บทที่ 991 ดินแดนที่หลับใหล!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ดูเหมือนกำลังย่างก้าว ทว่าว่องไวเป็นอย่างยิ่ง แม้อาณาเขตกระบี่สำริดโบราณนี้จะกว้างใหญ่ แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อที่บรรลุขั้นระดับดาวพระเคราะห์แล้วนั้น มันไม่เป็นเฉกเช่นเดิมอีกต่อไป

ดังนั้นด้วยเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เขาได้ย้ายจากบริเวณด้ามจับไปยังเขตแดนระหว่างกระบี่โบราณกับดวงอาทิตย์ เมื่อมองดูที่แห่งนี้ ในสมองของเขาจึงหวนนึกถึงภาพเรือรบขนาดใหญ่ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นเคยจอดไว้อยู่ที่นี่ในอดีต

หลังละสายตาจากที่โล่ง สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาก้าวเข้าสู่ดินแดนของตัวกระบี่โบราณโดยตรง ทันทีที่เข้าไปพลันปรากฏลมแห่งเปลวเพลิงถาโถมมาตรงหน้า พื้นพสุธาพังทลายไปพร้อมๆ กัน และยังมีวงแหวนต้องห้ามที่กำลังคุกรุ่นจำนวนมาก รวมถึงมีหินหนืดที่เคลื่อนตัวอยู่ด้วย

ทั้งหมดนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อคนเดิม อาจกล่าวได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติ แต่สำหรับเขาในตอนนี้เรียกได้ว่าสามารถมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นอกจากนี้ ที่เขาไม่เลือกก้าวเข้ามาจากปลายกระบี่โบราณอีกฝั่งหนึ่งโดยตรงก็มีเหตุผลเช่นกัน

ถ้าเข้ามาโดยตรงจากฝั่งนั้น เขาคงตกอยู่ในพลังภายนอกที่ทะลวงเข้ามา ซ้ำยังยังต้องรับมือกับพลังต้านจากบริเวณปลายกระบี่ ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อคู่ต่อสู้มีความพร้อม ซ้ำยังสามารถทำการโต้กลับอยู่ตรงนั้นได้อีก หากเขาผ่านพ้นบริเวณด้ามกระบี่ไปได้ ทุกอย่างจากนี้จะราบรื่นเพราะเป็นเส้นทางปกติ

ด้วยเหตุนั้น หลังจากกวาดสายตาคร่าวๆ หวังเป่าเล่อจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาก้าวข้ามอาณาเขตโดยเมินเฉยต่อทะเลเพลิงต้องห้ามทั้งมวลพร้อมนำหัวกะโหลกในมือ ไม่แม้แต่จะมองบรรยากาศซึ่งแผ่กระจายอยู่ในที่แห่งนี้ กายาวิญญาณจำนวนหนึ่งรวมถึงสัตว์อัคคีต่างหมอบคำนับด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่นพลางหวีดร้องโหยหวน

ในอดีต การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้สร้างปัญหาให้กับเขา ทว่าตอนนี้เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณของเขา สิ่งเหล่านี้ทำได้เพียงสั่นสะท้าน ไม่อาจหาญต่อต้านแม้แต่น้อย ปล่อยให้หวังเป่าเล่อเข้าไปข้างในดินแดนใจกลางกระบี่ท่ามกลางเสียงหวีดร้อง

ในไม่ช้าเขาก็มาถึงทะเลสาบโลหิตที่เขาได้ตราประจำตัวผู้อาวุโสกลับมา และมองเห็นซากศพมหึมา รวมถึงแนวขนอ่อนที่พลิ้วไหวอยู่บนซากศพนั้นอีกครั้ง

