บทที่ 477.2 น้ำในนทีใสกระจ่าง จันทราใกล้ชิดคน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เดินเคียงไหล่กันเข้าไปในจวน เฉินผิงอันถามว่า “งานเลี้ยงเทพท่องราตรีของภูเขาพีอวิ๋นเลิกราแล้วหรือ?”

เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาอืมรับหนึ่งที “เจ้าอาจจะคิดไม่ถึงว่ามีอดีตองค์เทพห้าขุนเขาของต้าหลีสามท่านที่เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่ภูเขาพีอวิ๋น บวกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นใต้อาณัติอีกหลายแคว้นที่ไปร่วมงาน นับตั้งแต่ที่ต้าหลีของพวกเราก่อตั้งแคว้นมา ยังไม่เคยมีงานเลี้ยงท่องราตรีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เจ้าบ้านอย่างองค์เทพเว่ยก็ยิ่งมีมาดสง่างามเป็นหนึ่ง นี่หาใช่ว่าข้ายกยอหัวหน้าผู้บังคับบัญชาไม่ แต่เป็นเพราะองค์เทพใหญ่เว่ยอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคนจริงๆ มาดแห่งองค์เทพของเขานั้นโดดเด่นเหนือผู้ใด ไม่รู้ว่ามีเทพสตรีกี่มากน้อยที่หลงรักองค์เทพใหญ่แห่งขุนเขาเหนือท่านนี้ของพวกเราตั้งแต่แรกเห็น หลังงานเลี้ยงท่องราตรีจบลงก็ยังคงอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจะจากไป”

พูดถึง ‘เทพแห่งผืนดินภูเขาฉีตุน’ ที่ตัวเองสนิทคุ้นเคยดีอย่างเว่ยป้อ ก็ดูเหมือนว่าเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาท่านนี้จะยอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ

เฉินผิงอันนึกขึ้นมาว่าตอนตัวเองอยู่บนภูเขาลั่วพั่วที่เป็นบ้านของตัวเอง กลับถูกคนมองเป็นอันธพาลเสเพลเสียได้ แล้วหันมาดูคนเขาอย่างเว่ยป้อสิว่าเป็นเช่นไร?

หลังจากนั่งลงในห้องโถงใหญ่ที่แสงเทียนสว่างไสวแล้ว ก็มีสาวใช้ภูตผีสองสามตนมาคอยปรนนิบัติ แต่เทพวารีกลับโบกมือไล่ไป

เทพวารีหยิบเหล้าหมักสองกาที่หมักจากแก่นโชคชะตาน้ำของแม่น้ำซิ่วฮวาออกมา โยนให้เฉินผิงอันหนึ่งกา แล้วต่างคนก็ต่างดื่ม

เห็นได้ชัดเทพวารีเป็นคนรู้จักของฉู่ฮูหยินอดีตเจ้าของจวน ถึงได้มีการรับรองเฉินผิงอันเกิดขึ้น คำพูดของเทพวารีไม่คลุมเครือเลยแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาเข้าประเด็น บอกว่าตัวเองไม่หวังให้เฉินผิงอันกับนางเปลี่ยนจากศัตรูกลายมาเป็นมิตร หวังเพียงว่าเฉินผิงอันอย่าได้ถึงขั้นต้องให้ตายกันไปข้าง จากนั้นเทพวารีก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับผีสาวสวมชุดแต่งงานกับบัณฑิตต้าหลีผู้นั้นอย่างละเอียด บอกว่าในอดีตนางเคยเป็นคนดีจิตใจมีเมตตาอย่างไร เคยมีความรักที่ลึกซึ้งต่อบัณฑิตผู้นั้นอย่างไร เกี่ยวกับการกระทำโหดร้ายหลังจากที่นางคิดว่าตัวเองถูกคนรักทรยศ ทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ เทพวารีล้วนไม่ปิดบัง ซากศพน่าสงสารที่ถูกนางนำมาปลูกอยู่ในดินเหมือน ‘ต้นไม้ดอกหญ้า’ ในสวนด้านหลังเหล่านั้น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถูกเคลื่อนย้ายออกไป ปราณแห่งความอาฆาตล้อมวนเวียน จิตหยินไม่สลายไปไหน เจ็ดแปดในสิบส่วนล้วนไม่อาจหลุดพ้นไปได้

