ตอนที่ 942 น้องเขยและพี่ภรรยา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 942 น้องเขยและพี่ภรรยา

เว่ยอู๋ปิ้งจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เขามิได้ยิงปืนใหญ่ออกไปอีก ดังนั้นกองทัพทั้งสองจึงได้แต่ยืนมองกันอยู่ห่าง ๆ

เขากำลังรอดูศักยภาพของกองทัพสวรรค์ฆาตแห่งราชวงศ์หยู

ทว่าภารกิจที่ต้องทำลายล้างทหารกองทัพชายแดนใต้ให้สิ้นซาก ยังต้องดำเนินต่อไป

เขาหวังว่าหยูชุนชิวจะพากองทัพจากไปเสีย ทว่าอีกฝ่ายมิได้มีท่าทีจะจากไปแต่อย่างใด

ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ เขาจึงตัดสินใจออกคำสั่งว่า “กองพลที่หนึ่ง สองและสาม…บุกเข้าไป ! ”

เดิมทีหยูชุนชิวตั้งใจว่าจะรอให้กองทัพสวรรค์ฆาตตามมาสมทบเสียก่อน หากอีกฝ่ายใช้ปืนใหญ่ในการเปิดทาง เขาก็จะถอยทัพ แต่คาดมิถึงว่าอีกฝ่ายเลือกละทิ้งปืนใหญ่ที่ทรงอานุภาพแล้วบุกเข้ามาหาเช่นนี้

อีกทั้งยังใช้ทหารเพียง 30,000 นายเท่านั้น !

ปืนใหญ่หงอีของพวกเจ้าแข็งแกร่งมากยิ่งนัก ปืนคาบศิลาของพวกเจ้าก็คงยอดเยี่ยมมิแพ้กันสินะ ?

ทุกคนล้วนใช้ปืนคาบศิลาก็จริง ทว่าทหารของข้ามีมากถึง 300,000 นาย ยิงปืนเพียง 1 รอบก็สามารถยิงได้ 300,000 นัดแล้ว300,000 ต่อ 30,000… ต่อให้ทหารของข้าตกตายไป 100,000 นาย แต่ก็สามารถเอาชนะทหารเบื้องหน้าจำนวน 30,000 นายนี้ได้ ทั้งยังได้เปรียบมากกว่าเดิมอีกด้วย

เมื่อกองทัพสวรรค์ฆาตเดินทางมาถึง ชัยชนะก็จะตกเป็นของราชวงศ์หยู !

“ทหาร…บุก ! ” เขาจึงออกคำสั่งเช่นกัน

ประกายของโลหะสีขาวเงินส่องประกายกระทบกันไปมาทั่วที่ราบฮวาจ้ง มองดูแล้วราวกับคลื่นของแม่น้ำแยงซี คลื่นแต่ระลอกสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นพลังที่มิอาจมีผู้ใดบรรยายได้ !

นี่เป็นคราแรกที่หยูชุนชิวมีโอกาสได้ทำสงครามกับทหารดาบเทวะ เขายังจำคำเตือนของเผิงยวี๋เยี่ยนได้เป็นอย่างดี ว่าหากมิอาจเผชิญหน้าและทำลายล้างทหารดาบเทวะแบบตัวต่อตัวได้…ก็มีแต่จะพ่ายแพ้ !

นี่คือศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เขาทำงานด้านทหารมาหลายสิบปี ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ว่าโลหิตในกายของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครา ความปรารถนาที่จะต่อสู้ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

“ทหารกองกลาง จงติดตามข้าบุกเข้าไปด้านใน… ! ”

สงครามนี้เริ่มต้นด้วยทหารกองกลางบุกขึ้นหน้าออกไป แม้แต่ท่านแม่ทัพใหญ่ก็ยังออกรบด้วยตนเอง ทำให้ทหารทั้งสามแสนนายรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา “สังหารพวกมันเสียให้สิ้น… ! ”

ท่ามกลางเสียงคำรามดุจฟ้าร้องและเสียงเกือกม้าดังอึกทึก ส่งผลให้มีความรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว

ทว่าทหารดาบเทวะกองทัพที่สี่กลับมิได้ตะเบ็งเสียงแต่อย่างใด

ทั้งสามกองพลรวมจำนวน 30,000 นายของเว่ยอู๋ปิ้งเข้าสู้รบกับกองทัพชายแดนใต้จำนวน 300,000 นายของหยูชุนชิว !

‘ปังปังปัง… ! ’

เสียงปืนระลอกใหญ่ดังขึ้น ปรากฏภาพของทหารตกจากหลังม้ามากมาย ผสานไปด้วยเสียงร้องโหยหวน พวกเขากลิ้งไปมาอยู่บนพื้น โลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทุ่งหญ้าเขียวขจีจึงถูกย้อมด้วยสีแดงเพียงชั่วพริบตา

“ยิง… ! ”

หยูชุนชิวรีบออกคำสั่ง ทหารผู้ส่งสัญญาณทัพจึงยกธงขึ้น ทหารแนวหน้าที่ได้รับสัญญาณนี้ก็ได้ยิงปืนออกไปทันที…

‘ปังปังปังปัง…’

เสียงปืนดังขึ้นแล้วก็จริง ทว่าหยูชุนชิวก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาอีกครา เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามมิมีทหารล้มลงเลยแม้แต่นายเดียว !

เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ?

เขามิมีเวลามากพอที่จะมานั่งตริตรองอย่างละเอียด เนื่องจากสามกองพลของศัตรูได้ยิงเข้ามาอีกระลอกและทหารของตนก็ร่วงหล่นลงจากหลังอาชาอีกหลายร้อยนาย

ระยะยิง… !

ระยะยิงของปืนคาบศิลาของทั้งสองกองทัพแตกต่างกัน!

หยูชุนชิวตกอยู่ในความตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าวิถีกระสุนปืนคาบศิลาของฝ่ายตรงข้ามไกลกว่าของตน !

อีกทั้ง…ความรวดเร็วในการลั่นไกและบรรจุกระสุนของอีกฝ่ายก็ว่องไวกว่าทหารของตนมากนัก

“บุกเข้าไป ! ยิงในระยะ 30 จั้ง ยิงได้ ! ”

เว่ยอู๋ปิ้งส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย เขาออกคำสั่งให้ทหารส่งสัญญาณเบา ๆ ว่า “กองพลที่สี่ ห้าและหกจงเดินหน้า กองพลที่เจ็ด แปด เก้าและสิบเตรียมตัว… กองพลที่หนึ่ง สองและสามหยิบดาบขึ้นมา ! ”

……

……

ณ สวนท้อ ตรอกเจ็ดก้าวแห่งเมืองเปียนเฉิง

แม้ทั้งสองแคว้นจะอยู่ห่างกันเพียงภูเขาฉีซานกั้น ทว่าเมืองเปียนเฉิงมิมีสายฝนโปรยปราย มีเพียงแสงสุริยาที่เจิดจ้ามากยิ่งนัก

สวี่ซินเหยียนทำอาหารวางเต็มโต๊ะ หน้าตาน่ารับประทาน อีกทั้งยังมีสุราเก่าแก่ที่ฟู่เสี่ยวกวนเก็บเอาไว้หนึ่งขวด

เมื่อสุราถูกรินจนเต็มจอก ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นเต้านั่งลงฝั่งตรงข้ามกัน ฟู่เสี่ยวกวนยกจอกสุราขึ้นมา จากนั้นหยูเวิ่นเต้าจึงยกจอกสุราขึ้นเช่นกัน ทั้งสองร่วมดื่มด้วยกันอยู่หลายจอก

“สุราชั้นเลิศ ! รสชาติดีกว่าสุราซีซานเทียนฉุนเสียอีก ! ”

“โกดังเก็บสุราที่ซีซานยอดเยี่ยมเลยทีเดียว ทว่าบัดนี้มิมีแล้วเพราะข้าพาช่างฝีมือเหล่านั้นติดตามไปยังเมืองกวนหยุนแล้ว ข้าคิดไว้ว่าหลังจากเรื่องในครานี้สิ้นสุดลง ข้าจะนำโรงกลั่นสุราที่ซีซานคืนมาแล้วเติมสุราให้เต็มโกดังเพื่อเก็บไว้สัก 20 ปี…คาดว่ารสชาติจะดีกว่านี้มากนัก”

“ข้าเกรงว่าตนเองจะรอให้ถึง 20 ปีมิไหวน่ะสิ”

“ไม่ ! เพียงแค่เจ้ายินยอมรอ เจ้าก็สามารถดื่มสุราในโกดังได้ตามใจชอบ”

หยูเวิ่นเต้ายื่นตะเกียบออกไปคีบอาหารเข้าปากหนึ่งคำ มันมิได้เป็นอาหารชั้นเลิศที่หายากแต่อย่างใด เป็นเพียงผักที่หามาได้ตามป่าในเมืองเปียนเฉิงเท่านั้น

“รสมือมิเลว อร่อยกว่าที่พ่อครัวหลวงปรุงมากนัก เจ้าช่างมีวาสนาเสียจริง…แล้วน้องสาวของข้าเล่า ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มกว้าง “เวิ่นหวินอยู่ที่วังหลัง”

“เช่นนั้นก็ดี อีกอย่างการที่เจ้าจับตัวข้ามาจะมีประโยชน์อันใด เพราะข้าออกคำสั่งแก่เฟ่ยอันว่าให้สู้จนตัวตาย ! สู้จนกว่าทหารนายสุดท้ายจะสิ้นใจ ! ”

“และกองทัพจากแคว้นฝานก็กำลังเดินทางมาแล้ว เยี่ยงไรเสียชัยชนะก็ต้องตกเป็นของราชวงศ์หยู หรือต่อให้ข้าตายก็ยังมีพี่ใหญ่คอยรับช่วงต่อเป็นฮ่องเต้ แล้วก็…ชิงอีใกล้จะให้กำเนิดบุตรแล้ว”

“มาเถิด… พวกเรามิได้ร่วมดื่มด้วยกันนานมากแล้ว วันนี้จงดื่มให้มีความสุขดีกว่า”

เจี่ยหนานซิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รู้สึกประหลาดใจเสียจริง อยู่ ๆ เขาก็สงสัยว่าทั้งสองคนเป็นศัตรูที่จะฆ่าแกงกันจริงหรือ ?

