บทที่ 1484 หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“ท่านคือประมุขของรังหงส์คนปัจจุบันเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

“ข้าชื่อหลิงหลัน เป็นบ่าวรับใช้ที่เฝ้ารังหงส์” สาวงามตอบอย่างจริงใจ

บ่าวรับใช้? เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ไม่ทราบว่าผ่านทางแล้วยังไง มาเยือนแล้วยังไง?”

หลิงหลันตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หากผ่านทางก็ย่อมเชิญตามสะดวก หากมาเยือนก็จะรับแขกตามธรรมเนียม จะเชิญให้เขาไปพักด้านในค่ะ”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้ามาไกล ถ้าผ่านทางแล้วไม่เยี่ยมคารวะเจ้าบ้านสักหน่อย ก็อาจจะเสียมารยาทเกินไป ไม่ทราบว่านายท่านอยู่ที่ไหน?”

“นายท่านคนเก่าลาโลกไปนานแล้ว ตอนนี้นายน้อยทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์ ตอนนี้รังหงส์เหลือแค่ข้าที่เฝ้าบ้าน” หลิงหลันตอบ

เหมียวอี้อึ้งทันที อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้คือบ่าวรับใช้ของเผ่าหงส์? เขาถามอีกว่า “ไม่ว่าใครก็เข้าไปได้ตามอำเภอใจเหรอ? เจ้าไม่ถามข้าสักหน่อยเหรอว่าข้ามาจากไหน?”

หลิงหลันตอบว่า “ไม่มีคำว่าใครก็ได้หรอกค่ะ คนที่สามารถมาที่รังหงส์ได้ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก ไม่มีเหตุผลที่จะเมินเฉยต่อแขกผู้มาเยือน ส่วนท่านจะมาจากที่ไหน หากท่านเต็มใจก็ย่อมบอกข้าเอง หากไม่เต็มใจแล้วจะบังคับไปทำไม”

เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “ระหว่างทางที่ข้ามาที่นี่มีอุปสรรคอันตรายหลายชั้น ตลอดทางเจอวิญญาณน้ำแข็งและหงส์อัคคีน้ำแข็งไม่น้อยเลย ข้ากลัวแล้วจริงๆ ไม่ทราบว่าในรังหงส์ปลอดภัยหรือเปล่า?” เขากำลังสงสัยว่าในรังหงส์มีกับดักหรือไม่

หลิงหลันยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “ท่านไม่ต้องคิดมาก หงส์อัคคีน้ำแข็งกับวิญญาณน้ำแข็งมีไว้เพื่อสกัดการบุกรุกของวิญญาณชั่วร้ายภายนอกเท่านั้น รังหงส์มีกฏระเบียบ…ก็อย่างที่บอก ผู้ที่สามารถมาที่รังหงส์ได้ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก พวกไม่เมินเฉยแน่นอน หงส์อัคคีน้ำแข็งกับวิญญาณน้ำแข็งเป็นเพียงกำแพงป้องกันรอบรังหงส์ ไม่ให้บุกเข้ามาทำอะไรผลีผลามในแอ่งกระทะ”

พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะเข้าหรือไม่เข้าล่ะ? เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ที่สิ้นเปลืองสมองคิดหาหนทางก็เพื่อจะเข้ารังหงส์ไม่ใช่หรอกหรือ? ดูจากท่าทีของอีกฝ่ายก็ไม่มีเจตนาเป็นศัตรูอะไร ถ้ามีเจตจาไม่ซื่อจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อตนให้เข้ารังหงส์หรอกมั้ง?

พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็กัดฟัน เก็บทวนในมือแล้วกุมหมัดคารวะ “ถ้าเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นก็รบกวนด้วย”

หลิงหลันเบี่ยงตัวและยื่นมือเชิญแขกด้วยท่าทีสุภาพ

เหมียวอี้กระโดดลงจากหลังเฮยทั่นแล้ว เดินก้าวยาวไปข้างหน้า ขณะกำลังจะขึ้นบันได หลิงหลันที่อยู่บนบันไดลับเตือนว่า “รังหงส์เป็นสถานที่สะอาดบริสุทธิ์ แขกควรล้างตัวก่อนสักหน่อยมั้ย?”

