บทที่ 476.3 น้ำที่ถูกกั้นไม่สู้น้ำไหล

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันจูงม้าเดินไปเบื้องหน้า หลังจากจ่ายค่าเดินทางแล้วก็ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม เขาจึงอดทนรอคอยให้เรือข้ามฟากออกเดินทางอยู่ที่ท่าเรือ เมื่อเงยหน้ามองไปก็เห็นว่าเรือข้ามฟากแต่ละลำบ้างก็ลอยตัวขึ้นสูง บ้างก็ลดระดับลงต่ำ การสัญจรดูแน่นขนัดวุ่นวายผิดปกติ

ดูเหมือนว่าเงินทองจะไหลมาเทมาเข้าสู่ท่าเรือแห่งนี้ยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก หากในอนาคตภูเขาหนิวเจี่ยวยุ่งได้เท่าครึ่งหนึ่งของที่นี่ คิดดูแล้ววันๆ คงมีเงินทองเป็นกอบเป็นกำ

เงินทองใต้หล้าก็ดี เงินเทพเซียนก็ช่าง ล้วนกลัวการไม่ถูกขยับเขยื้อนทั้งสิ้น นับแต่อดีตมา สิ่งของอย่างทรัพย์สินเงินทองนั้นก็ล้วนชื่นชอบการขยับ ไม่ชอบการอยู่นิ่ง

นี่ก็คือถ้อยคำที่เอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจของชุยตงซานในปีนั้น ตอนที่ได้ยินไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันก็เพิ่งจะขบคิดใคร่ครวญความหมายที่ซ่อนแฝงอยู่ได้

ชุยตงซานทิ้งจดหมายฉบับนั้นไว้ หลังจากได้พบกับชุยเฉิงท่านปู่ของเขาและออกไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว อีกฝ่ายก็เงียบหายไร้ข่าวคราว ราวกับวัวปั้นดินที่จมหายไปในมหาสมุทร

ในจดหมายนอกจากถ้อยคำประจบเอาใจที่สามารถมองข้ามไปได้แล้ว ยังพูดถึงเรื่องใหญ่สามเรื่อง เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ใหญ่ในแจกันสมบัติทวีป ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันไปถึงการนำดินห้าสีของขุนเขาใหม่มาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต

เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหลี่ซีเซิ่งและสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ ชุยตงซานหวังว่าอาจารย์อย่างเฉินผิงอันที่นอกจากจะยังคงรักและห่วงใยเป่าผิงน้อยอยู่เหมือนเดิมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตัวเองติดค้างตระกูลหลี่มากเกินไปนัก ทางที่ดีที่สุดคือรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายไว้บนความผิวเผิน ไม่จำเป็นต้องเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพรอีก

เรื่องสุดท้ายกลับเป็นเรื่องที่พูดขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ บอกแค่ว่าให้อาจารย์รออีกสักหน่อย คิดจะทำการใหญ่ ต้องอย่ารีบร้อน

แต่เฉินผิงอันกลับรู้ว่าชุยตงซานกำลังพูดถึงเรื่องอะไร

เรื่องของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขา

ความคิดของเฉินผิงอันล่องลอยไปไกล ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ลมเย็นพัดโชยผ่านยอดไม้ ฟ้าดินคล้ายจะสงัดเงียบวังเวง

ทันใดนั้นก็มีคนเดินเร็วๆ มาจากทางด้านหลังจนเกือบจะชนเข้ากับเฉินผิงอัน แต่เฉินผิงอันขยับเท้าเบี่ยงหลบไปได้อย่างไม่เป็นที่จับสังเกต ฝ่ายตรงข้ามคล้ายจะตั้งตัวไม่ทัน จึงหยุดกะทันหัน แล้วเดินเร็วๆ ต่อไปข้างหน้า ไม่หันกลับมาอีก

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ตามไปสืบเสาะ ต้องเป็นเพราะหลังจากออกจากหอชิงฝูมาแล้ว มีผู้คนมากมายมองเห็นว่าสตรีผู้นั้นมอบกล่องผ้าแพรใบหนึ่งให้กับเขา จึงมีคนเกิดใจปรารถนาอยากแย่งชิง

