ตอนที่ 529 ท่านเจ้าสำนักหยินหยาง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

การประลองสามฝ่าย ถือเป็นงานสำคัญอันยิ่งใหญ่ในรอบสิบปีของแดนจิ่วโจว ผู้ชนะไม่เพียงแต่ได้รับทรัพย์สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาล ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นผู้นำแดนจิ่วโจวตลอดช่วงสิบปีนั้นด้วย

 

 

นี่จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตอนนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิ่วโจว ก็คือเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยางนั่นเอง

 

 

ยามนี้ดินแดนจิ่วโจวก็เป็นเหมือนกระทะเดือดๆ ห้าแคว้นใหญ่และอีกสองขุมกำลังต่างก็ไม่ยอมอยู่ในความสงบสุขแล้ว  ต่างก็คิดจะแสวงหาพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมและปล้นชิงทรัพยากรให้มากขึ้น จึงได้หมายตามายังดินแดนโบราณที่พึ่งจะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ

 

 

ชนิดที่เรียกว่าทั้งแคว้นใหญ่และขุมกำลังจำนวนมากต่างก็ปรารถนาในเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ชิ้นนี้

 

 

เทพบุตรหงเหมินเซียวเฉินคือคนที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุด

 

 

แต่ว่าน่าเสียดาย หมากกระดานนี้ของเขากลับพังพินาศ น่าเสียดายที่… แผนการที่เขาคิดคำนวนเอาไว้สุดท้ายแล้วกลับผิดพลาดไปเสียหมด กลายเป็นส่งมอบข่าวสารที่มีประโยชน์มากมายให้กับตู๋กูซิงหลันแทน

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูข้อมูลที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ปลายนิ้วแตะลงไปบนตัวอักษร ‘สำนักหยินหยาง’ สามคำนั้น

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้เห็นอักษรสามคำนี้ นางก็รู้สึกเกิคความคุ้นเคยขึ้นมา

 

 

ชั่วขณะหนึ่งนางรู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นสำนักหุบเขาภูติเล้นลับที่มีคำว่าหยินหยางอยู่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะต่างก็ฝึกฝนมาในแนวทางหยินหยางเหมือนกันก็เป็นได้…..

 

 

ตู๋กูซิงหลันอ่านต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกิดความเข้าใจมากขึ้น

 

 

ที่แท้สำนักหยินหยางนี้ สนับสนุนให้ผู้ที่โดดเด่นได้ขึ้นเป็นสุดยอด การชิงตำแหน่งของเจ้าสำนักคนใหม่ก็ได้มาด้วยวิธีเช่นนี้

 

 

ทุกๆห้าปีพวกเขาจะมีการคัดเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ครั้งหนึ่ง ขอเพียงเป็นศิษย์ในสำนัก ก็ล้วนมีสิทธิเข้าร่วมการช่วงชิง ผู้ที่ยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้าย ก็จะได้เป็นเจ้าสำนักไป

 

 

และด้วยวิธีการคัดเลือกเจ้าสำนักที่แปลกประหลาดเช่นนี้ จึงทำให้สำนักหยินหยางรั้งอยู่ในตำแหน่งท้ายสุดของสามขุมกำลังใหญ่มาโดยตลอด

 

 

เกรงว่าแม้แต่พวกเขาเองก็คงจะคิดไม่ถึงว่า อยู่ๆจะมีคนที่เก่งกาจโผล่ขึ้นมา ไม่เพียงแต่เอาชนะติดต่อกันจนได้กลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่

 

 

แต่ยังได้เป็นประมุขของจิ่วโจวที่พลาดหวังมานานตลอดหลายสิบปีอีกด้วย

 

 

นิ้วชี้ในมือขวาของนางเคาะลงไปบนโต๊ะจนเกิดเสียง ‘กึก กึก กึก’ ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา นางชักจะอยากเห็นหน้าค่าตาของเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้จริงๆ

 

 

ขณะที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง ทุกครั้งที่หลี่กงกงได้เห็นฮ่องเต้หญิงทรงทำกริยาเช่นนี้ เขาก็เป็นอันต้องแอบคิดถึงฮ่องเต้จีเฉวียนขึ้นมา

 

 

ยามที่ฝ่าบาททรงครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆก็จะเคาะโต๊ะเช่นกัน

 

 

“ฝ่าบาท….” คราวนี้ได้ยินเสียงของหลงเซียวทูลขอเข้าเฝ้า

 

 