พูดถึงโศกนาฎกรรมที่บัณฑิตผู้น่าสงสารพบเจอในสำนักศึกษากวานหู เทพวารีก็เศร้าซึม สีหน้าเคร่งเครียดหนักอึ้ง ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็กล่าวว่า “ก่อนหน้าที่ต้าหลีจะเจริญรุ่งเรือง บัณฑิตที่พอจะมีปณิธาน มีใครบ้างที่ไม่เคยถูกคนภายนอกดูถูกเหยียดหยาม ต้องได้รับความอยุติธรรม ยิ่งเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถสูงเทาไหร่ การถูกกดดันบีบคั้นก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น บัณฑิตผู้นี้ก็คือตัวอย่าง ปัญญาชนในสำนักศึกษาที่ปีนั้นทำร้ายเขา คนหนึ่งในนั้นก็คือลูกหลานชนชั้นสูงของต้าสุย และตอนนี้ก็ยังคงมีตำแหน่งอยู่ในใจกลางราชสำนัก!”

เทพวารีมองไปนอกประตูของห้องโถงใหญ่แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “บัญชีเลอะเลือนนี้ จะอธิบายด้วยเหตุผลได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “หากจะต้องพูดกันจริงๆ ก็ใช่ว่าจะอธิบายไม่ได้เสียเลย เพียงแค่ต้องทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น จากนั้นก็เดินไปทีละก้าว เพียงแต่ว่ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือคนที่ใช้เหตุผลจะต้องแบกรับค่าตอบแทนจากการอธิบายเหตุผลด้วย”

เทพวารียิ้มกล่าว “ไหนเจ้าลองพูดดูสิ? แม่นางฉู่คือคนในสถานการณ์ ไม่อาจแยกแยะได้ถูกต้อง อันที่จริงเป็นเจ้าเฉินผิงอันย่อมดีที่สุด คนในสถานการณ์ครึ่งตัว คนนอกสถานการณ์อีกครึ่งตัว ขอแค่เจ้าเต็มใจ ก็ถือซะว่าข้าติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้ากับเจ้าแล้ว”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีอารมณ์จะทำเช่นนั้นแล้ว แล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำอย่างนั้นด้วย”

เดิมทีเทพวารีก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว จึงไม่ถึงขั้นผิดหวัง เพียงแต่ว่าก็ยังอดเสียดายไม่ได้ เขาชูกาเหล้าขึ้นสูง “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มอย่างเดียวพอ”

เฉินผิงอันชูกาเหล้าขึ้นสูงตามไปด้วย สุราคือสุราดี แล้วก็น่าจะแพงมาก เขาจึงพยายามดื่มให้น้อยหน่อย ถือซะว่าเป็นการเปลี่ยนวิธีหาเงินให้กับตัวเอง

นอกจากเรื่องของผีสาวสวมชุดแต่งงานคนนั้นแล้ว อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก ดังนั้นเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยคำอำลา เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวามาส่งเขาถึง ‘ประตู’ สิ่งกีดขวางภูเขาแม่น้ำด้วยตัวเอง

เห็นว่าเฉินผิงอันกุมหมัดบอกลา จากนั้นกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังก็ออกจากฝักกระบี่เสียงดังเช้ง หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ทะยานลมลอยขึ้นกลางอากาศ จากไปไกลท่ามกลางทะเลเมฆ

แม้ว่าตอนที่อีกฝ่ายมา เขาจะอาศัยวิชาอภินิหารม่านน้ำมองมาเห็นมาดเซียนกระบี่ของอีกฝ่ายบ้างแล้ว แต่เมื่อเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาได้เห็นกับตาตัวเองในระยะประชิดเช่นนี้ก็ยังอดตื่นตะลึงไม่ได้อยู่ดี