ผู้ฝึกตนที่คิดครอบครองทรัพย์สินเงินทองมักไม่ยึดหลักคุณธรรมใดๆ ในยุทธภพอยู่แล้ว

ผู้ฝึกตนอิสระและผู้ฝึกตนนอกรีตห้าขอบเขตกลางที่เฉินผิงอันสังหารไปตอนอยู่ในกลุ่มเทือกเขาทางใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ยกสองมือขึ้นนับก็ยังไม่พอ สุดท้ายยังแลกอาการบาดเจ็บกับผู้ฝึกตนอิสระโอสถทองคนหนึ่งที่ไม่ถือว่าผูกปมแค้นอะไรกัน หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ปลอดภัยกันดี เฉินผิงอันทั้งไม่ได้ไปแก้แค้นถึงที่ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตามตอแยไม่เลิกรา อาศัยความได้เปรียบด้านชัยภูมิมาทำการล้อมสังหารอะไร

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง มีเด็กชายเด็กหญิงเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ใบหน้าเหลืองแห้งตอบ ตัวเตี้ยสองคนกำลังยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลด้วยท่าทางขลาดกลัว พวกเขากำลังเงยหน้ามองมายังเฉินผิงอันที่จูงม้า ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ในมือของเด็กทั้งสองต่างถือกล่องไม้ที่เปิดอ้าคนละใบ ด้านในบรรจุของเล็กๆ บนภูเขาประเภทขวดกระเบื้อง กระจกทองแดงบานเล็กและภาพวาด ไม่ถือว่ามีปราณวิญญาณอะไร และในความเป็นจริงแล้วหากคนมีเงินนำไปเป็นของประดับตกแต่งในห้องหนังสือก็ถือว่าไม่เลว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสิ่งของที่มีค่าประมาณหนึ่งถึงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่เมื่อเทียบกับราคาที่วางขายในตลาดของชาวบ้านทั่วไปแล้วก็ถือว่าแพงมาก นี่คงพอจะถือว่าเป็นร้านผ้าห่อบุญขนาดเล็กที่สุดในใต้หล้าได้กระมัง เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเบื้องหลังเด็กๆ มักจะแฝงไว้ด้วยกลุ่มผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น พวกเด็กๆ ก็แค่หวังให้ตัวเองได้กินอิ่มนอนอุ่นเท่านั้น

เฉินผิงอันตั้งใจเลือกสิ่งของกระจุกกระจิกมาสองสามชิ้น ต่อรองราคาอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ใช้เงินเกล็ดหิมะสิบสองเหรียญซื้อของเล็กๆ มาสามชิ้น หนึ่งคือแท่นฝนหมึกสลักคำว่า ‘โชคดีตลอดไป’ หนึ่งคือตราประทับหินหวงต้งเก่าแก่คู่หนึ่ง สีสันของมันแดงสด มองดูแล้วน่ารักชวนให้คนชื่นชอบ และชามตื้นทำจากวัสดุสีแดงเนื้อลื่นวาวใบหนึ่ง เขาคิดว่าเมื่อกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วจะมอบให้แก่เผยเฉียน ถึงอย่างไรแม่หนูนั่นก็ไม่ค่อยสนใจราคาของวัตถุอยู่แล้ว คิดแค่ว่ามีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

เฉินผิงอันหยิบเงินเกล็ดหิมะซื้อออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วเอาของสามชิ้นใส่ไปไว้ในชายแขนเสื้อ

เด็กสองคนเอ่ยขอบคุณแล้วก็หมุนตัววิ่งปรู๊ดจากไป คงกลัวว่าคนหลอกง่ายผู้นี้จะเปลี่ยนใจกระมัง

พวกเขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว ท่าทางอารมณ์ดีอย่างยิ่ง พอห่างไปไกลแล้วถึงชะลอฝีเท้าลง หันไปกระซิบกระซาบกันเอง

มองใบหน้าอ่อนเยาว์ด้านข้างของเด็กทั้งสองไกลๆ ก็เห็นว่าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ

ปีนั้นตอนที่อยู่ถ้ำสวรรค์หลีจู ทุกครั้งที่วิ่งเอาจดหมายฉบับหนึ่งไปส่งก็จะได้เงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญมาจากเจิ้งต้าเฟิง คิดดูแล้วฝีเท้าของตนเองที่วิ่งอยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ในเวลานั้นมีแต่จะเร่งร้อนยิ่งกว่าเด็กสองคนนี้

