ตอนที่ 1974 สงสัยจะบ้าไปแล้ว!

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1974 สงสัยจะบ้าไปแล้ว!

หมอนี่อาจหาญเหลือเกิน!

ขนาดเจ้ามือรับพนันก็ยังเปิดกิจการของตัวเองอย่างลับๆล่อๆ เกรงว่าจะถูกเหล่าผู้อาวุโสเล่นงาน แต่หมอนี่กล้าโพล่งออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย

ระเบียบกฎเกณฑ์ของสำนักไม่มีความหมายอะไรกับคุณเลยหรือไง!

“สองสามร้อยเหรียญสำนักดาบ? ทำไมคุณไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ!” ศิษย์สายตรงผู้นั้นตวาดก้องด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ผมน่ะถ่อมตัวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถาม “เอ่อ ทำแบบนั้นก็ได้หรือ?”

“ได้สิ!” อีกฝ่ายคำรามกลับ “ ก็ดูเอา มีพวกเราอยู่ที่นี่ตั้งมากมาย ถ้าคุณเอาชนะพวกเราได้ทั้งหมดล่ะก็ ทุกเหรียญสำนักดาบที่พวกเรามีจะตกเป็นของคุณ!”

“นี่พูดจริงหรือเปล่า?” ผมน่ะถ่อมตัวตาโตด้วยความตื่นเต้น เขาสนใจความคิดนี้มาก “แล้ว…มันจะไม่ผิดกฎของสำนักหรือ?”

“ถ้าคุณปล้นคนๆเดียว นั่นเป็นการฝ่าฝืนกฎของสำนักอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณเอาชนะทุกคนได้ล่ะก็ ทางสำนักจะตำหนิความอ่อนด้อยของพวกเราแทน!” ศิษย์สายตรงผู้นั้นคำราม

ถึงเขาจะพูดออกมาด้วยแรงโทสะ แต่คำพูดเหล่านั้นก็มีส่วนจริง

การฉกฉวยลักขโมยในหมู่ศิษย์สายตรงด้วยกันถือเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ถ้าใครสักคนสามารถท้าทายคนมากมายและเอาชนะพวกเขาได้…ทางสำนักก็ไม่ว่าอะไรหากผู้นั้นจะกอบโกยไปทุกเหรียญสำนักดาบ!

ฆ่าคนคนหนึ่ง…คุณจะกลายเป็นฆาตกร แต่หากฆ่าคนนับล้าน คุณจะกลายเป็นวีรบุรุษที่อยู่เหนือคนเป็นล้านทันที!

ผู้แข็งแกร่งย่อมถูกอิจฉาริษยา แต่ผู้ที่มีพละกำลังมากเกินกว่าที่ใครๆจะจินตนาการได้จะได้รับความยำเกรง

กฎเกณฑ์เป็นเรื่องสำคัญในสำนักดาบเมฆเหิน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่ากฎเกณฑ์ก็คือเหล่าสมาชิก ทางสำนักมีจุดอ่อนอยู่ที่ความเก่งกาจของสมาชิกแต่ละคน

เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในสำนักดาบเมฆเหินมาแล้ว ในอดีต ศิษย์สายตรงคนหนึ่งที่ได้เป็นเทพดาบสิบลี้ได้ท้าทายศิษย์สายตรงฝ่ายในพร้อมกันทีเดียวถึง 30 คน เขาเอาชนะคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายและมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งสำนัก

ศิษย์สายตรงที่พูดเรื่องนี้กับจางเซวียนคิดว่าอีกฝ่ายคงถอยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือหมอนั่นตาโตขึ้นเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้น “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะก็ เยี่ยมที่สุดเลย…”

“เยี่ยมที่สุด?” อีกฝ่ายถึงกับงง

หมอนี่โง่หรือบ้า?

ในหมู่ศิษย์สายตรงมีผู้เชี่ยวชาญแฝงตัวอยู่มากมาย หมอนี่คิดจะท้าทายและเอาชนะพวกเขาให้ได้พร้อมๆกัน…

ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียก่อนเถอะ ต่อให้อัจฉริยะชั้นยอดในหมู่ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้!

ที่ทำไม่ได้ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่ง แต่หอนิรันดร์จำกัดระดับวรยุทธและปริมาณพลังปราณของนักรบแต่ละคนไว้ การรับมือกับคู่ต่อสู้ 1 หรือ 2 คนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือต่อให้ขยับไปเป็น 4-5 คนก็ยังพอทำได้ แต่การต้องสู้กับคนหลายสิบคนพร้อมๆกันนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ต่อให้ใครสักคนมีทักษะดีพอจะทำแบบนั้น ก็ไม่มีทางเหลือพลังปราณมากพอจนจบการต่อสู้!

