บทที่ 669 หมัดดับเจตจำนง
ผู้คนแทบทั้งหมดในภูเขาฟีนิกซ์ต่างรู้ตรงกันว่านายเหนือหัวคนล่าสุดของพวกเขาก็คือ ราชันสงคราม ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคเมื่อ 100,000 ปีก่อน
หลังจากที่ราชันสงครามตายลงไป ตำแหน่งนายเหนือหัวแห่งภูเขาฟีนิกซ์ก็ว่างมาโดยตลอด ไม่มีใครเคยได้แตะตำแหน่งนั้นมาอีกจนถึงปัจจุบัน
แต่ว่าอันที่จริงมันยังมีคนกลุ่มเล็ก ๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่รู้ว่าหลังจากราชันสงครามตายไป มันยังมีอีกคนหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งเป็นนายเหนือหัวของพวกเขาภูเขาฟีนิกซ์
แต่ไม่มีใครต้องการจะเปิดเผยข้อมูลของนายเหนือหัวคนล่าสุดผู้นั้น แถมพวกเขายังถูกสั่งห้ามไม่ให้เปิดเผยเรื่องนี้กับใครอีกต่างหาก
แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกสั่งห้าม พวกเขากลับเลือกที่จะบันทึกข้อมูลนี้และเก็บบันทึกนั้นเอาไว้ในส่วนต้องห้ามที่สุดของภูเขาฟีนิกซ์เพื่อย้ำเตือนพวกเขาเองว่าไม่ให้ลืมคนผู้นั้น
แม้ว่าบันทึกต้องห้ามนั้นจะถูกห้ามไม่ให้ใครแตะต้องก็จริง แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้กลับมีคนฝ่าฝืนเปิดอ่านมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ผู้ที่ฝ่าฝืนเปิดอ่านมันก็ไม่ใช่ใครอื่น มันคือ หวงเซียะ นั่นเองที่เป็นคนไปเปิดอ่าน
แต่ว่าหวงเซียะอ่านถึงแค่รู้ว่า หวงซี มีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับนี้ก็แค่นั้น จากนั้นนางก็ถูกจับได้ก่อนและถูกลงโทษไป
ถึงแม้ว่าหวงเซียะจะเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของภูเขาฟีนิกซ์ และยังเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นนายเหนือหัวของภูเขาฟีนิกซ์คนต่อไป นางก็ยังถูกลงโทษอย่างรุนแรง จนนางเข้าใจว่าความลับต้องห้ามนี้มันสำคัญเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หวงเซียะไม่รู้ก็คือหากความลับนี้ถูกเปิดเผยออกไป มันอาจจะส่งผลให้ภูเขาฟีนิกซ์ต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่เลยด้วยซ้ำ
แต่เมื่อครู่ หลิงตู้ฉิงกลับพูดประโยคที่มันหมายถึงว่าเขารู้ความลับนี้ขึ้นมา แถมเขายังพูดต่อหน้าผู้คนมากมายอีกต่างหาก…
หากความลับนี้ถูกเปิดเผยเข้า หายนะแบบไหนจะบังเกิดกับพวกเขาบ้าง? แล้วหลิงตู้ฉิงรู้ความลับนี้ได้ยังไง?
บรรดาตัวตนระดับสูงของภูเขาฟีนิกซ์ต่างตกตะลึงและเดือดดาลกันเป็นอย่างมาก แม้แต่เฟิงหลิงก็ลงมือในทันทีโดยไม่พูดอะไรต่อ
การลงมือครั้งนี้ของเฟิงหลิงไม่มีการออมแรงอะไรไว้แม้แต่น้อย เขาตั้งใจอยากจะสังหารหลิงตู้ฉิงเพียงอย่างเดียว
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิง ซึ่งได้รับการเกื้อหนุนพลังโดยรูปปั้นฟีนิกซ์ทั้ง 99 ตัว ก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันให้กับเฟิงหลิง
เมื่อเฟิงหลิงพุ่งเข้าจนได้ระยะเหมาะ หลิงตู้ฉิงก็ปล่อยหมัดสวนออกไปเพียงแค่หมัดเดียว!