เหมียวอี้หยุดเดินอย่างงุนงง พอมองบนร่างกายตัวเอง ถ้าไม่ใช่เลือดของตัวเองก็เป็นเลือดของเฮยทั่นที่ทิ้งรอยแห้งเอาไว้ ค่อนข้างสกปรกจริงๆ เขาจึงร่ายอิทธิฤทธิ์กางแขนสองข้าง บนตัวระเบิดฝุ่นผงออกมา รอยเลือดที่ติดอยู่บนหน้าและทุกอย่างบนเกราะรบก็ถูกกวาดจนสะอาด เผยเกราะรบที่ใหม่เอี่ยมและใบหน้าที่ห้าวหาญมีพลัง

หลิงหลันที่ยืนอยู่บนบันไดทำท่ายื่นมือเชิญแขกอีกครั้ง รอจนกระทั่งเหมียวอี้ขึ้นมาแล้ว นางก็ชำเลืองเฮยทั่นที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมยิ้มเบาๆ “สัตว์พาหนะของท่านช่างพิเศษจริงๆ”

เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง รู้ว่าคำว่า ‘พิเศษ’ นั้นหมายถึง ‘อัปลักษณ์’ เฮยทั่นในตอนนี้ก็เหมือนสุนัขที่ขนร่วง

พอเข้ามาในประตูใหญ่ ก็เจอโถงใหญ่ลักษณะกลมที่โล่งกว้าง เพดานสูงโค้ง มีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่มาก ในกำแพงโดยรอบล้วนมีรูปสลักหงส์เฟิ่งหวงที่อยู่ในท่วงท่าต่างๆ ราวกับมีชีวิต ทุกที่ล้วนเป็นผลึกใส สูงส่งงามประณีต บนบันไดตรงหน้าเก้าอี้น้ำแข็งสลักรูปรังหงส์เฟิ่งหวงสองตัว ตั้งอยู่ที่สูง วางไว้เคียงคู่กัน

หลิงหลันยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้เร่งรัดอะไร ปล่อยให้เหมียวอี้ตรวจดูรอบๆ

ที่จริงเหมียวอี้ก็แอบระวังนางอยู่ หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว ก็หันมาถามว่า “ถ้าข้าดูไม่ผิด ก่อนหน้านี้คนที่ร่ายอิทธิฤทธิ์พัดม้วนกองหิมะข้างนอกไปก็คงจะเป็นเจ้าใช่มั้ย?”

หลิงหลันอมยิ้มพลางพยักหน้า “แขกผู้มาเยือนไม่ได้มองผิดหรอก เป็นข้าจริงๆ เมื่อมีแขกมาก็ย่อมต้องกวาดหิมะรับแขก”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “แบบนี้ก็แสดงว่าเจ้าคงจะเป็นวิญญาณน้ำแข็งน่ะสิ ที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณมีวิญญาณน้ำแข็งไม่น้อย ทำไมไม่เห็นวิญญาณน้ำแข็งอื่นๆ ในรังหงส์เลย?”

หลิงหลันตอบว่า “ไม่ใช่ว่าวิญญาณน้ำแข็งทั้งหมดจะเข้ามาในรังหงส์นี้นี้ได้ มีเพียงวิญญาณน้ำแข็งที่นายท่านเลือกเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้”

“รังหงส์ใหญ่โตขนาดนี้ อย่าบอกนะว่านายท่านของพวกเจ้าเลือกให้เจ้าอยู่เฝ้าคนเดียว?” เหมียวอี้ถาม

“ที่จริงก็มีอยู่ไม่น้อยเลย ตอนหลังรังหงส์ปะทะกับตำหนักสวรรค์ วิญญาณน้ำแข็งในรังหงส์โดนตำหนักสวรรค์กำจัดหมด” หลิงหลันตอบ

“แล้วทำไมตำหนักสวรรค์ถึงปล่อยเจ้าไว้ล่ะ? ทำไมถึงปล่อยกลุ่มวิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ข้างนอกไว้?” เหมียวอี้ถาม