แถมบรรดาศิษย์สายตรงของสำนักดาบเมฆเหินก็ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะที่มีศิลปะเพลงดาบสูงส่ง การจะเอาชนะพวกเขาแค่สักคนก็ยากแล้ว นับประสาอะไรกับปราบทีเดียวพร้อมกันหลายๆคน

คุณฝันกลางวันแล้วล่ะ!

ขณะที่ศิษย์สายตรงผู้นั้นกำลังจะบอกจางเซวียนให้กลับสู่ความเป็นจริงและเลิกเพ้อฝัน อีกฝ่ายก็พลันหัวเราะลั่นออกมา เขาหันกลับไปและประกาศก้อง “ผมขอท้าพวกคุณทุกคนเข้าสู่การดวล ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เดิมพันคือทุกเหรียญสำนักดาบที่พวกเรามี มีใครกล้ารับคำท้าไหม?”

“ผมหูฝาดหรือเปล่า? หมอนั่นท้าพวกเราทุกคนหรือ?”

“เดิมพันคือทุกเหรียญสำนักดาบที่พวกเรามี?”

“บ้าไปแล้วล่ะ ใช่ไหม?”

“ไม่ใช่แค่บ้า เขาหวังกอบโกยเงินทั้งหมดของพวกเรา เจ้าบ้าที่กล้าพูดจาอวดดีขนาดนี้เป็นใครกัน?”

“ขนาดศิษย์พี่หลิวยังไม่กล้าเอ่ยปากท้าแบบนี้เลย!”

“หมอนั่นหลงตัวเองเกินไปแล้ว ผมทนไม่ไหว… ผมรับคำท้า ไอ้สารเลว!”

คำท้าที่จางเซวียนประกาศออกไปในหมู่ศิษย์สายตรงกระพือความโกรธแค้นให้เกิดขึ้นทันที

นักรบส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ผ่านการดวลมาอย่างน้อยเป็นสิบครั้ง ได้ชมการดวลมาแล้วก็หลายร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยพบใครที่อาจหาญขนาดท้าทายทุกคนพร้อมๆกันแบบนี้ หมอนั่นจะต้องถูกซ้อมให้ยับ จะได้ไม่กล้าพูดจาอวดดีแบบนี้อีก!

“แล้วชื่อนั่น มันคืออะไร…นี่คือสิ่งที่เขาหมายความถึง ‘ความถ่อมตัว’ หรือ?

ในตอนนั้น หลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงเพิ่งมาถึง พวกเขาแทบกระอักเลือดออกมา

จะบ้าหรือไง!

ตอนที่พวกเขาได้รู้สมญานามของอีกฝ่าย ก็คาดเดาว่าหมอนั่นคงจะเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมที่ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจ เพราะแม้แต่พวกเขาก็ยังไม่เคยพบอีกฝ่ายมาก่อน

แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว หมอนั่นก็เอ่ยปากท้าทายทุกคนเสียแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังเห็นได้ชัดด้วยว่าจงใจจะกอบโกยเงินทุกเหรียญที่พวกเขามี

ได้โปรดเถอะ พฤติกรรมของคุณน่ะไม่ได้เข้าข่ายของคำว่า ‘ถ่อมตัว’ เลยสักนิด!

ช่างคุยโวโอ้อวดเสียเหลือเกิน!

หวังเจี้ยนตงอ้าปากค้างอยู่นานกว่าจะปิดปากได้อีกครั้ง เขาหันไปถามหลิวลู่จี่ “พวกเราจะรับคำท้าไหม?”

เขาเองก็จังงังกับความอาจหาญของผมน่ะถ่อมตัว

หวังเจี้ยนตงรู้ดีว่าตัวเขาคือหนึ่งในนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายใน มีเพียงไม่กี่คนที่เอาชนะเขาได้ในการดวล แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยปากท้าทายผู้คนทีละมากๆแบบนี้

ต่อให้พวกนั้นเข้ามาสู้กับเขาทีละคน ทั้งพลังชีวิต พลังปราณ และสมาธิของเขาก็คงไม่มากพอจะรับไหว

หลิวลู่จี่เหยียดริมฝีปากและหัวเราะหึๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกตื่นเต้น

“ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว คงไม่ดีกระมังหากจะปฏิเสธคำท้าอย่างจริงใจแบบนี้ เจี้ยนตง…ยื่นบัตรของคุณกับบัตรของผมที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าที ถ้าเขาเอาชนะผมได้ ผมก็ไม่เดือดร้อนหากเขาจะนำเหรียญสำนักดาบทั้งหมดของผมไป แต่ถ้าเขาเอาชนะพวกเราไม่ได้…ต่อให้เราไม่ทำอะไร ทางสำนักก็คงไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับพฤติกรรมแบบนี้ เขาจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักที่สุด!”