หากเป็นหมัดของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราปกติ เฟิงหลิงคงไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย
แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงอำนาจของหมัดที่หลิงตู้ฉิงปล่อยออกมา หน้าของเขาก็เปลี่ยนสีทันที
หมัดที่หลิงตู้ฉิงปล่อยออกมานั้นมันมีเจตจำนงของรูปปั้นฟีนิกซ์ 3 ตัวเกื้อหนุนอยู่ ซึ่งนั่นยังไม่ใช่ปัญหาที่สำคัญที่สุด ปัญหาสำคัญที่สุดของหมัดนี้ที่มันทำให้เขาขนลุกก็คือหมัดนี้มันคุกคามเข้าไปถึงห้วงจิตสำนึก วิญญาณและแหล่งกักเก็บอำนาจแห่งเจตจำนงที่เขาได้บรรลุเอาไว้
เจตจำนงที่แฝงอยู่ในหมัดของหลิงตู้ฉิง มันแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาพยายามที่จะทำลายเจตจำนงของเขาที่ได้สร้างมาตั้งแต่ตอนที่เขาทะลวงขอบเขตขึ้นมาเป็นขอบเขตราชันในอดีต
เฟิงหลิงหยุดการโจมตีของเขาทันที และพยายามใช้เจตจำนงในร่างกายของเขาต่อต้านเจตจำนงที่แฝงมากับหมัดของหลิงตู้ฉิงอย่างเต็มที่
หากเจตจำนงที่บรรลุมาในร่างของเขาถูกทำลายหายออกไป เฟิงหลิงจะไม่สามารถใช้พลังเจตจำนงของเขาได้อีกตลอดกาล
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะและร่างกายและพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าหากว่าเขาไม่สามารถใช้พลังของเจตจำนงของตัวเองได้ต่อให้คู่ต่อสู้ของเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันขั้นปลาย เขาก็คงไม่อาจต่อกรด้วยได้ ดังนั้นเขาจะเรียกตัวเองว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าเฟิงหลิงจะพยายามอย่างสุดฤทธิ์เพื่อต่อต้าน แต่น่าเสียดายที่เจตจำนงของหมัดหลิงตู้ฉิงที่เขาเผชิญอยู่นั้นมันประกอบไปด้วยเจตจำนงของรูปปั้นฟีนิกซ์ถึง 3 ตัว แม้ว่าเขาจะพอต้านทานได้ตัวหนึ่ง แต่อีก 2 ตัวก็เจาะเข้าไปในแหล่งกักเก็บเจตจำนงของเขาและทำลายพลังเจตจำนงของเขาจนย่อยยับ!
รากฐานจักรพรรดิถูกทำลาย!
หมัดที่หลิงตู้ฉิงใช้ก็คือหมัดที่สองของสามสุดยอดหมัดที่เขาคิดค้นขึ้นเมื่อชีวิตที่แล้ว
หมัดแรกถล่มฟ้าสั่นคลอนสวรรค์
หมัดที่สองดับเจตจำนงจักรพรรดิ
หมัดที่สามสังหารเทพ
ในเวลานี้ร่างของเฟิงหลิงถูดอัดจนลอยละลิ่วมาอยู่ใกล้กับเฟิงปิงอีกรอบ
เฟิงหลิงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากพร้อมกับกระอักเลือดออกมาคำโต และมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาตกตะลึงและเคียดแค้น
หากเขาไม่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับขอบเขตมหาจักรพรรดิ ต่อไปในภูเขาฟีนิกซ์ใครจะเชื่อฟังเขา?
เขาอุตส่าห์ลำบากตรากตรำมากว่าหมื่นปีจนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ แต่แล้วทุกอย่างกลับสูญสลายหายไปอย่างง่าย ๆ ในเวลาเพียงชั่วอึดใจ…
เฟิงหลิงกู่ร้องขึ้นด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเป “อ้ากกกก ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า!”
“เจ้าหยุดทำอะไรบุ่มบ่ามสักที!” เฟิงปิงยกมือขึ้นห้ามเฟิงหลิง
ในเวลานี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิอีก 9 คนปรากฏตัวขึ้นพร้อม ๆ กันที่ด้านหน้าทางเข้าตำหนักฟีนิกซ์ ซึ่งพวกเขาต่างมองไปที่หลิงตู้ฉิงเป็นสายตาเดียวกันด้วยสีหน้าเย็นชา
และนี่ก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่เฟิงปิงห้ามเฟิงหลิงไม่ให้ทำอะไร เนื่องจากในตอนนี้บรรดาตัวตนระดับสูงได้ปรากฏตัวขึ้นทั้งหมดแล้ว ซึ่งพวกเขาต้องการที่จะรู้ให้ได้ว่าหลิงตู้ฉิงรู้ความลับของพวกเขาภูเขาฟีนิกซ์ได้ยังไง?