เพียงแค่กวาดตามอง ขนอ่อนทั้งหมดพลันสั่นระริกพร้อมลู่ลง แม้กระทั่งทะเลโลหิตก็สั่นไหว สัตว์รูปร่างคล้ายแมลงปอขนาดใหญ่ในตอนแรกก็ค่อยๆ โผล่ส่วนหัวออกมาครึ่งหนึ่งพร้อมกับสายตาระคนสงสัย มันมองมาที่หวังเป่าเล่อด้วยความระแวดระวังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งสามารถสังเกตเห็นถึงความตื่นตระหนกของมันได้จากร่างกายที่สั่นเทาอยู่ในตอนนี้

“สิ้นสุดระหว่างขั้นเชื่อมวิญญาณและขั้นจิตวิญญาณอมตะ” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าไปมาขณะละสายตาจากสัตว์ในทะเลโลหิต เขาเร่งฝีเท้าต่อไปไม่หยุด ด้วยวิธีนี้จึงห้อตะบึงไปตามเส้นทางที่ได้มองดูทิวทัศน์คุ้นตามากมาย อีกทั้งทะยานผ่านหลายๆ ที่ซึ่งไม่เคยไปมาก่อน จนกระทั่งแลเห็นดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นอีกครั้ง

ความทรงจำในอดีตปรากฏขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ ทำเอาเขาหยุดชะงักอยู่กลางดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นชั่วครู่ ก้มดูลักษณะภูมิประเทศที่คล้ายดวงตาบนพื้นดิน นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววประหลาดใจ

ที่นี่คือที่เดียวที่เขาเดินเท้ามาตลอดทาง เมื่อดูจากระดับการฝึกในปัจจุบัน มีเพียงบริเวณนี้ที่ไม่สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าเขาเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลามาเสาะหาสาเหตุเพิ่มเติม หลังจากได้แค่กวาดตามองจึงออกเดินทางต่อไป ทั้งยังผ่านอีกหลายพื้นที่ซึ่งเขาไม่สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งข้างหน้าได้ปรากฏแนวเขตน้ำแข็งและหิมะทอดยาว ยามที่สาวเท้าก้าวข้ามมา สิ่งที่ฉายชัดตรงหน้าคือดินแดนหิมะน้ำแข็งที่คุ้นเคย ซึ่งเขาเคยเห็นมาก่อน

ไกลออกไปด้านหน้า มีวังขนาดมหึมาสามแห่ง สูงถึงหลายร้อยจั้ง!

ในวังทั้งสามแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นที่สถิตของโชคชะตา ทว่าเป็นที่หลับใหลและเยียวยารักษาของผู้ฝึกตนอาวุโสจำนวนหนึ่งของวังเต๋าไพศาลอีกด้วย

หวังเป่าเล่อในอดีตก็มาที่นี่บ่อยที่สุด แต่ตอนนี้กำลังส่องประกายวาววับในตาของเขา ร่างกายที่มีดาวเคราะห์เต๋าไหลเวียนอยู่ข้างในทำให้โลกตรงหน้าเขาแตกต่างออกไปเล็กน้อย

บริเวณด้านหลังของพระราชวังทั้งสาม พื้นที่โล่งกว้างในครั้งแรกถูกปกคลุมด้วยหมอก หมอกนี้อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการรับรู้ของผู้คนจำนวนมาก แต่ไม่รวมหวังเป่าเล่อที่ผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าแล้ว เพียงชั่วพริบตา เขาจึงมองเห็นแท่นสังเวยทั้งสามแท่นลางๆ ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในไอหมอก!

แท่นสังเวยทั้งสามแท่นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมู บนแท่นหนึ่งที่อยู่ด้านล่างสุด มีร่างเจ็ดร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เจ็ดคนนี้ไม่ใช่ร่างไร้วิญญาณเพราะต่างก็มีพลังชีวิต แม้จะไม่ได้เต็มเปี่ยมเท่าไรนัก แต่หากดูจากลมปราณของพวกเขา ล้วนเป็นระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น!