สำนักดาบเมฆเหินมีจุดอ่อนที่ความเก่งกาจปราดเปรื่องของเหล่าสมาชิก แต่นั่นก็ต้องเป็นวีรกรรมบางอย่างที่มีน้ำหนักมากพอ ถ้าผมน่ะถ่อมตัวสามารถทำเรื่องน่าทึ่งแบบนี้ได้ ทางสำนักก็คงไม่ใส่ใจพฤติกรรมของเขา แต่ถ้าเขาพ่ายแพ้ยับเยิน ก็จะถูกลงโทษแบบรุนแรงที่สุดอย่างแน่นอน

ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน นักรบผู้หนึ่งก็จะต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองและแสดงออกให้เหมาะสม

ไม่อย่างนั้น ถ้าใครต่อใครพากันเลียนแบบพฤติกรรมนี้ ทั้งสำนักคงปั่นป่วนแน่

“ได้สิ” หวังเจี้ยนตงพยักหน้าขณะนำบัตรนิรันดร์ของหลิวลู่จี่เดินไปที่เคาน์เตอร์

มีนักรบอีกมากมายที่ของขึ้นเพราะคำท้าของจางเซวียน พวกเขารีบนำเหรียญสำนักดาบออกมาใส่มือของเจ้าหน้าที่ ด้วยวิธีนี้ ต่อให้พวกเขาถูกสังหาร ก็ยังสามารถชำระหนี้ได้

“หมอนั่นรนหาที่เองนะ…”

เห็นภาพนั้น จูเหยียนจื่อกับเว่ยสุ่ยเฟิงตื่นเต้นเสียจนแทบกระโดดโลดเต้นออกมา

เหตุผลที่พวกเขาพาหลิวลู่จี่กับหวังเจี้ยนตงมาก็ไม่มีอะไร แค่อยากยืมมือทั้งคู่สั่งสอนบทเรียนให้หมอนั่นก็เท่านั้น รวมทั้งเพื่อบีบบังคับให้อีกฝ่ายเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เพื่อที่พวกเขาจะได้จัดการนำเงินที่เสียไปกลับคืนมา ใครจะไปรู้ว่าหมอนั่นจะกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้? เขาคิดจริงๆหรือว่า ลำพังตัวคนเดียวจะเอาชนะศิษย์สายตรงทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ได้?

สงสัยจะบ้าไปแล้ว!

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหมอนั่นทรงพลัง แต่ก็อย่างคำกล่าวที่ว่า ‘สองมือยากจะต่อกรกับสี่มือ’…ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่มีมากกว่าพันมือด้วยซ้ำ!

ถ้าหมอนั่นไม่สำแดงเทคนิคขั้นสุดยอดออกมา ก็ไม่มีทางที่เขาจะสู้กับใครๆได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะต้องถูกทางสำนักลงโทษอย่างหนักสำหรับพฤติกรรมอวดดีครั้งนี้

เมื่อคิดขึ้นได้ ทั้งคู่รู้สึกอุ่นใจกว่าเดิม

ตอนแรกพวกเขาโมโหเดือดที่ถูกเชิดเงินไปแบบนั้น แต่เพียงแค่คิดถึงชะตากรรมที่รอคอยเจ้าคนหลงตัวเองนั่นอยู่ ก็บรรเทาความโกรธของพวกเขาไปได้มากโข

“หมอนั่นอาจเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่ก็น่าเสียดายที่สมงสมองไปหมดแล้ว!”

“คนคนเดียวจะเอาชนะคนมากมายพร้อมๆกันได้อย่างไร บ้าไปแล้วจริงๆ!”

“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าผลการต่อสู้จะออกมาเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ชื่อของเขาจะต้องกระฉ่อนไปทั่วทั้งสำนักแน่…”

ศิษย์สายตรงส่วนใหญ่โกรธเกรี้ยวกับคำท้าของจางเซวียน แต่ก็มีส่วนหนึ่งซูฮกความกล้าของเขา

อย่างน้อยที่สุด ตลอดสองสามศตวรรษที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีใครในสำนักดาบเมฆเหินที่กล้าเอ่ยปากท้าอย่างอาจหาญแบบนี้มาก่อน

“ใครจะเป็นคนแรก?”

