หานลี่ยืนขึ้นทันใด แล้วเดินออกจากที่พัก ออกจากโรงเตี๊ยม

เขาขวางรถอสูรคันหนึ่งบนถนน แล้วพุ่งตรงไปที่ประตูเมืองเช่นกัน

เหมืองแร่ส่วนตัวนั้นย่อมไม่อาจอยู่บนเกาะได้ และยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งยังห่างไกล แม้ว่าเขาจะควบคุมลำแสงหลีกหนีบินไป ก็ต้องใช้เวลาสองสามวันถึงจะถึง

สามวันต่อมาหานลี่พลันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปบนท้องฟ้า

ด้านล่างไม่ใช่ผิวทะเลสาบแล้ว แต่เป็นยอดเขาสีดำเขียวอีกลูกหนึ่ง

ฉับพลันนั้นชีพจรภูเขาตรงหน้าพลันช้าลง เผยยอดเขาตั้งตรงราวกับกระบี่ยักษ์ลูกหนึ่ง สูงประมาณหมื่นจั้งเศษ ท่าทางยิ่งใหญ่โอฬาร

หานลี่เห็นยอดเขาลูกนี้ก็มีสีหน้ายินดี เอ่ยพึมพำว่า ‘ในที่สุดก็มาถึงแล้ว’ ทันใดนั้นลำแสงหลีกหนีก็ร่อนลงตรงหน้า แล้วร่อนลงบนยอดเขาลูกนั้น

ลำแสงสีเขียวหม่นแสงลง!

ร่างของหานลี่มาปรากฏบนศิลายักษ์ที่อยู่บนยอดเขายักษ์ หลับตาทั้งสองข้างลง แล้วแผ่จิตสัมผัสออกไป พลางกวาดไปยังพื้นดินด้านล่าง

หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็ลืมตาขึ้น มือหนึ่งร่ายอาคม ฉับพลันนั้นผิวก็มีอักขระยันต์สีเหลืองห่อหุ้มอยู่ จากนั้นร่างกายพลันบิดเบี้ยว ร่างทั้งร่างหายวับไปจากบนก้อนหินอย่างไร้เงา

ครู่ต่อมาในสันเขาที่ลึกเท่าไหร่ก็สุดจะรู้ได้ รัศมีลำแสงสีเหลืองเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายของหานลี่ปรากฏขึ้นรางๆ

เขามองทัศนียภาพที่มืดมัวรอบด้าน ขมวดคิ้ว มือหนึ่งตะปบแล้วโยนออกไป ลำแสงสีขาวพุ่งออกไปจากมือ หลังจากหมุนวนก็ลอยอยู่เหนือศีรษะ รอบด้านเจิดจ้าราวกับยามกลางวันก็ไม่ปาน

แม้ว่าจากอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณของหานลี่ โคจรพลังปราณเล็กน้อย ก็มองเห็นรอบด้านอย่างชัดเจน แต่ย่อมไม่ได้สะดวกจะทำเช่นนั้น

เมื่อทำเสร็จหานลี่ถึงได้พบว่าตนอยู่ในทางเดินเหมืองแร่ที่ว่างเปล่า กำแพงรอบด้านล้วนเป็นตะปุ่มตะป่ำ และเศษศิลาแร่ที่ไม่มีมูลค่าอันใด

มองไปด้านหน้าทางเดินแคบๆ ยาวๆ สายหนึ่งคดเคี้ยวอยู่ด้านหน้า

หานลี่กวาดตามองรอบด้านแวบหนึ่ง สุดท้ายก็หม่นแสงลง แต่กลับตกอยู่ที่ศิลาแร่ที่ไม่สะดุดตาก้อนหนึ่งซึ่งฝังอยู่บนกำแพงหินด้านข้าง

เดิมศิลาก้อนนี้เป็นศิลาแร่ระดับต่ำที่ไม่มีมูลค่าอันใด ประกอบกับรอยแตกบนผิว ผู้ที่มีประสบการณ์น้อยเห็นมันย่อมไม่สนใจเลยสักนิด

แต่หานลี่พิจารณาศิลาแร่ก้อนนั้น มุมปากกลับเผยรอยยิ้มออกมา ขยับมือ นิ้วทั้งห้ากางออกแล้วตะปบออกไป

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ศิลาแร่ก้อนนี้สั่นเทาถูกพลังมหาศาลบีบให้ออกมาจากกำแพง และกลายเป็นลำแสงสีเหลืองร่อนลงในมือของหานลี่

นิ้วทั้งห้าแค่ออกแรงเล็กน้อย ศิลาแร่กลายเป็นลำแสงสีเหลืองปริแตกออกมา

หลังจากลำแสงสลายหายไป ในมือของหานลี่มียันต์สีดำอ่อนปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบลำแสงเดี๋ยวมืดมนเดี๋ยวสดใส

“หึๆ นับว่าชาญฉลาด!”

