บทที่ 751 ข้าอยากรู้นักว่าเลือดเนื้อของหลินเป่ยเฉินจะอร่อยสักแค่ไหน...

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 751 ข้าอยากรู้นักว่าเลือดเนื้อของหลินเป่ยเฉินจะอร่อยสักแค่ไหน…

สายลมหนาวพัดผ่าน

เกล็ดหิมะโปรยปรายทั่วท้องฟ้า

ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองพื้นที่ห้า เว่ยหมิงเซวียนยืนตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเหลียงหยวนเตา หน้าผากและข้างขมับของเขาผุดพราวด้วยเม็ดเหงื่อ ชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่หายใจแรงๆ ด้วยซ้ำ

“เป็นฝีมือของหลินเป่ยเฉินอีกแล้วหรือ?”

สองมือและใบหน้าของเหลียงหยวนเตายังคงเต็มไปด้วยคราบมันเยิ้ม เขาก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อไปราวกับเป็นวิญญาณอดอยากร้อยปี

“น่าเสียดายนัก เดิมทีข้าคิดว่านี่คือโอกาสดีแล้วแท้ๆ หากประมุขป้อมเสียชีวิตเมื่อไหร่ ข้าจะได้เอาเนื้อพวกมันมาต้มกินให้หายอยาก แต่ซากศพของพวกเขากลับถูกหลินเป่ยเฉินทำลายไปเสียได้ น่าผิดหวังเหลือเกิน…”

เหลียงหยวนเตาพูดด้วยความเศร้า

เมื่อได้ยินดังนั้น เว่ยหมิงเซวียนก็ยิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม

เหลียงหยวนเตาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวของฝ่ายตรงข้าม จึงหันกลับมามองหน้าเว่ยหมิงเซวียนเล็กน้อย “เจ้ากลัวอะไรไม่ทราบ? ต่อให้ข้าเป็นมนุษย์กินคน แต่ข้าก็ยังไม่คิดจะจับเจ้ากินเพราะเรื่องนี้หรอก”

นั่นเอง เว่ยหมิงเซวียนถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

แม้จะเป็นตัวแทนของตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกามาประจำการอยู่ในมณฑลเฟิงอวี่ แต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งอยู่ดีที่ต้องมาพบเจอเหลียงหยวนเตา

แต่โชคร้ายที่ก่อนออกเดินทางมายังมณฑลเฟิงอวี่ น้องชายยอดอัจฉริยะของเว่ยหมิงเซวียนได้กำชับนักหนาว่าเขาต้องร่วมมือกับคนแซ่เหลียงผู้วิกลจริตคนนี้อย่างเชื่อฟัง อย่าให้มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นเป็นอันขาด

เว่ยหมิงเซวียนไม่สงสัยเลยว่าหากตนเองถูกเหลียงหยวนเตาจับกินขึ้นมาจริงๆ เว่ยหมิงเฉินผู้เป็นน้องชายคงไม่คิดแก้แค้นแทนตัวเขาแน่นอน และท่านเจ้าเมืองผู้วิกลจริตคนนี้ก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยด้วยซ้ำ

เพราะสำหรับตระกูลเว่ย ผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอ

“ใต้เท้าอยากไล่ล่านางปีศาจตนนั้นหรือไม่ขอรับ?”

เว่ยหมิงเซวียนอดถามออกมาไม่ได้

เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม เหลียงหยวนเตาก็แสยะยิ้ม แยกเขี้ยวออกมาด้วยความเกลียดชัง

ชั้นไขมันบนใบหน้าของชายอ้วนสั่นกระเพื่อม “ไล่ล่า? ไล่ล่าอันใด? ก่อนพูดเจ้าคิดออกมาบ้างหรือไม่? หากไม่ได้เป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินห่วงใยในความปลอดภัยของไป๋ชินหยุนผู้นั้น ป่านนี้เจ้าคงมีสภาพกลายเป็นกองเนื้อกองหนึ่งไปแล้ว เจ้าไม่รู้ตัวเชียวหรือ?”

เว่ยหมิงเซวียนถึงกับต้องก้มหน้าลงด้วยความอับอาย

จริงด้วยสินะ

การต่อสู้ในวันนี้ เขาเห็นกับตาของตนเองแล้วว่าฝีมือกระบี่ของหลินเป่ยเฉินน่ากลัวขนาดไหน

แม้แต่ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับห้า ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งกระบี่สายฟ้าในมือหลินเป่ยเฉินได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว

นี่หมายความว่าฝีมือที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉินย่อมมีความน่ากลัวมากกว่าที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้หลายต่อหลายเท่า

เว่ยหมิงเซวียนจำต้องยอมรับจากใจจริงว่า เด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นั้นสมควรแล้วที่มีสถานะเป็นศิษย์เอกของอดีตเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุน

การต่อสู้ในวันนี้ทำให้เว่ยหมิงเซวียนรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินเป่ยเฉิน

หากไม่ได้เป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องรีบไล่ตามไป๋ชินหยุนไป เว่ยหมิงเซวียนก็คงไม่สามารถหนีรอดออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้ เขาต้องยอมรับจริงๆ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายทั้งสิ้น

แม้แต่ประมุขป้อมอสรพิษทั้งสองคนก็ยังต้องตายด้วยน้ำมือหลินเป่ยเฉิน

แล้วเว่ยหมิงเซวียนจะไปจัดการเด็กหนุ่มผู้นั้นได้อย่างไร?