เฉินผิงอันพลิ้วกายลงนอกเมืองหงจู๋แล้วเดินเท้าเข้าไปข้างใน ตอนที่ผ่านจุดพักม้าแห่งนั้นเขาก็หยุดเท้าแล้วเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ออกเดินหน้าต่ออีกครั้ง เขามองไปที่อ่าวฟูสุ่ยอยู่ไกลๆ ก่อน จากนั้นก็ไปที่ถนนชมน้ำซึ่งตัดกับถนนชมภูเขาเป็นอักษรเลขสิบ (十) ไปเยือนร้านหนังสือแห่งนั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้เจอกับเถ้าแก่คนนั้นจริงๆ อีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวสีดำ ในมือถือพัดพับ กำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก ในมืออีกข้างถือกาน้ำชาขนาดเล็กกะทัดรัดไว้ใบหนึ่ง กำลังดื่มชาช้าๆ พลางครวญเพลงในลำคอ ใช้พัดที่พับเข้าด้วยกันตีลงบนเข่า ส่วนกิจการของร้านหนังสือนั้น เขาไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย

ยังคงเป็นเหมือนปีนั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เถ้าแก่หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมองก็เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “หนังสือในร้านเขียนราคาบอกไว้อย่างชัดเจน เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ ล้วนอาศัยแววตาทั้งสิ้น”

ปีนั้นเฉินผิงอันควักเงินซื้อ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ซึ่งมองดูเหมือนเพิ่งจัดพิมพ์ได้แค่ไม่กี่ปีให้หลี่ไหวที่นี่ ด้วยราคาเก้าตำลึงสองเฉียน ผลกลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วมันคือตำราเก่าแก่ ด้านในนั้นยังมีภูตบุ๋นฟูมฟักขึ้นมา เจ้าเด็กหลี่ไหวผู้นี้ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ล้วนเหยียบโชคดีขี้หมาได้เสมอ

อันที่จริงตอนที่อยู่หอชิงฝูของท่าเรือภูเขาตี้หลงแห่งนั้น เฉินผิงอันถูกใจเจว็ดรูปสตรีสวมหมวกคลุมหน้าตั้งแต่แรกเห็น เพราะดูจากรูปแบบการสร้างของมันแล้วมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นชุดเดียวกับหุ่นดินเผาของเล่นชุดนั้นของหลี่ไหว ล้วนมาจากฝีมือของเทพเซียนนครจักพรรดิขาวอย่างที่หงหยางโปพูดถึง ต่อให้สุดท้ายแล้ว ‘ฉิงฉ่ายสาวใช้ของหอชิงฝู’ ที่ปกปิดปณิธานกระบี่ได้ไม่ดีพอผู้นั้นจะไม่มอบให้ เฉินผิงอันก็ยังจะคิดหาวิธีเก็บมันมาไว้ในกระเป๋าอยู่ดี ส่วนหมึกรมควันไม้สนของเชื้อพระวงศ์แคว้นเสินสุ่ยชิ้นนั้น ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่มีเงินเทพเซียนมากพอที่จะซื้อไว้จริงๆ เขาคิดว่ารอกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วเมื่อไหร่ค่อยถามเว่ยป้ออดีตองค์เทพแห่งขุนเขาแคว้นเสินสุ่ยดูสักหน่อยว่ามันมีค่าพอที่จะซื้อมาเก็บไว้หรือไม่

แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เฉินผิงอันมาที่นี่ ในความเป็นจริงแล้วเถ้าแก่หนุ่มที่เป็นภูตในแม่น้ำชงตั้นซึ่งจำแลงร่างกลายมาเป็นคนผู้นี้ ตอนนี้ได้เดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว เปลี่ยนจากภูตที่ออกจากแม่น้ำขึ้นฝั่งมาเตร็ดเตร่อยู่ในโลกมนุษย์ ได้เลื่อนขั้นสูงจนกลายมาเป็นเทพวารีแม่น้ำชงตั้นที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักต้าหลี ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเป็นเทพวารีตามการสืบทอดที่แท้จริงคนแรกของแม่น้ำชงตั้นนับตั้งแต่ที่ต้าหลีก่อตั้งแคว้นมาอีกด้วย สมกับคำว่า ‘ปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร’ อย่างแท้จริง

เขาก็เหมือนกับเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาที่ตอนนี้เป็นเพื่อนบ้านกัน สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว ระยะห่างเพียงเท่านี้ก็เหมือนระยะห่างระหว่างเดินจากตรอกหนีผิงมาถึงตรอกซิ่งฮวาเท่านั้น

