาง ตบลงไปเบาๆ 

 

 

ทั้งยังถือโอกาสตรวจสอบร่างกายของนางรอบหนึ่ง 

 

 

อืม เจ้าฉู่เจียงผู้นั้นยังถือว่ารู้จักยับยั้ง ไม่ถึงขึ้นเสียสติ ร่างกายของเหลียงเซิงเซิงดูแล้วมิได้มีปัญหาใหญ่อะไร ทั้งยังมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าเดิมมาก 

 

 

ดูท่าเพื่อที่จะได้สูบไอทิพย์ในร่างของนางได้มากขึ้น ดังนั้นฉู่เจียงจึงฝึกฝนนางไปไม่น้อย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดไปเรื่อยๆ 

 

 

ขณะที่ช่วยทัดปอยผมตรงริมหูให้กับนาง ตู๋กูซิงหลันก็สำรวจดูน้องสาวผู้นี้ พลางเอ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังหรือ?” 

 

 

ทุกวันนี้เหลียงเซิงเซิงก็ยังคงบริสุทธิ์ใสซื่อ ตู๋กูซิงหลันถามอะไร นางก็ตอบไปตามนั้น 

 

 

นางพยักหน้าให้อย่างโง่งม “ข้าอยู่กับท่านอ๋องฉู่เจียง” 

 

 

“ท่านอ๋อง….ฉู่เจียง?” ประเด็นของตู๋กูซิงหลันอยู่ที่คำเรียกขานสองคำนั้น 

 

 

อืม เจ้าตัวร้ายนี้ช่างหน้าหนานัก บังคับให้สาวน้อยผู้หนึ่งเรียกเขาเป็นอ๋อง 

 

 

“อืม ท่านอ๋องดีกับข้ามากเลย สร้างบ้านหลังนี้ให้ ทั้งยังไปซื้อลูกไก่พวกนี้มาจากตลาดให้ข้าเลี้ยง” 

 

 

“อ้อ ข้ายังเลี้ยงสุนัขเอาไว้ตัวหนึ่ง มันเรียกว่าเสี่ยวไป๋ (เจ้าขาวน้อย) ตอนนี้มันน่าจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกแล้ว” 

 

 

“พี่สาวเชิญเข้าไปดื่มชาในบ้านก่อน อีกสักเดี๋ยวพอเสี่ยวไป๋กลับมา ท่านจะได้เล่นกับมัน ขนของมันนุ่มมากๆ น่ารักมากๆเลย” 

 

 

เหลียงเซิงเซิงกล่าวอย่างคุ้นเคย แทบจะอยากเล่าเรื่องของตนเองให้ตู๋กูซิงหลันฟังจนหมด 

 

 

เหมือนกับตอนที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าอยากสนิทสนมคุ้นเคยกันถึงเพียงนี้ 

 

 

อืม อาจจะเป็นเพราะว่าพี่สาวผู้นี้ งดงามเหลือเกินละมั้ง? 

 

 

งดงามจนทำให้คนลดเกราะป้องกันลงไปง่ายๆ 

 

 

แต่ถึงอย่างไร….นางก็ไม่ใช่คนที่รู้จักระวังป้องกันผู้อื่นอยู่แล้ว 

 

 

“ก็ดีสิ” ตู๋กูซิงหลันยิ้มออกมา ปกติแล้วนางไม่ค่อยชอบคนที่ทำตัวใสซื่อมากนัก แต่บางทีอาจเป็นเพราะน้องสาวผู้นี้แสนจะบริสุทธิ์และไร้เดียงสาจริงๆ ประกอบกับดวงตากลมโตที่สดใส ใสกระจ่างดั่งธารน้ำแร่ ทำให้คนอดที่จะชื่นชอบไม่ได้ 

 

 

ที่นางเดินทางมาเขาฝูซางซาน ก็เพื่อจะมาพบฉู่เจียง ในเมื่อเขาอาศัยอยู่ที่นี่ นางก็เข้าไปรอแล้วกัน 

 

 

พอตามเหลียงเซิงเซิงเข้าไปในเรือน ตู๋กูซิงหลันถึงได้พบว่า เรือนหลังนี้สร้างอย่างปราณีตงดงามถึงเพียงไหน 

 

 

นางเคยเข้าไปในห้องส่วนตัวของเหลียงเซิงเซิงในจวนของจวิ้นอ๋อง เครื่องเรือนเครื่องใช้ภายในบ้านหลังนี้ เหมือนกับของที่อยู่ในห้องส่วนตัวของนางไม่มีผิด 

 

 

เครื่องเรือนพวกนี้ ฉู่เจียงคงจะย้ายมาจากจวนจวิ้นอ๋องทั้งหมดกระมั้ง? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูรอบหนึ่ง ก็มั่นใจว่า 

 

 

ฉู่เจียง เอาใจใส่ลูกพี่ลูกน้องผู้นี้จริงๆ 

 

 

ความเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ นับว่านอกเหนือความคาดหมายของตู๋กูซิงหลันไปแล้ว 

 

 

เพราะหากมองดูเพียงการแสดงออกที่ผ่านมาของฉู่เจียงที่มีต่อเหลียงเซิงเซิง นางก็นึกว่าเขาคงจะจับตัวน้องสาวผู้นี่มาแล้วก็กระทำอย่างนั้นอย่างนี้ไปเรียบร้อยแล้ว 

 

 

แต่นี่กลับ เลี้ยงดูจนทั้งขาวทั้งนุ่มอย่างเอาใจใส่ 

 

 

เหลียงเซิงเซิงล้างมือ ค่อยยกน้ำชามาให้ตู๋กูซิงหลัน สายตาก็เอาแต่จับจ้องนาง เหมือนดั่งกระต่ายน้อยที่ไร้เดียงสาตัวหนึ่ง 

 

 

“พี่สาว ที่ท่านมาในวันนี้ เพื่อมาหาข้าหรือเจ้าคะ?” 

 

 

นางถามอย่างซื่อๆและตรงเสียจนตู๋กูซิงหลันที่พึ่งส่ายไปครึ่งหนึ่ง ก็ต้องผงกศีรษะตอบ “มาเยี่ยมเจ้า แล้วก็ถือโอกาสมาหาฉู่เจียงด้วย” 

 

 

…………………..