หลิงหลันอธิบายว่า “ตอนแรกวิญญาณน้ำแข็งในรังหงส์โดนปราบจนไม่เหลือ กลุ่มวิญญาณน้ำแข็งข้างนอกยังไม่ก่อตัว กอปรกับนายท่านขอร้องโดยอ้างว่าจะให้แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายโดนวิญญาณชั่วร้ายครอบครองไม่ได้ ตำหนักสวรรค์ถึงได้ปล่อยวิญญาณน้ำแข็งเอาไว้ป้องกันไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายข้างนอกรุกรานเข้ามา ส่วนข้าก็เป็นหนึ่งในกลุ่มวิญญาณน้ำแข็งด้านนอกที่เพิ่งกลายร่างเป็นมนุษย์พอดี นายท่านถึงได้เลือกให้ข้ามาเฝ้ารังหงส์”

“ยังไม่กลายร่างเป็นมนุษย์? อาศัยพลังของพวกเจ้า สามารถต้านทานไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายข้างนอกบุกเข้ามาได้เหรอ?” เหมียวอี้สงสัย

“ในปีที่นายท่านยังอยู่ ข้างนอกยังไม่มีวิญญาณชั่วร้ายที่แข็งแกร่งอะไรนัก วิญญาณชั่วร้ายที่อ่อนแอพวกนั้นจะบุกเข้ามาได้ยังไง ถึงแม้ตอนนี้วิญญาณชั่วร้ายข้างนอกจะมีพลังอยู่บ้าง แต่พลังของทุ่งน้ำแข็งโบราณก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ถ้าวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นจะบุกเข้ามาก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น” หลิงหลันตอบ

เหมียวอี้ลองคิดตาม ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงบอกอีกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ตอนนี้นายท่านของเจ้าก็คงจะเป็นเผ่าหงส์ที่รับใช้ตำหนักสวรรค์อยู่”

“ใช่แล้ว!” หลิงหลันตอบ

“ดูท่าแล้วนายท่านนายท่านของเจ้าคงจะกลับมาไม่บ่อยนะ”

หลิงหลันตอบว่า “มาไม่บ่อยจริงๆ ค่ะ หนึ่งแสนกว่าปีมานี้ พวกเราเคยเจอทั้งหมดเพียงสามครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นตอนที่ข้าเฝ้ารังหงส์ อีกสองครั้งก็เป็นตอนที่นายท่านได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาปราบวิญญาณชั่วร้ายที่เริ่มตั้งตนเป็นใหญ่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์”

เหมียวอี้ถาม “เจ้าไม่รู้ที่มาที่ไปของข้า แต่ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบหมด มีเหตุผลอะไร?” ความหมายแฝงในคำพูดนี้ก็คือ ‘ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นจริงหรือเปล่า?’

หลิงหลันยิ้มเบาๆ “ตอนที่ข้ามารังหงส์ รังหงส์ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ข้าเองก็เคยเจอนายท่านแค่สามครั้งจริงๆ รู้ไม่เยอะหรอก ไม่มีอะไรน่าปิดบัง มิหนำซ้ำนายท่านก็สั่งไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าคนที่สามารถมารังหงส์ได้ล้วนเป็นคนของตำหนักสวรรค์ บอกข้าว่าไม่จำเป็นต้องปิดบัง ถ้าถามก็ตอบ”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก สงสัยอีกฝ่ายจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนเป็นคนของตำหนักสวรรค์

