การประลองสามฝ่าย ถือเป็นงานสำคัญอันยิ่งใหญ่ในรอบสิบปีของแดนจิ่วโจว ผู้ชนะไม่เพียงแต่ได้รับทรัพย์สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาล ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นผู้นำแดนจิ่วโจวตลอดช่วงสิบปีนั้นด้วย
นี่จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตอนนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิ่วโจว ก็คือเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยางนั่นเอง
ยามนี้ดินแดนจิ่วโจวก็เป็นเหมือนกระทะเดือดๆ ห้าแคว้นใหญ่และอีกสองขุมกำลังต่างก็ไม่ยอมอยู่ในความสงบสุขแล้ว ต่างก็คิดจะแสวงหาพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมและปล้นชิงทรัพยากรให้มากขึ้น จึงได้หมายตามายังดินแดนโบราณที่พึ่งจะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ
ชนิดที่เรียกว่าทั้งแคว้นใหญ่และขุมกำลังจำนวนมากต่างก็ปรารถนาในเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ชิ้นนี้
เทพบุตรหงเหมินเซียวเฉินคือคนที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุด
แต่ว่าน่าเสียดาย หมากกระดานนี้ของเขากลับพังพินาศ น่าเสียดายที่… แผนการที่เขาคิดคำนวนเอาไว้สุดท้ายแล้วกลับผิดพลาดไปเสียหมด กลายเป็นส่งมอบข่าวสารที่มีประโยชน์มากมายให้กับตู๋กูซิงหลันแทน
ตู๋กูซิงหลันมองดูข้อมูลที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ปลายนิ้วแตะลงไปบนตัวอักษร ‘สำนักหยินหยาง’ สามคำนั้น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้เห็นอักษรสามคำนี้ นางก็รู้สึกเกิคความคุ้นเคยขึ้นมา
ชั่วขณะหนึ่งนางรู้สึกเหมือนกับว่าได้เห็นสำนักหุบเขาภูติเล้นลับที่มีคำว่าหยินหยางอยู่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะต่างก็ฝึกฝนมาในแนวทางหยินหยางเหมือนกันก็เป็นได้…..
ตู๋กูซิงหลันอ่านต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งเกิดความเข้าใจมากขึ้น
ที่แท้สำนักหยินหยางนี้ สนับสนุนให้ผู้ที่โดดเด่นได้ขึ้นเป็นสุดยอด การชิงตำแหน่งของเจ้าสำนักคนใหม่ก็ได้มาด้วยวิธีเช่นนี้
ทุกๆห้าปีพวกเขาจะมีการคัดเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ครั้งหนึ่ง ขอเพียงเป็นศิษย์ในสำนัก ก็ล้วนมีสิทธิเข้าร่วมการช่วงชิง ผู้ที่ยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้าย ก็จะได้เป็นเจ้าสำนักไป
และด้วยวิธีการคัดเลือกเจ้าสำนักที่แปลกประหลาดเช่นนี้ จึงทำให้สำนักหยินหยางรั้งอยู่ในตำแหน่งท้ายสุดของสามขุมกำลังใหญ่มาโดยตลอด
เกรงว่าแม้แต่พวกเขาเองก็คงจะคิดไม่ถึงว่า อยู่ๆจะมีคนที่เก่งกาจโผล่ขึ้นมา ไม่เพียงแต่เอาชนะติดต่อกันจนได้กลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่
แต่ยังได้เป็นประมุขของจิ่วโจวที่พลาดหวังมานานตลอดหลายสิบปีอีกด้วย
นิ้วชี้ในมือขวาของนางเคาะลงไปบนโต๊ะจนเกิดเสียง ‘กึก กึก กึก’ ติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา นางชักจะอยากเห็นหน้าค่าตาของเจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้จริงๆ
ขณะที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง ทุกครั้งที่หลี่กงกงได้เห็นฮ่องเต้หญิงทรงทำกริยาเช่นนี้ เขาก็เป็นอันต้องแอบคิดถึงฮ่องเต้จีเฉวียนขึ้นมา
ยามที่ฝ่าบาททรงครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆก็จะเคาะโต๊ะเช่นกัน
“ฝ่าบาท….” คราวนี้ได้ยินเสียงของหลงเซียวทูลขอเข้าเฝ้า
ปกติยามที่ตู๋กูซิงหลันได้พบหน้าเขา เขามักจะมีสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมรณ์อยู่เสมอ แต่ว่าคราวนี้กลับดูร้อนรนอยู่บ้าง
“สรุปมาสั้นๆ” ตู๋กูซิงหลันบอกออกไป
“ทางด้านจิ่วโจวเกิดความเคลื่อนไหวแล้ว” หลงเซียวรายงานต่อไป “สายลับทางทะเลตะวันตกพบเห็นเรือจำนวนมาก ไม่ใช่เรือของดินแดนเรา ที่มาไม่ชัดเจน”
เป็นไปได้ว่า หลังจากที่ฝ่าบาททรงกักตัวเทพบุตรหงเหมินเอาไว้ พอพวกจิ่วโจวได้รับข่าวสารแล้วย่อมไม่คิดจะเลิกราง่ายๆ
“ไม่ต้องรีบร้อน มาลำหนึ่งก็ล่มลำหนึ่ง มาฝูงหนึ่งก็ล่มมันทั้งฝูง” ตู๋กูซิงหลันกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ค่อยๆพลิกอ่านข้อมูลในมือต่อไป
“ไปสืบฐานะของพวกมันมาให้ละเอียด หากว่ามีความเสี่ยงอันตรายต่อดินแดนของเราแม้เพียงน้อยนิด….”