นับดูในนครเจาฮุย คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติดีพอจะจัดการหลินเป่ยเฉินได้

ต่อให้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายก็ไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉิน

น่าปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง

เด็กหนุ่มผู้นี้เติบโตเร็วมากเกินไป

บางที น้องชายของเขาควรให้ความสนใจกับหลินเป่ยเฉินมากกว่านี้

เมื่อคิดได้ดังนั้น เว่ยหมิงเซวียนก็พูดออกมาตะกุกตะกักว่า “แต่… ตะ ใต้เท้าขอรับ ใต้เท้าจะปล่อยให้หลินเป่ยเฉินลอยนวลต่อไปเช่นนี้หรือ?”

“ใครบอกว่าข้าจะปล่อยให้มันลอยนวล?”

เหลียงหยวนเตาใช้ผ้าขนหนูสีขาวเช็ดคราบมันเยิ้มออกจากมือและใบหน้า ก่อนพูดด้วยความเศร้า “วันพรุ่งนี้จะเป็นจุดจบของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สำคัญหรอกว่าหลินเป่ยเฉินจะเอาหัวของเกาเฉิงฮั่นมาให้ข้าได้สำเร็จหรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็จะต้องจับมันมาทำอาหารให้จงได้ ข้าอยากรู้นักว่าเลือดเนื้อของหลินเป่ยเฉินจะอร่อยสักแค่ไหน…”

สีหน้าแววตาของชายอ้วนกลับมาเต็มไปด้วยความคาดหวังอีกครั้ง

หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย เขาก็พูดต่อ “เอาล่ะ เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เรื่องที่พวกเราตกลงกันก่อนหน้านี้ เจ้าได้เตรียม ‘โอสถวิญญาณโลหิต’ ประจำตระกูลเว่ยของพวกเจ้ามาแล้วหรือยัง?”

เว่ยหมิงเซวียนรีบตอบกลับไปเร็วไวว่า “ข้าน้อยได้เตรียมมาเรียบร้อยแล้วขอรับ”

การสังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนในสุสานใต้ดินของป้อมอสรพิษจะรอดหูรอดตาของเหลียงหยวนเตาไปได้อย่างไร?

ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

แต่เหตุไฉนเหลียงหยวนเตาถึงไม่หยุดยั้งความเลวร้ายเหล่านี้?

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก

เพราะเลือดเนื้อและซากศพของผู้เสียชีวิตทุกคนจากสุสานใต้ดินจะถูกนำมาหลอมเป็นยาวิเศษที่มีชื่อว่าโอสถวิญญาณโลหิต

ราชันย์งูพิษตั้งใจจะตัดขาดความรักระหว่างไป๋ชินหยุนกับหลินเป่ยเฉินจึงใช้การฆ่าคนจำนวนมากเหล่านี้เป็นชนวนเหตุ

เพียงแต่ราชันย์งูพิษคงคิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะบานปลายมาถึงขั้นนี้

น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินมีระดับพลังแข็งแกร่งมากเกินไปและสามารถตั้งสติได้รวดเร็วมากเกินไป เด็กหนุ่มจึงไม่ได้ตกลงไปในหลุมพรางที่ราชันย์งูพิษขุดเอาไว้

แต่เลือดเนื้อและซากศพของผู้เสียชีวิตที่ผ่านการปั่นจนแหลกละเอียด และแปรสภาพเป็นโอสถวิญญาณโลหิตเรียบร้อยแล้วนั้น ส่วนใหญ่พวกมันก็จะถูกส่งกลับไปยังมณฑลเฉียนเกา เพื่อมอบให้แก่น้องชายยอดอัจฉริยะของเว่ยหมิงเซวียน

เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่ายาลูกกลอนเหล่านี้มีสรรพคุณทางด้านใดบ้าง

อันที่จริง เว่ยหมิงเซวียนไม่เคยได้ยินชื่อของโอสถชนิดนี้มาก่อนด้วยซ้ำ

แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นตัวยาที่มีความสำคัญต่อเหลียงหยวนเตาเป็นอย่างยิ่ง

เหตุผลสำคัญที่ตระกูลเว่ยกลายเป็นพันธมิตรใหญ่กับท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนผู้นี้ ก็เป็นเพราะโอสถวิญญาณโลหิตเหล่านี้นั่นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหลียงหยวนเตาจึงไม่กล้าล่วงเกินเว่ยหมิงเฉินสักเท่าไหร่

เว่ยหมิงเซวียนย่อมทราบดีว่าน้องชายของตนเองมีความสามารถในการควบคุมผู้คนอย่างยอดเยี่ยม

แม้แต่ชายวิกลจริตอย่างเหลียงหยวนเตาก็ไม่มีข้อยกเว้น