หากมองจากตำแหน่งของการนั่งสมาธิและรูปแบบที่ล้อมรอบพวกเขา จะเห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ที่ตรงนี้ไม่ได้มีเจ็ดคน แต่มีเก้าคนนั่งล้อมเป็นวงกลม ทว่าตอนนี้กลับขาดหายไปสองคน!

คนที่ขาดหายไปแน่นอนว่าเป็นเต๋ออวิ๋นจื่อและศิษย์พี่ของเขา หวังเป่าเล่อมั่นใจมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะวังทั้งสามที่อยู่ในม่านหมอกเขาเคยไปมาหมดแล้ว แม้ว่าในสระวิญญาณที่อยู่ข้างในวังแห่งสุดท้ายนั้นจะมีผู้ฝึกตนรักษาตัวอยู่ เท่าที่หวังเป่าเล่อจดจำได้จากการฝึกตนในปัจจุบัน คนเหล่านั้นอาจไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์ หรือคงจะเคยเป็นมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าการฝึกตนลดลงเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส

นอกจากนี้บนแท่นสังเวยลำดับสองก็ยังมีร่างที่นั่งขัดสมาธิเช่นกัน แม้จะมีเพียงร่างเดียวที่ถูกบดบังด้วยม่านหมอก แต่หวังเป่าเล่อยังคงมองเห็นได้ลางๆ ว่าผู้ที่นั่งขัดสมาธินั้น เป็นชายหนุ่มคนนั้นที่โจมตีร่างอวตารของตนเองและหลบหนีไปทันทีหลังจากที่ร่างต้นแบบตัวเองมาถึง!

ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่แค่ไม่หลับตา ทว่ากำลังลืมตาโดยไม่กล่าวอะไรออกมา อีกทั้งจ้องเขม็งมายังหวังเป่าเล่อที่อยู่นอกม่านหมอก มิหนำซ้ำยังขวางกั้นหวังเป่าเล่อด้วยม่านหมอกด้วย ขณะที่สบสายตากัน ชายหนุ่มพลันเอ่ยปากทันที

“เจ้าได้สังหารลูกศิษย์ที่หลงผิดของข้า ข้าเองก็หลีกเลี่ยงการต่อสู้แล้ว เหตุใดเจ้ายังไล่ล่ามาจนบัดนี้ คิดจริงๆ รึ ว่าวังเต๋าไพศาลของข้าอ่อนแอถึงขนาดที่ดาวเคราะห์คนเดียวจะมาสร้างความหายนะได้!”  ในน้ำเสียงของชายหนุ่มที่กำลังแบกรับความอดกลั้น จิตสังหารอันเยือกเย็นดูเหมือนจะปะทุมากขึ้น เมื่อแผ่กระจายออกไป ทันใดนั้นหมอกได้ม้วนตัวขึ้นอย่างหนาแน่น แม้กระทั่งอุณหภูมิภายนอกก็ลดต่ำลงอย่างมากในขณะนี้

สีหน้าของหวังเป่าเล่อยังคงปกติ ถึงแม้จะได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ทว่าสายตาของเขากลับมองข้ามผ่านไปข้างหลัง…แท่นสังเวยที่สาม!

แท่นสังเวยนี้ต่างหากที่ทำให้เขาหวั่นกลัวสุดหัวใจ เพราะที่นั่น…เขาเห็นร่างร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิ เรือนร่างนั้นเลือนรางไปทั้งตัว ในขณะเดียวกันก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน กลิ่นอายของความตายและจิตสังหารยังวนเวียนในร่างกาย ราวกับว่าร่างทั้งร่างอยู่ระหว่างหยินและหยาง หวังเป่าเล่อเพียงชำเลืองดู ดวงตาทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบเคือง หากตอนนี้ไม่ได้ดาวเคราะห์เต๋าที่ไหลพล่านอยู่ในร่าง เกรงว่าหลังเหลือบมอง จิตใจของเขาคงได้รับความเสียหายไปแล้ว