แต่คิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกว่าใช่ ทุ่งน้ำแข็งโบราณมีบทบาทในการข่มวิญญาณชั่วร้ายที่ชัดเจนเกินไป ขนาดยอดฝีมือของแดนมรณะดึกดำบรรพ์อย่างอวี้ซายังบุกเข่ามาไม่ได้เลย แล้ววิญญาณชั่วร้ายจะบุกเข้ามาได้อย่างไร คนที่สามารถเข้ามาได้ก็มีแต่คนนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์เท่านั้น และทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ถูกตำหนักสวรรค์ปิดล้อมอยู่ คนที่สามารถมารังหงส์ได้ก็ย่อมได้รับอนุญาตจากตำหนักสวรรค์แล้ว ตอนนี้เผ่าหงส์บอกว่าทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์ ความจริงแล้วเป็นทาสของตำหนักสวรรค์ต่างหาก ไม่มีอำนาจและผลประโยชน์ใดๆ ที่จริงแล้วเทียบแม่ทัพภาคอย่างเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ตำหนักสวรรค์ส่งคนมาแล้ว คนของรังหงส์จะไม่เกรงใจได้อย่างไร

หลังจากเข้าใจแล้ว ความสงสัยก่อนหน้านี้ก็ถูกคลายแล้วเช่นกัน ความระมัดระวังตัวอย่างสูงนั้นอาจจะคลายเต็มที่ไม่ได้ แต่ก็คลายลงหลายส่วนแล้ว

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “ในเมื่อถามอะไรก็ตอบ งั้นข้าจะถามเจ้าอีกอย่าง จุดแสงเจ็ดสีที่อยู่ในหงส์อัคคีน้ำแข็งที่มาขวางทางก่อนหน้านี้ ข้าเห็นมันอยู่ในหงส์น้ำแข็งข้างนอกเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะอะไร?”

สำหรับคำถามนี้ หลิงหลันลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตอบว่า “นั่นคือดวงจิตวิญญาณของเผ่าหงส์ที่โดนตำหนักสวรรค์ประหารไปก่อนหน้านี้ เผ่าหงส์ไม่เหมือนกับเผ่าอื่น เมื่อตายแล้วก็กลับชาติมาเกิดอีกไม่ได้ แต่จะไม่มีวันดับสูญ จะอยู่ที่แดนเดิมตลอดไป หลังจากตายแล้วถึงแม้จะไม่มีพลังอิทธิฤทธิ์อะไร แต่ยังสามารถเรียกรวมอัคคีน้ำแข็งมาเฝ้าแดนเดิมได้”

ดวงจิตวิญญาณไม่มีวันดับสูญเหรอ? เหมียวอี้ตกใจ นึกไม่ถึงว่าเผ่าหงส์ยังมีจุดที่พิเศษมหัศจรรย์แบบนี้อยู่ด้วย ขนาดตายแล้วจิตวิญญาณยังล่องลอยเฝ้าบ้านเกิดต่อไปได้ มิน่าล่ะในปีนั้นถึงเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะพระปีศาจหนานโปก่อเรื่อง ก็คงไม่ต้องไปยุ่งกับเรื่องภายนอกเลย

เขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับที่นี่ หลังจากขบคิดแล้วก็ถามอีกว่า “แล้วแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายของรังหงส์มาจากไหนล่ะ?”

หลิงหลันส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ นายท่านน่าจะรู้ แต่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้าเลย”

“งั้นข้าไปดูหน่อยได้มั้ย?” เหมียวอี้ถาม

หลิงหลันตอบว่า “ที่รังหงส์แห่งนี้ นอกจากแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย แขกสามารถไปดูได้ทุกที่ตามอำเภอใจ มีแค่แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายเท่านั้นที่ไปไม่ได้ นี่คือสิ่งที่นายท่านสั่งให้ข้าเฝ้าไว้เหมือนกัน นี่เป็นสาเหตุที่ตำหนักสวรรค์ไว้ชีวิตข้า เพื่อจะให้ควบคุมแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายแห่งนี้”

ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ แต่กลับไม่ได้เห็นแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย เหมียวอี้ย่อมไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว “ผ่อนผันสักหน่อยไม่ได้เหรอ?”

หลิงหลันตอบอย่างใจเย็นว่า “ไม่ใช่ว่าผ่อนผันไม่ได้ หากท่านอยากจะไปดูจริงๆ ข้าก็มีอยู่สองวิธี หนึ่งคือถ้าท่านมีคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ ข้าก็ย่อมไม่กล้าขัดขวาง ไม่ทราบว่านายท่านได้เอาคำสั่งของตำหนักสวรรค์มาด้วยหรือไม่?”