มองสีท้องฟ้าแล้ว เฉินผิงอันก็ไปซื้อเหล้าเอ็นมังกรกาหนึ่งมาจากร้านเหล้าใกล้ท่าเรือ ไม่ได้เข้าไปนั่งในร้าน แต่มานั่งอยู่ข้างทาง เมื่อเทียบกับเหล้าหมักกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่าและเหล้าอีกาครวญของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วก็ด้อยกว่ามาก แน่นอนว่าราคาก็ต่ำกว่าด้วย ว่ากันว่าน้ำที่นำมาหมักเป็นเหล้ามาจากน้ำพุมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งที่อยู่กลางภูเขาตี้หลง อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของปราณวิญญาณทั้งหมดในภูเขาตี้หลงอีกด้วย ว่ากันว่าปีนั้นหลังจากที่มังกรแท้จริงตัวนั้นแหวกดินผุดจากเส้นทางมังกรเดินมาเผยกาย ก็ได้ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งเลาะเอ็นมังกรออกมาช่วงหนึ่ง พอผสานรวมเข้ากับเส้นสายเทือกเขาแล้วจึงทำให้ปราณวิญญาณของภูเขาแม่น้ำประหนึ่งสายน้ำพุไหลริน

เฉินผิงอันดื่มเหล้าคำแล้วคำเล่า หาได้ยากนักที่จะมีเวลาผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ การเดินทางลงใต้กลับมาเยือนสถานที่ที่เคยผ่านอีกครั้งในคราวนี้ อันที่จริงล้วนเร่งเดินทางอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังต้องคอยนับนิ้วคำนวณวันกลับ น้อยครั้งนักที่จะมีช่วงเวลาที่จิตใจผ่อนคลายเช่นนี้

ม้าตัวนั้นต่อให้ไม่ถูกเชือกพันธนาการเอาไว้ มันก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย บางครั้งก็ยกกีบเท้าขึ้นเตะพื้นหินเบาๆ

อันที่จริงเฉินผิงอันคอยมองมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้โอกาสมันได้ก่อเรื่องใดๆ

ตอนที่พาไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วจะได้ให้มันเป็นเพื่อนกับม้าที่ตนตั้งชื่อว่าฉวีหวงตัวนั้น

คนเดินเท้าที่อยู่ตรงแถบท่าเรือนี้ นอกจากจะเป็นผู้ฝึกตนแล้ว ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนรวย หรือไม่ก็ชนชั้นสูง เฉินผิงอันดื่มเหล้า มองการกระทำและคำพูดของพวกเขาไปเงียบๆ ทว่ามองเพียงไม่นานก็ละสายตาออกอย่างรวดเร็ว

เวลาล่วงผ่านไปอย่างเนิบช้า

เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง จูงม้าเดินไปที่ท่าเรือ

พอขึ้นเรือมาแล้ว ผูกม้าไว้เรียบร้อย เฉินผิงอันก็เริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องของตัวเอง จะปล่อยให้ตัวเองแพ้จ้าวซู่เซี่ยที่ตนถ่ายทอดวิชาหมัดให้คงไม่ดีเท่าไหร่

ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่นั่งโดยสารเรือ เขาจะต้องฝึกหมัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เสมอ

กลางดึกที่เงียบสงัดของวันหนึ่ง เฉินผิงอันเดินมาที่หัวเรือ นั่งลงบนราวรั้ว ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางนภา ในตำราบอกไว้ว่าดวงจันทร์คือแสงแห่งมาตุภูมิ เพียงแต่ว่าดูเหมือนตำราในใต้หล้าไพศาลจะไม่เคยกล่าวไว้ว่า ในใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง บนหัวกำแพงเมือง เมื่อทอดสายตามองออกไปจะเห็นทัศนียภาพแปลกตาที่มีดวงจันทร์ลอยกลางนภาถึงสามดวง ขอแค่คนต่างถิ่นได้เห็นเพียงครั้งก็จะต้องจดจำไปชั่วชีวิต

ห่างออกไปไม่ไกลมีคู่ชายหนุ่มหญิงสาวที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรกำลังเกี้ยวพากันกระหนุงกระหนิง

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก การดื่มเหล้าในทุกวันนี้ไม่มีความรู้สึกเหมือนช่วงแรกเริ่มที่ดื่มอีกแล้ว กลุ้มก็ดื่ม ไม่กลุ้มก็ดื่ม แต่ไม่ได้ติดอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนการดื่มน้ำตอนเยาว์วัย