เฉินผิงอันไม่คิดจะจงใจสานสัมพันธ์ผูกไมตรี เพราะไม่มีความจำเป็น แล้วก็ไม่มีประโยชน์ แต่ในเมื่อเดินทางผ่านแล้ว เป็นฝ่ายไปทักทายสักหน่อย ตามเหตุตามผลแล้วก็ล้วนถือเป็นเรื่องที่สมควรทำ

ตอนที่ตกอับจะต้องเห็นตัวเองเป็นสำคัญ เวลาที่ร่ำรวย จะต้องเห็นคนอื่นเป็นสำคัญ

นี่คือหลักการเหตุผลที่หาเจอท่ามกลางดินโคลนในตรอกหนีผิง ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้กลายเป็นว่าเดินทางไปได้ไกลแล้ว ภูเขาที่เดินขึ้นไปค่อยๆ สูงขึ้น นึกจะลืมก็ลืมไปเสียอย่างนั้น

เฉินผิงอันเลือกตำราราคาแพงสองสามเล่มที่ระดับขั้นพอจะถือว่าสมบูรณ์แบบได้มา แล้วจู่ๆ ก็พลันหันหน้าไปถาม “เถ้าแก่ หากข้าเหมาหนังสือหมดร้านของเจ้า สามารถลดราคาได้เท่าไหร่?”

เถ้าแก่หนุ่มที่ลักษณะคล้ายลูกหลานชนชั้นสูงลืมตาขึ้น กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าอาศัยร้านเล็กๆ แห่งนี้ไว้พักพิงหาเลี้ยงปากท้อง เจ้าซื้อไปหมด ข้าถือถุงเงินใบเดียวจะเอาไปทำอะไรได้? ไปดื่มเหล้าเคล้านารีที่อ่าวฟูสุ่ยงั้นหรือ? อาศัยรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ของข้า ใครจะได้เปรียบใครก็ยังไม่แน่ เจ้าคิดว่าจะให้ลดราคากี่ส่วนดีล่ะ? สิบเอ็ดส่วน สิบสองส่วน เจ้าจะซื้อไหมล่ะ?!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าซื้อ”

เถ้าแก่หนุ่มวางกาน้ำชามือไว้บนโต๊ะตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง สะบัดพัดออกดังพรึ่บ แล้วพัดเอาลมเย็นเข้าหาตัวเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ขาย!”

เฉินผิงอันจึงได้แต่ยอมเลิกรา จ่ายเงินไปทั้งหมดสามสิบกว่าตำลึงซื้อตำราโบราณเหล่านั้นมา

พอเงินมาอยู่ในมือ เถ้าแก่ก็ยิ้มตาหยีพลางเดินพาเฉินผิงอันมาส่งถึงหน้าประตูร้าน “ยินดีต้อนรับลูกค้ามาเยือนใหม่”

เฉินผิงอันเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ว่าตัวเองขาดทุนแล้ว

……

หลังจากเฉินผิงอันออกมาจากถนนชมน้ำ เถ้าแก่ที่กลับไปนั่งบนเก้าอี้หลับตาอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกเดินมาปิดร้าน แล้วมุ่งหน้าไปยังริมตลิ่งจุดหนึ่ง