จิตสัมผัสของหานลี่แค่กวาดไปบนยันต์เล็กน้อย ก็เอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น แล้วปล่อยยันต์ในแขนเสื้อออกมา สาวเท้าไปยังทางเดินตรงหน้า

ทางเดินเหมืองแร่คับแคบมาก ตรงกลางมีถนนตัดกันไปมาจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับใยแมงมุมก็ไม่ปาน

แต่หานลี่กลับดูเหมือนจะรู้หนทางเป็นอย่างดี ไม่ดูทางทั้งซ้ายและขวาเลยสักนิด ชั่วครู่ก็ตรงไปข้างหน้าอีกห้าถึงหกร้อยจั้ง และสุดท้ายก็หยุดลงอีกครั้งตรงสี่แยก แล้วมองไปทางซ้ายทีขวาที

เสียง “ปัง” ดังขึ้น!

หานลี่ดีดนิ้วข้างหนึ่งออกไป ทันใดนั้นศิลาแหลมก้อนหนึ่งตรงทางแยกปริแตกออกมา คาดไม่ถึงว่าจะมียันต์สีดำแผ่นหนึ่งพุ่งออกมา

สะบัดแขนเสื้อ รัศมีสีเขียวทะลักออกมา!

ยันต์สีดำม้วนวนแล้วถูกรัศมีลำแสงพากลับเข้ามาในมือ

หานลี่เก็บยันต์สีดำกลับมาเช่นกัน ร่างกายพลิ้วไหว คนมาปรากฏตัวในทางเดินสายหนึ่งและเดินต่อ

เห็นได้ชัดว่ายันต์ที่หยิบออกมาตามลำดับล้วนมีประสิทธิภาพในการชักนำ หานลี่ตรงไปยังส่วนลึกที่สุดในเหมืองแร่ตามการชักนำของพวกมัน

เช่นนั้นจากการเชื่อมโยงกับยันต์วิเศษ ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งหานลี่ก็จะหยิบยันต์ออกมาอีกแผ่นหนึ่ง

ผ่านไปสามสี่ชั่วยามเขายิ่งเดินมาลึกเท่าไหร่ ยิ่งไกลเท่าไหร่ ทางเดินที่ตัดสลับกันไปมาก็ค่อยๆ น้อยลง

กำแพงสองฝั่งของทางเดินมีรอยเว้าเข้าไป และมีไม่มากเช่นกัน สุดทางเดินยาวๆ สายหนึ่ง ทั้งสองฝั่งมองเห็นเพียงรอยถูกขุดร้อยกว่าแห่ง

ทว่าก็ยังมองเห็นเศษศิลาแร่ที่ร่วงลงมาบนพื้น เห็นได้ชัดว่าศิลาแร่ชนิดต่างๆ และคุณภาพสูงกว่าก่อนหน้ามาก

มิน่าล่ะแม้ว่าคนขุดแร่เหล่านั้นจะรู้ว่ามันเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางเดิม ก็ยังคงไม่ยอมทิ้งไปง่ายๆ และเอาแต่ขุดไปให้ลึกกว่าเดิม

ยามที่หานลี่กำลังขบคิดอย่างเงียบๆ ฉับพลันนั้นก็หยุดชะงักฝีเท้า

เห็นเพียงทางเดินตรงหน้าถูกศิลาแตกๆ ขวางเอาไว้ ทางเดินครึ่งหนึ่งถูกคนจงใจใช้พลังมหาศาลทำให้มันพังทลายลงมา

หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ร่างกายกลับตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดเลยสักนิด

เห็นเพียงลำแสงสีเหลืองบนผิวของเขาเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง ลูกบอลลำแสงสีขาวเหนือศีรษะสลายหายไป คนก็จมหายไปในศิลาแตกราวกับไร้รูปร่าง

หลังจากผ่านไปหนึ่งมื้ออาหาร หานลี่ก็ผ่านทางเดินที่พังทลาย ในที่สุดก็มาปรากฏตัวอีกด้านท่ามกลางศิลาแตก

ลำแสงสีเหลืองบนร่างของหานลี่หม่นแสงลงแล้วสลายหายไป พลางพิจารณารอบด้าน

ผลคือพบว่าแม้ว่าเบื้องหน้าจะมีทางเดินสายหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเตี้ยและแคบกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นกำแพงทั้งสี่ยังหยาบ ราวกับว่าถูกคนเพิ่งขุดไปได้ไม่นาน

สายตาของหานลี่ตกอยู่ที่เศษหินสีดำขาวบนพื้นใกล้ๆ มือหนึ่งกวักออกไป ดูดเข้ามาจากกลางอากาศ และก้มหน้าลงตรวจสอบ

“เป็นทองคำมารดังคาด! ดูแล้วที่นี่คงเป็นที่ที่พวกเขาขุด” หานลี่ดูเสร็จก็โยนเศษทองคำมารไป อดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้

จากนั้นเขาก็หลับตาทั้งสองข้างอยู่ที่เดิมอย่างไม่กล้าดูแคลน แล้วแผ่จิตสัมผัสออกไป แทรกไปตรงหน้า

“เอ๋ คาดไม่ถึงว่าทางเดินสายนี้จะยาวขนาดนี้…ด้านหน้าดูเหมือนจะมีเขตอาคมตามธรรมชาติ จิตสัมผัสไปอาจแผ่ไปได้ เอ๋ รอบๆ นี้มีคน พลังยุทธ์ต่ำหน่อย น่าจะเป็นคนขุดแร่สินะ พวกเขาอาจจะมีประโยชน์!” หานลี่ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น รู้สึกประหลาดใจ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็ตัดสินใจ

เห็นเพียงร่างของเขาพลิ้วไหวแล้วสลายหายไปท่ามกลางความมืดมิดบนทางเดินตรงหน้า

หลังจากผ่านไปเล็กน้อยหานลี่ก็มาปรากฏตัวในถ้ำขนาดเล็กที่ถูกขุดเอาไว้ชั่วคราว ตรงหน้าของเขาคนขุดแร่เผ่ามารผิวสีดำสนิทสวมชุดขาดๆ กำลังหมอบอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

คนขุดแร่เผ่ามารสามคนล้วนมีเขาสองเขา หน้าตาอัปลักษณ์ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนเผ่าเดียวกัน

“พวกเจ้าบอกมาสิที่นี่เหลือแค่พวกเจ้าสามคนหรือ คนอื่นๆ ถูกสังหารไปจนเกลี้ยงแล้ว?” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ใช่แล้ว ใต้เท้า! หากไม่ใช่เพราะพวกเราสามคนมีไหวพริบ จนหนีมาก่อนแล้วมาซ่อนตัว เกรงว่าคงมีจุดจบเดียวกัน” คนขุดแร่ตรงกลางร่างกายสั่นสะท้าน ตอบกลับโดยไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมา

“ปิดปากหรือ สำหรับพวกเขาแล้ว ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องทำ เช่นนั้นทองคำมารที่นี่น่าจะเป็นพวกเจ้าที่ขุดขึ้นมาสินะ” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเองก่อน แล้วเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

“ใช่แล้ว ท่านใต้เท้า เป็นพวกเราที่ลงมือขุดมันขึ้นมา” คนขุดแร่ตรงกลางไม่รู้ว่าหานลี่มีเจตนาใดถึงได้ถามถึงสิ่งนี้ แต่ก็ทำได้เพียงตอบกลับอย่างใจดีสู้เสือ

“เยี่ยม ข้ามีคำถามจะถามพวกเขา หากตอบให้ข้าพอใจได้ ข้าก็อาจจะช่วยพวกเจ้า มิเช่นนั้นเหมืองแร่นี้ดูแล้ว ต่อให้ข้าไม่ลงมือ พวกเจ้าก็ต้องอดตายอยู่ที่นี่ในอีกไม่ช้าก็เร็ว” หานลี่เอ่ยอย่างราบเรียบ

“ใต้เท้าจะช่วยพวกเราออกไป! ขอแค่ใต้เท้ายอมช่วยเหลือ พวกเราไม่มีทางไม่บอกแน่ขอรับ” คนขุดแร่ตรงกลางได้ยินก็รีบเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด

คนขุดแร่อีกสองคนก็ทั้งตกตะลึงระคนดีใจเช่นกัน!