ปกติยามที่ตู๋กูซิงหลันได้พบหน้าเขา เขามักจะมีสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมรณ์อยู่เสมอ แต่ว่าคราวนี้กลับดูร้อนรนอยู่บ้าง

 

 

“สรุปมาสั้นๆ” ตู๋กูซิงหลันบอกออกไป

 

 

“ทางด้านจิ่วโจวเกิดความเคลื่อนไหวแล้ว” หลงเซียวรายงานต่อไป “สายลับทางทะเลตะวันตกพบเห็นเรือจำนวนมาก ไม่ใช่เรือของดินแดนเรา ที่มาไม่ชัดเจน”

 

 

 

 

 

เป็นไปได้ว่า หลังจากที่ฝ่าบาททรงกักตัวเทพบุตรหงเหมินเอาไว้ พอพวกจิ่วโจวได้รับข่าวสารแล้วย่อมไม่คิดจะเลิกราง่ายๆ

 

 

“ไม่ต้องรีบร้อน มาลำหนึ่งก็ล่มลำหนึ่ง มาฝูงหนึ่งก็ล่มมันทั้งฝูง” ตู๋กูซิงหลันกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ค่อยๆพลิกอ่านข้อมูลในมือต่อไป

 

 

“ไปสืบฐานะของพวกมันมาให้ละเอียด หากว่ามีความเสี่ยงอันตรายต่อดินแดนของเราแม้เพียงน้อยนิด….”

 

 

พอพูดถึงตรงนี้ แววตาของตู๋กูซิงหลันก็ทอประกายโหดเ**้ยมออกมา

 

 

“สังหารเสีย อย่าให้เหลือรอดแม้คนเดียว”

 

 

ที่ผ่านมานางให้คุณค่ากับแต่ละชีวิตอยู่เสมอ แต่ว่าทุกวันนี้นางมีฐานะสูงส่ง รับผิดชอบต่อความคงอยู่ของทุกชีวิตให้แผ่นดินโบราณ ย่อมต้องคิดอ่านเพื่อพสกนิกรของตนเองก่อนอื่นใด

 

 

ใต้หล้านี้ นอกจากดินแดนจิ่วโจวแล้ว เกรงว่าก็ยังมีดินแดนอื่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

เหนือจิ่วโจว ยังมีพวกเทพ หากว่านางไม่ระมัดระวังก็อาจจะนำพาเภทภัยที่ร้ายแรงมาสู่ดินแดนโบราณแห่งนี้

 

 

ดังนั้นสำหรับอันตรายที่ยังคงอยู่ห่างไปไกลพวกนั้น สมควรขจัดไปแต่แรกย่อมจะดีกว่า

 

 

“พะยะค่ะ” หลงเซียวคุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้านาง ด้วยความเคารพเสมอเหมือนกับที่มีให้ฮ่องเต้จีเฉวียน

 

 

ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจในเรื่องนี้ได้เท่าเขาอีกแล้ว ฝีมือของฮ่องเต้หญิงองค์น้อยผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าฮ่องเต้จีเฉวียนเลยสักนัด

 

 

สำหรับพสกนิกรในแผ่นดินแห่งนี้ นางมากเมตตาเปี่ยมด้วยคุณธรรม คือผู้นำที่ยากจะหาได้ในพันปี

 

 

สำหรับผู้ที่มาจากนอกดินแดน นางขุดรากถอนโคน สังหารโดยไม่มีขมวดคิ้ว

 

 

ฮ่องเต้หญิงเช่นนี้ สมควรแล้วที่เขาจะถวายชีวิตเข้าปกป้อง

 

 

 หลงเซียวมองดูแววเนตรของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเพิ่มพูนความเคารพนับถือ

 

 

………..

 

 

จิ่วโจว สำหนักหยินหยาง

 

 

นับตั้งแต่การประลองสามฝ่ายที่ผ่านมา พวกเขาที่อ่อนด้อยที่สุดในสามขุมกำลัง ก็ได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจว

 

 

ฐานะของผู้คนทั่วทั้งสำนักหยินหยางถึงขั้นพลิกกลับ

 

 

ก่อนหน้านี้สำหนักหยินหยาง แม้ว่าจะมีผู้คนมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีทางกลายเป็นภาพผู้คนนับหมื่นเบียดเสียดกันในตรอกแคบเหมือนดั่งเช่นตอนนี้

 

 

ดูเอาสิ ทุกๆวันล้วนต้องมีขบวนผู้คนจากแคว้นใหญ่และขุมกำลังทั้งหลายเดินทางมาขอกราบคาราวะ

 

 