เมืองหงจู๋คือสถานที่สำคัญอันเป็นใจกลางการค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเขตการปกครองหลงเฉวียน เป็นจุดรวมตัวกันของแม่น้ำสามสายอย่างซิ่วฮวา อวี้เย่และชงตั้น ตอนนี้ทางราชสำนักกำลังทำการก่อสร้างครั้งใหญ่ ไม่ว่าที่ใดก็มีแต่ฝุ่นคลุ้งตลบ เต็มไปด้วยเสียงดังจอแจ หากไม่ผิดไปจากที่คาด เมืองหงจู๋จะไม่เพียงแต่ถูกแบ่งกลายเป็นของเขตการปกครองหลงเฉวียน อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนขั้นกลายเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอแห่งใหม่ด้วย ไม่รู้ว่าเทพภูเขาและแม่น้ำมากน้อยเท่าไหร่ที่พยายามครุ่นคิดหาวิธีมาชุมนุมกันที่นี่ ต้องรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำนั้นไม่ได้อาศัยแค่ศาลหนึ่งแห่งและร่างทองหนึ่งร่างก็สามารถเฝ้าพิทักษ์ภูเขาได้แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนต้องมีเซียนซือบนภูเขา ขุนนางในราชสำนักและคนในยุทธภพที่ตัวเองสนิทสนมด้วย รวมไปถึงเครือข่ายผู้คนที่แผ่ขยายไปอย่างต่อเนื่องด้วยสาเหตุนี้ ดังนั้นการที่มณฑลแห่งใหม่ของต้าหลีซึ่งมีภูเขาพีอวิ๋นและเขตการปกครองหลงเฉวียนเป็นสองสถานที่ใจกลางสำคัญของบนและล่างภูเขาจะลุกผงาดเติบโตอย่างรวดเร็วก็เป็นเรื่องที่ใครก็มิอาจขัดขวางห้ามปรามได้แล้ว

คนหนุ่มชุดดำเดินมาถึงริมตลิ่งแล้วก็ร่ายใช้เวทอำพรางตา เดินเข้าไปในน้ำ แล้วย่างเท้าอยู่ในแม่น้ำซิ่วฮวาส่วนที่น้ำในแม่น้ำ ‘นุ่ม’ ที่สุด

แม่น้ำทั้งสามสายมีลักษณะของน้ำที่แตกต่างกัน น้ำของแม่น้ำซิ่วฮวานุ่มนวลและทอดยาว ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมมากที่สุด น้ำของแม่น้ำชงตั้นไหลแรงซัดเชี่ยว ธาตุน้ำมีความดุเดือดรุนแรงมากที่สุด ตรงข้ามกับชื่อของแม่น้ำอย่างสิ้นเชิง (ชงตั้นแปลว่าชำระล้างให้เบาบาง) เส้นทางน้ำของแม่น้ำอวี้เย่สั้นที่สุด ลักษณะของน้ำเกิดการแปรเปลี่ยนไม่อยู่นิ่งมากที่สุด ปราณวิญญาณเกิดการกระจายตัว บ้างหนาแน่น บ้างเบาบาง ซึ่งหนึ่งในนั้นสถานที่ตั้งของศาลเทพวารีถือเป็นพื้นที่วิเศษฮวงจุ้ยที่ดีเยี่ยมมากที่สุด อย่าได้ดูแคลนในข้อนี้ เพราะหากมีเซียนดินโอสถทองที่ขาดสถานที่สร้างกระท่อมฝึกตนคนหนึ่งคิดอยากจะเลือกหนึ่งในแม่น้ำทั้งสามสายนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องเลือกเป็นเค่อชิงผู้ถวายงานของแม่น้ำอวี้เย่ เพราะเมื่ออยู่บนภูเขา สถานที่แห่งนี้จะถูกเรียกว่าถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ต่อให้มีทองหมื่นชั่งก็ไม่อาจหาซื้อได้

แม่น้ำซิ่วฮวาคืออาณาเขตของผู้ร่วมงาน เว้นเสียแต่ว่าจะไปเยือนจวนวารี ไม่อย่างนั้นตามหลักแล้วการที่เขาทำเช่นนี้จะถือว่าข้ามล้ำขอบเขต เพียงแต่ว่าพอภูตน้ำที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนสายน้ำเห็นเทพวารีชุดดำผู้นี้ก็ไม่เพียงแต่ไม่แปลกใจ กลับกันยังยิ้มกว้าง แต่ละตนพากันกรูเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนม นี่ไม่ใช่ว่าเทพวารีองค์ใหม่ของแม่น้ำชงตั้นผู้นี้เป็นคนพูดง่าย แต่เป็นเพราะพวกเขาจงใจสร้างความสะอิดสะเอียนให้แก่อีกฝ่ายก็เท่านั้น เทพวารีชุดดำก็ไม่คิดจะถือสาพวกมัน ไม่ได้ทำสีหน้าดุร้ายกลับคืน กลับกันยังพูดไม่มากนัก บอกแค่ว่าตนจะไปที่ภูเขาหมั่นโถวซึ่งเป็นจุดตัดของแม่น้ำสองสาย รอจนเขาจากไปไกลแต่ไม่ถือว่าไกลมากแล้ว เหล่าภูตที่สวมเสื้อเกราะ ในมือถืออาวุธก็พากันหัวเราะครืนเสียงดัง พูดจาไร้ความยำเกรง ส่วนใหญ่ล้วนดูแคลนที่อดีตภูตตนนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง อาศัยการกอดขาใหญ่เดินทางลัด ถึงโชคดีได้นั่งบนตำแหน่งเทพ เมื่อเทียบกับนายท่านเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาที่อาศัยคุณความชอบในหลายๆ เรื่องซึ่งไม่ว่าจะเป็นตอนยังมีชีวิตอยู่หรือหลังตายไปแล้วมานั่งบนตำแหน่งอย่างมั่นคงแล้ว ปลาหลีที่ส่ายหางขอความเมตตาสงสารตัวหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้