เหมียวอี้จะเอาคำสั่งมาจากไหนล่ะ “วิธีการที่สองล่ะ?”

“วิธีการที่สองก็ง่ายมาก ถ้าท่านต่อสู้ชนะข้าได้ ข้าก็ย่อมขัดขวางท่านไม่ได้” หลิงหลันตอบ

เหมียวอี้มองประเมินนางแวบหนึ่ง “ไม่ทราบว่าแม่นางหลิงมีวรยุทธ์เท่าไร?”

หลิงหลันเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าตรงหว่างคิ้ว “บทกชทองขั้นห้า”

เหมียวอี้โค้งมุมปากเล็กน้อย รู้สึกบันเทิงแล้ว จากนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าของตัวเอง “ดูเหมือนแม่นางหลิงจะมีความมั่นใจมากนะ ข้าว่าไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอกมั้ง?” เขาสื่อความหมายชัดเจนมาก นั่นก็คือวรยุทธ์ของเจ้าห่างกับข้าขนาดนั้น ด้านนอกมีวิญญาณน้ำแข็งมากมายยังต้านข้าไม่ไหวเลย แล้วเจ้าจะต้านข้าไหวได้ยังไง

หลิงหลันยิ้มบางๆ “ข้าย่อมเข้าใจความหมายของท่านอยู่แล้ว แต่เกรงว่าจะทำให้ท่านแขกผิดหวังแล้วล่ะ ศักยภาพของข้าไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณน้ำแข็งด้านนอกจะมาวัดได้ ในเมื่อนายท่านให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ได้ ก็ย่อมทิ้งของวิเศษไว้ให้ข้าเอาชนะศัตรู ข้าสามารถเรียกวิญญาณน้ำแข็งและอัคคีน้ำแข็งนับไม่ถ้วนให้มารวมตัวกับข้าได้ อยู่ที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณข้าได้เปรียบเรื่องพื้นที่ ถ้ายอดฝีมือทั่วไปอยากจะเอาชนะข้า ก็เกรงว่าจะไม่ง่าย แน่นอน ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก รังหงส์ไม่อาจทำให้แขกลำบากใจ หลิงหลันเองก็ไม่อยากลงมือทำลายรังหงส์ที่นี่ นายท่านเคยทิ้งของบางอย่างเอาไว้ นายท่านบอกว่า คนที่สามารถทำลายของวิเศษที่นายท่านทิ้งไว้ให้ได้ ก็แสดงว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนคนนั้น ให้ข้าไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัวอีก แล้วยอมให้แขกทำอะไรที่รังหงส์ก็ได้”

“อ้อ!” เหมียวอี้ถามอย่างสนใจว่า “ไม่ทราบว่านายท่านขงพวกเจ้าทิ้งของอะไรไว้?”

หลิงหลันสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เห็นเพียงแผ่นน้ำแข็งที่หนาทนทานข้างๆ มีระลอกคลื่นสีฟ้าที่สวยสดงดงามลอยขึ้นมา ไม่นานก็มีไข่มุกที่เป็นน้ำแข็งสีฟ้าโปร่งแสงเม็ดหนึ่งทะลักออกมา เล็กกว่าไข่ไก่ไม่กี่เท่า แต่กลับสวยงามมาก ในนั้นเหมือนจะมีเงาเปลวเพลิงโยกไหว

ไข่มุกลอยขึ้นมาจากพื้นดิน ผิวระลอกคลื่นยังเงียบสงบเหมือนเดิม

ไข่มุกตกลงในฝ่ามือของหลิงหลัน ถือรองไว้ในมือ มันสวยวิจิตรสะดุดตา หลิงหลันบอกว่า “นี่คือจี้ของสร้อยที่นายท่านหลอมสร้างเอาไว้ ยังไม่ได้เจาะรู นายท่านเรียกมันว่า ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ คำพูดที่นายท่านทิ้งไว้ก็ไม่ซับซ้อนเลย คนที่สามารถเจาะรูของสิ่งนี้ได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องขัดขวาง”

…………………………