จางเซวียนไม่แยแสเสียงออกความคิดเห็นเซ็งแซ่ของฝูงชน เขากระโจนขึ้นสู่สังเวียนประลองก่อนจะมองไปโดยรอบ ราวกับจะท้าทายทุกคนพร้อมๆกัน

ถ้าเขารู้ว่าจะสามารถท้าทายทุกคนและกอบโกยเงินทองของคนพวกนี้ได้ คงทำไปนานแล้ว จะไม่มัวเสียเวลาเป็น 10 นาทีเพื่อใคร่ครวญว่าควรทำอะไร

“ช่างอาจหาญเสียจริง…ทนไม่ไหวแล้ว ผมจะฆ่าเขา!”

เมื่ออดรนทนไม่ไหว ศิษย์สายตรงคนหนึ่งกระโจนขึ้นไปบนสังเวียนประลอง

“ผมคืออู๋เฟิง ในการประลองศิษย์สายตรงฝ่ายในครั้งล่าสุด ผมอยู่อันดับที่ 157 ผมอาจไม่ใช่ศิษย์สายตรงฝ่ายในที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ผมจะไม่ปล่อยให้คนอย่างคุณมาดูถูกผมได้!”

อู๋เฟิงคำรามกร้าวด้วยเจตนาสังหารเต็มเปี่ยม เขาชักดาบและพุ่งเข้าใส่ผมน่ะถ่อมตัว

อีกฝ่ายประกาศศักดาชัดเจนแบบนั้น ก็แปลว่าคงมีพละกำลังไม่น้อย อู๋เฟิงรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าเขาน่าจะรับมือกับหมอนั่นไม่ไหว…แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ต่อให้เขาต้องตายที่นี่ เขาก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกเหยียดหยามแบบนี้!

ฟิ้ววววว!

ในชั่วพริบตา เขาก็สำแดงการจ้วงแทงออกไปถึง 18 ครั้งติดต่อกัน แต่ละครั้งรวดเร็วกว่าครั้งก่อนๆ มันคือศิลปะเพลงดาบเส้นทางภูผา 18 โค้ง!

นี่คือเทคนิคการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เขาเอาชนะคู่ต่อสู้มากมายบนสังเวียนประลองได้ด้วยเทคนิคนี้

การสำแดงเทคนิคของอู๋เฟิงราบรื่นและได้รับการขัดเกลาอย่างดี กระแสดาบฉีที่ถูกปล่อยออกจากปลายดาบของเขาดูราวกับกระแสน้ำเชี่ยว

“สำแดงกระบวนท่าของคุณออกมา!” อู๋เฟิงคำรามก้องขณะใช้กระแสดาบฉีล้อมร่างของเขาไว้

“สำแดงกระบวนท่าของผม?” จางเซวียนส่ายหัวพร้อมกับยิ้มอ่อน “ผมสำแดงแล้ว”

“คุณสำแดงกระบวนท่าของคุณแล้ว?” อู๋เฟิงถึงกับจังงัง

ในตอนนั้นเองที่อู๋เฟิงรู้สึกเจ็บแปลบที่ลำคอ เขาพยายามจะก้มลงมอง แต่เลือดสดๆก็พุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุ

พลั่ก!

ศีรษะของเขาร่วงลงมาที่พื้น

“เป็นไปได้อย่างไร?”

นั่นคือคำสุดท้ายที่อู๋เฟิงพึมพำออกมาอย่างอ่อนระโหย ก่อนที่ร่างของเขาจะแหลกสลาย

เขาใช้มาตรการป้องกันตัวอย่างแน่นหนาแล้ว แต่หมอนั่นก็ยังตัดหัวของเขาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว มันเป็นแบบนั้นได้อย่างไร?

ฝูงชนต่างก็งงงัน

พวกเขาคิดว่าผมน่ะถ่อมตัวกล้าดีเกินไปที่ท้าทายออกมาแบบนั้น แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนความอวดดีของอีกฝ่ายจะมีเหตุผล

ขนาดทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่สังเวียนประลอง ก็ยังไม่มีใครเห็นเลยว่าผมน่ะถ่อมตัวตัดหัวของอู๋เฟิงได้อย่างไร!