คู่รักหนุ่มสาวหน้าบาง คาดไม่ถึงว่าดึกดื่นเช่นนี้จะยังมีโคมไฟดวงใหญ่ขนาดนั้นแขวนไว้บนราวรั้ว จึงได้แต่เดินอ้อมออกห่างไปไกลยิ่งกว่าเดิม พวกเขาพร่ำพูดความในใจแก่กัน ทว่ามือของบุรุษกลับไม่อยู่นิ่ง สตรีเขินอาย ใบหน้าแดงก่ำ บางครั้งก็คอยชำเลืองตามามองโคมไฟที่เกะกะตาดวงนั้น เห็นว่าดูเหมือนคนผู้นั้นจะไม่ทันสังเกตเห็น ถึงได้โล่งใจ ปล่อยให้คนรักลูบไล้ไปทั่วกาย ถึงอย่างไรการลงเขามาท่องเที่ยวของสำนักในครั้งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนให้คนสองคนอยู่ห้องเดียวกัน ยากนักที่จะมีโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง พวกเขาจึงนัดหมายเวลาเพื่อลอบออกจากห้องมาพบกันไว้นานแล้ว

เฉินผิงอันถือโอกาสทิ้งตัวลงนอนหงาย ยกเท้านอนไขว่ห้าง สองมือกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่

หางตาของเฉินผิงอันชำเลืองไปยังจุดที่ห่างไปไกล ตรงนั้นมีคนหนุ่มสีหน้าเฉยชา รูปโฉมธรรมดาสู้บุรุษที่กำลังกระซิบกระซาบอยู่ริมหูของสตรีไม่ได้คนหนึ่งยืนอยู่

แล้วเฉินผิงอันก็ไม่เหลือบมองอีก

หลังจากที่คนผู้นั้นจากไปด้วยความผิดหวัง เพียงไม่นานก็มีหญิงชราท่าทางขุ่นเคืองผู้หนึ่งเดินมาทางนี้ คู่รักทั้งสองจึงผละจากกันทันที

บุรุษที่ก่อนหน้านี้ขวัญกล้าเทียมฟ้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลง ส่วนสตรีที่อับอายกลับเดินหน้ามาหนึ่งก้าว ประสานสายตากับผู้อาวุโสในสำนักโดยตรง

หญิงชราตำหนิสั่งสอนอย่างรุนแรงไปคำรบหนึ่ง แล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อเดินจากไป

สตรีปิดหน้าร่ำไห้ บุรุษจึงพูดจาปลอบโยนนาง

จากคำพูดที่ไม่ประติดประต่อของหญิงชรา เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าผู้ฝึกตนตระกูลเซียนแคว้นซงซีกลุ่มนี้จะเดินทางไปร่วมงานพิธีที่ภูเขาเมฆาเรือง ที่นั่นเพิ่งจะมีคนเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองได้สำเร็จ ในฐานะผู้อาวุโสในศาลบรรพจารย์ของสำนัก หญิงชราที่กำลังโมโหจึงไม่อนุญาตให้สตรีผู้นั้นขึ้นเขา ให้นางรอคอยอยู่ที่ตีนเขาของภูเขาเมฆาเรืองเท่านั้น ฟังจากคำพูดของนาง หญิงชราค่อนข้างจะลำเอียงไปทางบุรุษ หากไม่เป็นเพราะมีคนนอกอยู่ด้วย เชื่อว่าหญิงชราคงไม่ได้ด่าแค่คำว่า ‘นังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์’ แล้วยอมหยุดแต่โดยดีเป็นแน่

พอหญิงชราจากไป บุรุษผู้นั้นเป็นคนรู้จักพูด เพียงไม่นานสตรีก็หัวเราะทั้งน้ำตา ใบหน้าเปื้อนยิ้มของสตรีที่เหมือนดอกสาลี่พร่างพิรุณประหนึ่งท้องฟ้าสดใสหลังฝนผ่านพ้น มองดูแล้วน่าหลงใหลเป็นที่สุด

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้เคลื่อนสายตาไปมอง เพียงจ้องม่านฟ้าที่แสงจันทร์กระจ่าง ดวงดาวบางตาเท่านั้น

หลังจากชายหญิงต่างกลับเข้าห้องของตัวเองกันไปแล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ๆ กับราวรั้ว ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก หลังจากที่เขาแอบไปฟ้องผู้อาวุโสในสำนักแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะละอายใจหรือรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ ถึงได้มาฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว เหม่อมองท้องฟ้ายามราตรี

คนผู้นั้นพลันหันขวับกลับมา “แนะนำเจ้าว่าอย่าปากมากดีกว่า”

แม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวไหลรินไม่หยุดนิ่ง ในชีวิตคนคนหนึ่งย่อมมีคนมากมายผ่านทางมา

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำขู่ของเซียนซือหนุ่มคนนั้นแม้แต่น้อย

คนผู้นั้นพลันเดือดดาลอย่างหนัก “เจ้าหูหนวกหรือไร?!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “ใช่ ข้าหูหนวก”

คนผู้นั้นอึ้งตะลึง แล้วจึงตวาดกร้าว “เจ้าอยากตายรึ?!”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เจ้าคุยกับคนหูหนวก โง่หรือไง?”