หญิงชราที่เพิ่งปรากฏตัวพร้อมกับกลุ่มตัวตนระดับสูงขอบเขตมหาจักรพรรดิ มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเย็นชาและถามว่า “เจ้ารู้ความลับของพวกเราได้ยังไง?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “คนมากมายบนโลกได้เห็นเหตุการณ์ในปีนั้น เจ้าคิดว่ากับอีแค่การที่พวกเจ้าพยายามปกปิดมันด้วยตัวพวกเจ้าเองมันจะเพียงพอรึไง? หากพวกเจ้าต้องการปกปิดความลับนี้กับเฉพาะเหล่าคนของพวกเจ้าเท่านั้นมันก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าจะเหมารวมไปถึงคนอื่น ๆ มากมายที่อยู่โลกภายนอก พวกเจ้าคงได้แต่ฝันกันแล้วล่ะ”
ชายชราที่อยู่ในกลุ่มตัวตนระดับสูง พูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว จงตอบพวกข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้ารู้ความลับของพวกเราได้ยังไง? บอกพวกข้ามา พวกข้าจะได้ตัดสินใจลงโทษเจ้าได้ถูกวิธี”
“ลงโทษข้างั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงหัวเราะเยาะเย้ย “หากในอดีตตอนที่พวกเจ้าโดน 7 มหาอาณาจักรและ 13 มหาสำนักรุมล้อม พวกเจ้ามีความมั่นใจปากดีได้แบบนี้ก็คงจะดี! เอาล่ะ เอาไว้ข้าเสร็จธุระจากการฆ่าคนก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะคุยกับพวกเจ้าอีกรอบหนึ่ง ในตอนนี้พวกเจ้าจงดูอยู่เฉย ๆ กันไปก่อน”
“โอหัง!” หญิงชราอีกคนหนึ่งตะคอกขึ้น “เจ้าคิดว่าการที่เจ้าสามารถควบคุมเจตจำนงของรูปปั้นฟีนิกซ์ได้ครบ พวกข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นเหรอ? ผู้อาวุโสแห่งภูเขาฟีนิกซ์ทั้งหมดจงฟังข้า ในเวลานี้คนผู้นี้คือภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดของภูเขาฟีนิกซ์ของพวกเรา ทุกคนจงรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและลงชื่อในใบบงการทัพให้หมดทุกคน พวกเราจะใช้องค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ในการต้านทานเจตจำนงรูปปั้นฟีนิกซ์เอาไว้ จากนั้นพวกเราจะคร่ากุมตัวชายผู้นี้มารีดเค้นหาความจริงทุกอย่าง!”
บรรดาบรรพบุรุษทุกคนต่างเห็นตรงกัน จนในเวลานี้ทั้งภูเขาฟีนิกซ์ต่างก็รวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว แต่แล้วเมื่อพวกเขาทุกคนลงชื่อกันในใบบงการทัพจนครบและกำลังจะส่งไปให้กับองค์รักษ์ปีกศักดิ์สิทธิ์ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
จู่ ๆ ทั่วบริเวณภูเขาฟีนิกซ์ทั้งหมดก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนแผ่นดินของลานด้านหน้าทางเข้าตำหนักฟีนิกซ์ที่พวกเขายืนอยู่ค่อย ๆ แยกออกจากกันจนเป็นรอยแยกขนาดยักษ์
จากนั้นกลิ่นอายแห่งความตายอันรุนแรงก็พวยพุ่งออกมาจากรอยแยก
บรรดาผู้คนของภูเขาฟีนิกซ์ต่างมองไปที่รอยแยกด้วยสีหน้าโง่งม รวมไปถึงบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิทั้งหมดของภูเขาฟีนิกซ์ที่ในเวลานี้ก็แสดงสีหน้าตกตะลึง
จากนั้นเพียงชั่วอึดใจ ทุกคนก็ได้ยินเสียงดังกรอบแกรบขึ้นมาจากรอยแยกและในเวลาไม่นานทุกคนก็ได้เห็น ‘โครงกระดูก’ ร่างหนึ่งที่มีมงกุฎอยู่บนกะโหลกและสวมชุดคลุมยาวสีแดงบ่งบอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ลอยออกมาจากรอยแยก และร่อนลงมายืนอยู่ตรงหน้าหลิงตู้ฉิง
บรรดาผู้คนของภูเขาฟีนิกซ์ที่เห็นมงกุฎและชุดคลุมลักษณะนี้พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าโครงกระดูกนี้จะต้องเป็นตัวตนระดับสูงของพวกเขาแน่นอน พวกเขาทุกคนต่างคุกเข่าคำนับลงอย่างพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาบรรพบุรุษก็ยังต้องคุกเข่า
แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาเห็นถัดมามันกลับทำให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงหนักกว่าเดิม โดยเฉพาะบรรดาบรรพบุรุษของภูเขาฟีนิกซ์ที่เห็นภาพนี้ หัวใจของเขาหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันทีพลางคิดในใจ ‘ครั้งนี้ภูเขาฟีนิกซ์ของพวกเขาทำผิดมหันต์!’
สิ่งที่พวกเขาทุกคนเห็นก็คือในเวลานี้ที่ตาอันกลวงโบ๋ของโครงกระดูกนั้นกลับมีน้ำตาหลั่งไหลออกมา!
“ท่านกลับมาแล้ว!” โครงกระดูกพูดขึ้นพลางหลั่งน้ำตา