เทพวารีชุดดำมาถึงศาลเทพแห่งผืนดินที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำอย่างโดดเดี่ยว พลทหารกุ้งปูปลาของแม่น้ำอวี้เย่และแม่น้ำซิ่วฮวาต่างก็ไม่ให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนี้ เทพอภิบาลเมืองในเขตการปกครองและอำเภอบนชายฝั่งก็ยิ่งไม่คิดจะให้ความสนใจ เทพแห่งผืนดินของภูเขาหมั่นโถวที่อยู่ปลายแถวที่สุดของทำเนียบแม่น้ำภูเขาในหนึ่งแคว้นท่านนี้ก็คือก้อนหินในห้องส้วมที่ทั้งแข็งทั้งเหม็น

ศาลเล็กยังคงมีควันธูปเบาบางดังเดิม วันนี้ไม่เหมือนในวันวาน เดิมทีชาวบ้านก็ไม่ชอบมาจุดธูปที่นี่อยู่แล้ว เพราะจำเป็นต้องนั่งเรือข้ามฟากถึงจะขึ้นเกาะมากราบไหว้ได้ เป็นเรื่องที่เปลืองแรงเหนื่อยยากเกินไป บวกกับที่ตอนนี้ศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอาณาเขตของแม่น้ำทั้งสามสายมีมากมาย ขอพรจากเทพองค์ไหนก็เหมือนกัน อีกอย่างมีองค์เทพใดบ้างที่ระดับขั้นไม่สูงว่าเทพแห่งผืนดินเล็กๆ ท่านนี้?

คนหนุ่มชุดดำเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมหุ่นเตี้ยล่ำกำลังนั่งอยู่บนแท่นบูชาเทพ คนจิ๋วควันธูปสวมชุดสีชาดตนหนึ่งกำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ในกระถางธูปทองแดงเก่าแก่ใบนั้น มันนั่งแปะอยู่กลางกระถางธูป มือสองข้างปัดป่ายโบกตีอย่างแรง ทั่วร่างจึงเต็มไปด้วยขี้เถ้า ปากก็คร่ำครวญร้องทุกข์แฝงไว้ด้วยคำบ่นที่เจ้านายของตนไม่เอาไหน ไม่รู้จักพัฒนา เทพวารีชุดดำเห็นภาพนี้มาจนชินเสียแล้ว ศาลเทพแห่งผืนดินแห่งหนึ่งสามารถทำให้คนจิ๋วควันธูปถือกำเนิดขึ้นมาได้ เดิมทีก็เป็นเรื่องประหลาดอยู่แล้ว คนจิ๋วชุดแดงผู้นี้ยังขวัญกล้าเทียมฟ้า ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย เวลาอยู่ว่างๆ ยังชอบออกไปเที่ยวเล่นอยู่ด้านนอก หากถูกเพื่อนร่วมอาชีพที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองรังแกเข้าก็จะกลับมาระบายอารมณ์โกรธใส่เจ้านายตัวเอง คำพูดติดปากของมันก็คือชาติหน้าจะต้องไปเกิดในกระถางธูปดีๆ แล้วก็จะต้องกลายเป็นภูตประจำท้องถิ่นให้จงได้

—–