คนผู้นั้นโกรธจนลมออกจากทวารทั้งเจ็ด ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เพียงแต่ว่าเดินมาได้ครึ่งทางกลับชะงักกึก พอนึกถึงคำสั่งสอนของเหล่าอาจารย์และข่าวลือในยุทธภพบางอย่าง คนหนุ่มผู้นี้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำอะไรโดยใช้อารมณ์

เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะแสดงให้เห็นว่าตนแข็งนอกอ่อนใน ผู้ฝึกตนหนุ่มจึงลังเลตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดท้าทายต่อไป หรือว่าจะจากไปดี เมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดใจ

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “หากเจ้าแยกยวนยางคู่นั้นได้สำเร็จจริงๆ เจ้ารู้สึกว่าตัวเองจะได้ใจสาวงามงั้นหรือ? หรือรู้สึกว่าต่อให้ถอยไปก้าวหนึ่ง ได้แค่กอดสาวงามกลับไปก็พอแล้ว?”

ผู้ฝึกตนหนุ่มเงียบงันไม่ตอบคำถาม

เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง หันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “นางคือศิษย์พี่หญิงของเจ้ากระมัง? ถ้าอย่างนั้นบุรุษที่ศิษย์พี่หญิงของเจ้าชอบ กับบุรุษที่ชอบนาง ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนดีสักคน เจ้าว่าสตรีแบบนี้น่าเวทนาหรือไม่? หรือจะบอกว่าเจ้าสามารถรอได้ รอวันใดที่ศิษย์พี่หญิงของนางถูกทรยศ เสียใจอย่างสุดซึ้งแล้ว เจ้าก็จะได้ฉวยโอกาสเข้าหานาง? หลังจากได้นางมาครอบครองค่อยทอดทิ้ง ถือเป็นการแก้แค้นของเจ้า?”

มือสองข้างของผู้ฝึกตนหนุ่มกำเป็นหมัดจนเส้นเอ็นปูดโปน

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เมื่อพินิศมองจิตใจคนอย่างละเอียดก็ช่างน่าเบื่อจริงๆ มิน่าเล่าผู้ฝึกตนบนภูเขาอย่างพวกเจ้าถึงต้องคอยทบทวนสอบถามจิตใจตัวเองเป็นประจำ ในผืนนาของหัวใจ หากไม่มีพืชพรรณเติบโตก็เป็นวัชพืชรก”

สายตาของผู้ฝึกตนหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

ฟังจากถ้อยคำนี้ คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตน?

ถ้าอย่างนั้นก็เป็นแค่มือกระบี่ในยุทธภพคนหนึ่ง?

ทว่าเมื่อคนผู้นั้นชำเลืองตามามองเขา พริบตานั้นเขากลับรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดหัว เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด

ผู้ฝึกตนหนุ่มจากไปอย่างลนลาน ไม่มีเวลามามัวสนใจศักดิ์ศรีหน้าตาอะไรอีกแล้ว ถึงอย่างไรจากลากันครานี้ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาพบเจอกันอีกแล้ว

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน วิธีแก้ปัญหาที่ตนคิดขึ้นมาได้ยังคงไม่มีประโยชน์มากนัก ตอนนั้นประโยคเดียวของชุยเฉิงก็เป็นดั่งการเปิดโปงเจตนารมณ์สวรรค์ มารในใจของคนไม่มีแบ่งแยกดีเลว นั่นต่างหากจึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุด และจุดที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น หากเอ่ยตามคำพูดของชุยเฉิงก็คือ เขาเฉินผิงอันความจำดีเกินไป เคยชินกับการขบคิดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากเกินไป ก่อนหน้านั้นได้เปรียบมามากเท่าไหร่ หลังจากนี้ก็ต้องเจอกับความยากลำบากมากเท่านั้น

น้ำที่ถูกอุดกั้นไม่สู้น้ำไหล

ตนควรต้องไปเยือนอุตรกุรุทวีปในเร็ววันแล้วจริงๆ

—–