คนเขาว่า ของขวัญหนักสักหน่อยผู้คนล้วนไม่ถือสา เดิมที่ทางสำนักหยินหยางเองก็กะจะรับของขวัญทั้งหมดเอาไว้อย่างเปรมปรีดิ์เช่นกัน

 

 

แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า เจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้จะเป็นคนที่เย็นชาอย่างที่สุด เหล่าผู้คนที่มาขอกราบคารวะก่อนหน้านี้ เขาล้วนไม่ได้เหลือบแลเลยแม้สักนิด

 

 

รวมถึงพวกวังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยเช่นกัน

 

 

  แม้แต่ผู้คนในสำนักหยินหยางเอง ก็มีโอกาสน้อยนักที่จะได้เข้าพบเจ้าสำนักคนใหม่

 

 

เขาเป็นคนที่ลึกลับอย่างยิ่งลึกลับเสียจนกระทั่งคนในสำนักเองก็ไม่รู้ชัดว่าเคยรับศิษย์เช่นนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร

 

 

เหมือนกับว่าอยู่ๆเขาก็โผล่ขึ้นมา โดยไม่มีที่มาที่ไปใดๆทั้งสิ้น จากนั้นก็กลายเป็นเจ้าสำนักและประมุขของแดนจิ่วโจวอย่างรวดเร็วและรุ่งโรจน์โชติช่วง

 

 

ยามนี้ดึกสงัดมากแล้ว เจ้าสำนักคนใหม่นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย ในห้องมีเพียงแสงเทียนสลัว ที่ส่องกระทบดวงหน้าของเขาจนกลายเป็นเงาในหน้าทาบลงบนหน้าต่างเท่านั้น

 

 

งดงามอย่างยิ่ง!

 

 

บนโต๊ะเตี้ยมีพิณโบราณตัวหนึ่ง ตัวพิณเก่าคร่ำครึ มีลวดลายแกะสลักสีม่วงที่คล้ายดั่งเป็นอักขระอาคมบางอย่าง

 

 

ปลายนิ้วของเขาขยับน้อยๆ พิณโบราณก็ส่งเสียงสะท้อนออกมาชุดหนึ่ง

 

 

เสียง ‘ติงตัง’ พอเสียงนี้ดังออกไป พวกศิษย์ในสำนักหยินหยางที่พากันแอบดูอยู่นอกหน้าต่างก็ล้มลงไปกองบนพื้น

 

 

พวกเขายังไม่ทันได้เห็นเลยว่า ตกลงแล้วเป็นสิ่งใดที่ทำร้ายตนเองกันแน่

 

 

ไม่รอให้พวกเขาได้ป่ายปีนเพื่อลุกขึ้นมา ในห้องก็ถ่ายทอดเสียงของบุรุษที่เย็นชาอย่างยิ่งออกมา

 

 

“หากครั้งหน้ายังกล้าไม่เคารพข้า ก็จะเด็ดศีรษะสุนัขของพวกเจ้าซะ”

 

 

คำพูดนี้เหมือนเป็นดั่งยันต์เอาชีวิตที่ผนึกเข้าไปในร่างกายของพวกเขา ชั่วขณะไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการทั้งสิ้น

 

 

พวกเขาพากันนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจกันอยู่ลงบนพื้น แม้แต่จะถอนใจแรงก็ยังไม่กล้า

 

 

เจ้าสำนักคนใหม่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง รูปโฉมก็งดงามมาก ต่อให้เอาบุรุษทั่วทั้งแดนจิ่วโจวมารวมกัน ก็คงยังไม่น่าดูแม้สักครึ่งหนึ่งของเขา

 

 

ดังนั้นเหล่าศิษย์สตรีในสำนัก ส่วนใหญ่ต่างก็อดไม่ได้ที่จะมาแอบดูด้วยกันทั้งนั้น

 

 

แต่คนผู้นี้แข็งแกร่งส่วนแข็งแกร่ง งดงามส่วนงดงาม พื้นอารมณ์กลับย่ำแย่อย่างยิ่ง

 

 

ขยับนิดขยับหน่อยก็เป็นต้องเอาชีวิตผู้คนอย่างไรอย่างนั้น!

 

 

เหล่าศิษย์ในสำนักทางหนึ่งนั่งเดินกำลังภายใน ทางหนึ่งก็ต้องถอนหายใจออกมายาวเหยียด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเงาบนบานหน้าต่าง

 

 

เอาเถอะๆ ต่อให้ไม่ได้เห็นตัวคน ได้เห็นแต่เงาก็ยังดี

 

 

…………………………..