พอพูดถึงตรงนี้ แววตาของตู๋กูซิงหลันก็ทอประกายโหดเ**้ยมออกมา
“สังหารเสีย อย่าให้เหลือรอดแม้คนเดียว”
ที่ผ่านมานางให้คุณค่ากับแต่ละชีวิตอยู่เสมอ แต่ว่าทุกวันนี้นางมีฐานะสูงส่ง รับผิดชอบต่อความคงอยู่ของทุกชีวิตให้แผ่นดินโบราณ ย่อมต้องคิดอ่านเพื่อพสกนิกรของตนเองก่อนอื่นใด
ใต้หล้านี้ นอกจากดินแดนจิ่วโจวแล้ว เกรงว่าก็ยังมีดินแดนอื่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
เหนือจิ่วโจว ยังมีพวกเทพ หากว่านางไม่ระมัดระวังก็อาจจะนำพาเภทภัยที่ร้ายแรงมาสู่ดินแดนโบราณแห่งนี้
ดังนั้นสำหรับอันตรายที่ยังคงอยู่ห่างไปไกลพวกนั้น สมควรขจัดไปแต่แรกย่อมจะดีกว่า
“พะยะค่ะ” หลงเซียวคุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่ตรงหน้านาง ด้วยความเคารพเสมอเหมือนกับที่มีให้ฮ่องเต้จีเฉวียน
ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจในเรื่องนี้ได้เท่าเขาอีกแล้ว ฝีมือของฮ่องเต้หญิงองค์น้อยผู้นี้ มิได้ด้อยไปกว่าฮ่องเต้จีเฉวียนเลยสักนัด
สำหรับพสกนิกรในแผ่นดินแห่งนี้ นางมากเมตตาเปี่ยมด้วยคุณธรรม คือผู้นำที่ยากจะหาได้ในพันปี
สำหรับผู้ที่มาจากนอกดินแดน นางขุดรากถอนโคน สังหารโดยไม่มีขมวดคิ้ว
ฮ่องเต้หญิงเช่นนี้ สมควรแล้วที่เขาจะถวายชีวิตเข้าปกป้อง
หลงเซียวมองดูแววเนตรของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเพิ่มพูนความเคารพนับถือ
………..