ข้าจะถามพวกเจ้าก่อน พวกเจ้าพบทองคำมารเหล่านี้เมื่อไหร่ และยิ่งไปกว่านั้นระหว่างที่ขุดพบสถานที่วิเศษอันใดหรือไม่?” หานลี่เอ่ยถามอย่างแช่มช้า

“พบทองคำมารเมื่อสองเดือนก่อน เพราะดินที่นี่แข็งเหมือนเหล็ก พวกเราร้อยกว่าคนเสียเวลานานมาก ถึงได้ขุดทองคำมารที่นี่ไปจนเกลี้ยง ส่วนขั้นตอนกลางขุดนั้นยามที่ขุดใกล้จะเสร็จ ก็พบว่ายามที่สหายสองสามคนขุดจุู่ๆ ก็ล้มตึง และกลายเป็นผุยผงต่อหน้าทุกคน” หลังจากที่คนขุดแร่วัยกลางคนครุ่นคิดเล็กน้อย ก็อธิบายตามความจริง แค่ยามที่พูดจนมาถึงตอนสุดท้ายใบหน้าก็เผยแววหวาดกลัวออกมา

“ล้มตึง กลายเป็นผุยผง เหมือนกันอย่างไรอย่างนั้น” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นนิ้วหนึ่งก็ชี้ไปที่ก้อนหินสีดำบนพื้น แล้วเอ่ยถามขึ้นในเวลาเดียวกัน

เห็นเพียงลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ!

เส้นไหมสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว และเปล่งแสงสว่างวาบทะลวงผ่านก้อนหิน จากนั้นก็หมุนวนแล้วพุ่งกลับมา

ก้อนหินที่ดูแข็งก็ส่งเสียง “ตูม” ออกมา ชั่วพริบตาก็กลายเป็นฝุ่นสีเทาขาวกองหนึ่ง

เมื่อเห็นฉากนี้ชั่วขณะนั้นคนขุดสามคนก็ตกใจจนหน้าถอดสี คนขุดตรงกลางเอ่ยด้วยเสียงอันดัง

“ใต้เท้า เช่นนั้นแหละ สหายของเราเสียชีวิตไปเช่นนั้น”

“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เบื้องบนของพวกเจ้าไม่มีผู้ใดส่งคนมาตรวจสอบเรื่องนี้หรือ?” หานลี่พยักหน้าแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง

“ใต้เท้า มีคนตรวจสอบจริงๆ แต่จุดที่สหายกลายเป็นผุยผง ไม่มีจุดใดผิดปกติ คนอื่นๆ ไปขุดอีกก็ไม่ได้เกิดเรื่องเช่นเดียวกัน พอเป็นเช่นนั้นเบื้องบนก็ขี้เกียจจะถามถึงเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรเสียชีวิตคนขุดแร่อย่างพวกเราก็ไม่ได้มีค่าอันใดอยู่แล้ว” คนขุดแร่ตรงกลางตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“เกิดความแปลกประหลาดขึ้น ก็ไม่มีเรื่องนี้อีก น่าสนใจจริงๆ อีกเดี๋ยวพวกเจ้าบอกตำแหน่งที่เกิดเรื่องให้ข้าหน่อยซิ!” หานลี่หัวเราะหึๆ แล้วออกคำสั่ง

“ขอรับใต้เท้า!”

“ทำประโยชน์ให้ใต้เท้าได้ย่อมเป็นเกียรติของข้าน้อย!”

……

คนขุดแร่ย่อมไม่กล้าปฏิเสธ ทยอยกันตอบรับอย่างนอบน้อม

“ยามนี้คือคำถามสุดท้าย พวกเจ้าบอกข้ามาตามความจริง ทองคำมารที่นี่ถูกขุดไปจนเกลี้ยงแล้วจริงหรือ?” หานลี่กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามอีกคำถามหนึ่ง