คนหนึ่งเป็นน้องเขย อีกคนหนึ่งเป็นพี่ภรรยา คาดว่าสงครามด้านนอกได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่พวกเขากลับนั่งดื่มสุรากันอย่างสบายใจ มิมีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องสงครามแม้แต่คำเดียว ส่วนหยูเวิ่นเต้านับว่ากล้าหาญมากเลยทีเดียว เนื่องจากบัดนี้เขาถูกจับตัวเป็นเชลยศึก แต่กลับมิมีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด

“แท้ที่จริงข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กองทัพจากแคว้นฝานจะเดินทางมาถึงเร็วกว่านี้สักหน่อย”

การที่ฟู่เสี่ยวกวนปรากฏตัวขึ้นที่เมืองเปียนเฉิง ทำให้หยูเวิ่นเต้ารู้ได้ทันทีว่าแผนการชุนเหลยเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว

“ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เจ้าวางแผนมานานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? นับตั้งแต่สามตระกูลใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋เริ่มอพยพเลยหรือไม่ ? ”

“ก็มิใช่เสียทีเดียว แท้ที่จริงทั้งสามตระกูลใหญ่หักหลังข้าจริง ๆ แน่นอนว่าเป็นเพราะข้าต้องการให้พวกเขาหักหลังข้าเองด้วย เนื่องจากมีเพียงการที่พวกเขาหักหลังข้าเท่านั้นที่จะหลอกให้เจ้าตายใจได้ และทำให้เจ้ามีความกล้ามากพอในการบุกโจมตีราชวงศ์อู๋”

หยูเวิ่นเต้าหรี่ตามอง “แล้วโจวถงถงเล่า ? ”

“โจวถงถง เขาทรยศข้าจริง ๆ ดังนั้นในตอนแรกข้าจึงมิรู้ว่าเจ้าร่วมมือกับแคว้นฝาน และมิรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงดึงแคว้นฝานเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ? เดิมทีข้ามิได้ตั้งใจจะจัดการแคว้นฝานเลยสักนิด ทว่าบัดนี้เป็นเยี่ยงไรเล่า ข้าทำได้เพียงต้มรวมกันทั้งหม้อ ช่างยุ่งยากเสียจริง ! ”

“เจ้ามิกลัวว่าผักในหม้อนี้จะมากเกินไปจนล้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มกว้าง “ดังนั้นข้าจำเป็นต้องทานไปต้มไป เพราะข้ามีความอยากอาหารมาก น่าจะทานได้จนหมด”

หยูเวิ่นเต้าหัวเราะขึ้นมา “จริงหรือ ? ”

“มิเชื่อข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? เช่นนั้นประเดี๋ยวพวกเราก็ไปดูที่ภูเขาฉีซานกัน”

“ข้าคิดว่ามิต้องเดินทางไปถึงภูเขาฉีซานหรอก เสด็จแม่เคยตรัสว่าเจ้าเก่งกาจเกินคาดคิด ผู้เก่งกาจโดยมากมักเชื่อมั่นในตนเองสูง เมื่อมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง จึงใจกล้าเป็นธรรมดา…”

หยูเวิ่นเต้ารินสุราให้ฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งจอก “ข้าขอดื่มให้เจ้าอีกสักจอก แล้วจะบอกอีกเรื่องให้เจ้ารู้”

หนังตาของฟู่เสี่ยวกวนกระตุกเล็กน้อย เขาดื่มสุรากับหยูเวิ่นเต้าโดยมิได้มีทีท่าใด ๆ “เอ่ยมาเถิด”

“แผนการแปลงโฉมนั้น เจ้าเคยใช้มันมาแล้วหนึ่งคราในสงครามแคว้นฮวง เจ้าหลอกเสด็จพ่อของข้าได้สำเร็จ ทว่าในครานี้เจ้ามิควรใช้แผนการเดิมมาหลอกข้า ! ”

“โจวถงถงบอกเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ข้าให้สัญญากับเขาแล้วว่า… หลังจากสังหารเจ้าได้ ข้าจะช่วยเปลี่ยนจากราชวงศ์อู๋เป็นราชวงศ์โจวให้แก่เขา”

“ดังนั้นเจ้าจึงตั้งใจรอข้าอยู่ ณ ที่ราบชังซีน่ะหรือ ? ”

“ถูกต้อง ! ”

“เจ้าเอาอันใดมามั่นใจกัน ? ”

“ลูกแม่… รีบวิ่งเร็วเข้า… ! ”

เป็นเสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมาจากระยะไกล ดอกท้อและใบท้อในสวนพลันร่วงหล่นลงสู่พื้นธรณี ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมอง เจี่ยหนานซิงรีบเข้ามาประชิดตัวเขาในชั่วพริบตา

ด้านเป่ยหวังฉวนง้างคันธนูแล้วยิงลูกศรออกไปยังป่าท้อนั้น !