จิ่วโจว สำหนักหยินหยาง
นับตั้งแต่การประลองสามฝ่ายที่ผ่านมา พวกเขาที่อ่อนด้อยที่สุดในสามขุมกำลัง ก็ได้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจว
ฐานะของผู้คนทั่วทั้งสำนักหยินหยางถึงขั้นพลิกกลับ
ก่อนหน้านี้สำหนักหยินหยาง แม้ว่าจะมีผู้คนมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีทางกลายเป็นภาพผู้คนนับหมื่นเบียดเสียดกันในตรอกแคบเหมือนดั่งเช่นตอนนี้
ดูเอาสิ ทุกๆวันล้วนต้องมีขบวนผู้คนจากแคว้นใหญ่และขุมกำลังทั้งหลายเดินทางมาขอกราบคาราวะ
คนเขาว่า ของขวัญหนักสักหน่อยผู้คนล้วนไม่ถือสา เดิมที่ทางสำนักหยินหยางเองก็กะจะรับของขวัญทั้งหมดเอาไว้อย่างเปรมปรีดิ์เช่นกัน
แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า เจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้จะเป็นคนที่เย็นชาอย่างที่สุด เหล่าผู้คนที่มาขอกราบคารวะก่อนหน้านี้ เขาล้วนไม่ได้เหลือบแลเลยแม้สักนิด
รวมถึงพวกวังตันติ่งกงและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยเช่นกัน
แม้แต่ผู้คนในสำนักหยินหยางเอง ก็มีโอกาสน้อยนักที่จะได้เข้าพบเจ้าสำนักคนใหม่
เขาเป็นคนที่ลึกลับอย่างยิ่งลึกลับเสียจนกระทั่งคนในสำนักเองก็ไม่รู้ชัดว่าเคยรับศิษย์เช่นนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร
เหมือนกับว่าอยู่ๆเขาก็โผล่ขึ้นมา โดยไม่มีที่มาที่ไปใดๆทั้งสิ้น จากนั้นก็กลายเป็นเจ้าสำนักและประมุขของแดนจิ่วโจวอย่างรวดเร็วและรุ่งโรจน์โชติช่วง
ยามนี้ดึกสงัดมากแล้ว เจ้าสำนักคนใหม่นั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย ในห้องมีเพียงแสงเทียนสลัว ที่ส่องกระทบดวงหน้าของเขาจนกลายเป็นเงาในหน้าทาบลงบนหน้าต่างเท่านั้น
งดงามอย่างยิ่ง!
บนโต๊ะเตี้ยมีพิณโบราณตัวหนึ่ง ตัวพิณเก่าคร่ำครึ มีลวดลายแกะสลักสีม่วงที่คล้ายดั่งเป็นอักขระอาคมบางอย่าง
ปลายนิ้วของเขาขยับน้อยๆ พิณโบราณก็ส่งเสียงสะท้อนออกมาชุดหนึ่ง
เสียง ‘ติงตัง’ พอเสียงนี้ดังออกไป พวกศิษย์ในสำนักหยินหยางที่พากันแอบดูอยู่นอกหน้าต่างก็ล้มลงไปกองบนพื้น
พวกเขายังไม่ทันได้เห็นเลยว่า ตกลงแล้วเป็นสิ่งใดที่ทำร้ายตนเองกันแน่
ไม่รอให้พวกเขาได้ป่ายปีนเพื่อลุกขึ้นมา ในห้องก็ถ่ายทอดเสียงของบุรุษที่เย็นชาอย่างยิ่งออกมา
“หากครั้งหน้ายังกล้าไม่เคารพข้า ก็จะเด็ดศีรษะสุนัขของพวกเจ้าซะ”
คำพูดนี้เหมือนเป็นดั่งยันต์เอาชีวิตที่ผนึกเข้าไปในร่างกายของพวกเขา ชั่วขณะไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการทั้งสิ้น
พวกเขาพากันนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจกันอยู่ลงบนพื้น แม้แต่จะถอนใจแรงก็ยังไม่กล้า
เจ้าสำนักคนใหม่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง รูปโฉมก็งดงามมาก ต่อให้เอาบุรุษทั่วทั้งแดนจิ่วโจวมารวมกัน ก็คงยังไม่น่าดูแม้สักครึ่งหนึ่งของเขา
ดังนั้นเหล่าศิษย์สตรีในสำนัก ส่วนใหญ่ต่างก็อดไม่ได้ที่จะมาแอบดูด้วยกันทั้งนั้น
แต่คนผู้นี้แข็งแกร่งส่วนแข็งแกร่ง งดงามส่วนงดงาม พื้นอารมณ์กลับย่ำแย่อย่างยิ่ง
ขยับนิดขยับหน่อยก็เป็นต้องเอาชีวิตผู้คนอย่างไรอย่างนั้น!
เหล่าศิษย์ในสำนักทางหนึ่งนั่งเดินกำลังภายใน ทางหนึ่งก็ต้องถอนหายใจออกมายาวเหยียด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเงาบนบานหน้าต่าง
เอาเถอะๆ ต่อให้ไม่ได้เห็นตัวคน ได้เห็นแต่เงาก็ยังดี
…………………………..