“จักรพิภพ…” หวังเป่าเล่อพึมพำออกมา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในวังเต๋าไพศาลจึงมีผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ อันที่จริงมันก็ควรเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มคนนั้นอยู่เพียงระดับดารานิรันดร์เป็นแน่ แต่ไม่ได้หมายความว่าวังเต๋าไพศาลจะไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เหนือกว่าระดับจักรพิภพ

เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ชายหนุ่มคนนี้หนีกลับมาที่นี่ และทำการนั่งขัดสมาธิรอการมาถึงของหวังเป่าเล่อ ทั้งยังเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมา ย่อมต้องการอาศัยการมีอยู่ของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพทำให้หวังเป่าเล่อเกรงกลัว

หากเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์อื่น ก็อาจทำให้เกรงกลัวอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าดวงตาหวังเป่าเล่อกำลังฟื้นฟูการมองเห็น ทว่าความเย็นยะเยือกกลับปะทุขึ้นในใจอย่างฉับพลัน เขาไม่เสียเวลากับแม่นางน้อยอีกต่อไป เขายกมือขวาขึ้นมาตรงหน้าของชายหนุ่มดารานิรันดร์อย่างไม่รอช้า ไม่สนใจเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของศีรษะในมือและออกแรงกำจนแน่นอยู่ชั่วครู่

ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้น เสียงกรีดร้องก็หยุดลง หวังเป่าเล่อตัดหัวออกจากลำตัว ศิษย์น้องของเต๋ออวิ๋นจื่อที่เหลือแต่หัวพลันทรุดลง ร่างกายและวิญญาณถูกทำลายจนหมดสิ้น!

“เจ้า!!!” อีกฝ่ายตัดหัวศิษย์น้องต่อหน้าต่อตาเขา ฉากนี้ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มดารานิรันดร์เปลี่ยนไป ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็กระโจนขึ้นมาพร้อมพุ่งตัวเข้าไปด้านในไอหมอกทันที!

ความรวดเร็วนั้นมีมากเสียจนไอหมอกสลายไปในชั่วพริบตา เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลส่งเสียงอึกทึกอยู่ด้านหลัง ภาพมายาดาวเคราะห์เต๋าในตัวเขาดูดกลืนเมล็ดพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง เกราะจักพรรดิก็ห่อหุ้มป้องกันร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นการสั่นสะเทือนของฝักกระบี่ที่อยู่ในตัวเขายังมีรัศมีของปราณกระบี่ ซึ่งเกิดจากฝักกระบี่ที่ถูกหวังเป่าเล่อดึงออกมา ไหลไปตามร่างกายของเขาไปยังนิ้วชี้ข้างขวา ทำให้ทั้งตัวของเขาเหมือนคมกระบี่ที่ชักออกจากฝักและมีอาณุภาพเกรียงไกร จนทะลวงผ่านหมอกมาปรากฏกายตรงหน้าชายหนุ่มดารานิรันดร์ได้อย่างฉับไว!

“เจ้า…หลับต่อไปอีกพันปีเถอะ!” หวังเป่าเล่อกล่าวอย่างเยือกเย็น ในขณะที่โผล่มาถึง มือขวาของเขาก็พุ่งออกมาพร้อมๆ กัน

อย่างไรก็ตามชายหนุ่มคนนั้นก็มีดารานิรันดร์ อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ในถิ่นของตัวเองด้วย ใบหน้าของเขาช่างน่าเกลียดในยามที่ร้องคำรามโดยไม่คำนึงถึงบาดแผลของตน พลันยกมือทั้งสองขึ้นโบกสะบัด ทันใดนั้นก็มีดารานิรันดร์แผ่กระจายไปในร่างกายอยู่ชั่วครู่ ขณะนี้ทั่วทั้งร่างได้กลายเป็นดวงอาทิตย์หนึ่งดวงที่กำลังพุ่งมาหมายกำจัดหวังเป่าเล่อ

……………………