ณ เมืองฉิน—เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณรอบนอกของดินแดนมหาเทพ ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็กำลังนั่งอยู่ในลานกว้างพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ในวันนั้น ทุกคนก้าวเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปด้วยกันและทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่นในตอนแรก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป จู่ ๆ ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็เริ่มสั่นสะเทือนและพลังที่ทรงพลังบางอย่างก็พยายามแยกฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ออกจากกันส่งผลให้ทุกคนต้องต่อสู้กับแรงกดดันอย่างไม่รู้จบ
นางและทุกคนจับมือกันอย่างเหนียวแน่นและเกาะกลุ่มชิดติดกันเพื่อป้องกันมิให้พลังนั้นแยกพวกตนออกจากกันได้สำเร็จ ทว่าเคราะห์ร้ายที่พลังดังกล่าวนั้นแกร่งกล้าจนเกินไปและในที่สุดมันก็แยกพวกเขาออกไปทีละคน
ฉินอวี้โม่จำได้เพียงว่าตอนที่มือของนางกำลังจะหลุดไปจากมือของหานโม่ฉือ บุรุษคนรักได้บอกกับตนว่าจะตามหานางให้พบ ทว่าหลังจากนั้นนางก็หมดสติไปและจำอะไรไม่ได้อีกเลย
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็อยู่ภายในบ้านหลังนี้แล้ว
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้างนอกอากาศหนาวนัก อย่านั่งอยู่ข้างนอกนานจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะป่วยไข้เอาได้”
น้ำเสียงแสดงถึงความเป็นกังวลดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ก่อนที่สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งจะเดินมาและห่มผ้าคลุมร่างฉินอวี้โม่ไว้ด้วยความห่วงใย
ในวันนั้นสามีของนางออกไปล่าสัตว์ตามปกติ ทว่าบังเอิญได้พบกับฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งนอนหมดสติอยู่เพียงลำพังจึงตัดสินใจช่วยนางไว้และพากลับมาที่นี่
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ก็พักอยู่กับสองสามีภรรยาคู่นี้ ทั้งสองดูเป็นคนจิตใจดีและเข้ากับนางได้ดี อีกทั้งการที่สองสามีภรรยาวัยกลางคนไร้ทายาทสืบสกุล พวกเขาก็ช่วยดูแลและปฏิบัติต่อฉินอวี้โม่ราวกับเป็นบุตรแท้ ๆ มาตลอด
“ป้าฉิน ข้าหิวจังเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืนและคลี่ยิ้มกว้างให้กับสตรีตรงหน้าที่ถูกเรียกว่า ‘ป้าฉิน’ ด้วยน้ำเสียงน่ารักน่าเอ็นดู
ค่ายกลเคลื่อนย้ายจากห้องลับของฮวาเฉินประหลาดยิ่งนัก มันไม่เพียงแต่แยกนางและคนอื่น ๆ ออกจากกันเท่านั้น ทว่ายังทำให้ฉินอวี้โม่สูญเสียพลังไปโดยสิ้นเชิง นางไม่สามารถเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว ไม่สามารถติดต่อบรรดาอสูรมายาของตนหรือแม้กระทั่งติดต่อกับซิวที่อยู่ในมิติเชื่อมอสูรของตนได้ด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ฉินอวี้โม่เป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่มีทักษะในการต่อสู้ติดตัวเท่านั้น
“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นป้าจะไปเตรียมอาหารอร่อย ๆ ให้เจ้า”
ป้าฉินแตะมือฉินอวี้โม่เบา ๆ และจับมือนางเดินเข้าไปในบ้านพักก่อนมุ่งหน้าตรงไปทางห้องครัว
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและนั่งใช้ความคิดต่อไปขณะไตร่ตรองข้อมูลที่ได้ทราบมา
ดินแดนแห่งนี้ถูกเรียกขานกันว่า ‘ดินแดนมหาเทพ’ ซึ่งเป็นดินแดนระดับสูงที่เป็นจุดหมายปลายทางของนางและคนอื่น ๆ อย่างแท้จริง เมืองฉินแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ในทางทิศตะวันออกของดินแดนมหาเทพและเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลชิงโจว
ขุมกำลังในดินแดนมหาเทพนี้ก็ซับซ้อนยุ่งเหยิงมากกว่าในดินแดนเทพมายาหลายเท่าตัวนัก ดินแดนแห่งนี้มีพื้นที่ที่กว้างใหญ่จนเรียกได้ว่าไร้ขอบเขต มณฑลชิงโจวเพียงแห่งเดียวก็มีขนาดใหญ่เท่ากับดินแดนเทพมายาแล้ว และมณฑลชิงโจวนี้ก็เป็นเพียงมุมหนึ่งของดินแดนมหาเทพเท่านั้น
จากสิ่งที่ผู้เฒ่าเซียวหยาวกล่าวไว้ จอมยุทธ์ของดินแดนมหาเทพนี้ทรงพลังอย่างมากซึ่งจอมยุทธ์จากขุมกำลังใหญ่ของดินแดนมีพลังในขอบเขตเซียนตั้งแต่กำเนิด และเมื่ออายุครบยี่สิบปีความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็จะบรรลุขอบเขตราชาเซียนได้ตามธรรมชาติ กล่าวได้ว่าพลังความแข็งแกร่งในปัจจุบันของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่จัดเป็นอันดับสูงสุดของดินแดนเทพมายาก็ไม่อาจเทียบกับศิษย์นอกของขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นด้วยซ้ำ
ส่วนนิกายหมื่นบุปผาที่ผู้เฒ่าเซียวเหยากล่าวถึงก่อนหน้านี้ก็คือหนึ่งในเก้านิกายของดินแดนมหาเทพ
ขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามสำนักและเก้านิกายด้วยกัน โดยสามสำนักดังกล่าวได้แก่สำนักเมฆาคราม สำนักเบิกภูผาและสำนักห้าขุนเขา ส่วนนิกายทั้งเก้าได้แก่นิกายเมฆาล่องลอย นิกายหมื่นบุปผา นิกายกระบี่สายฟ้า นิกายนภาคราม นิกายธาราแดง นิกายมังกรฟ้า นิกายพยัคฆ์ขาว นิกายเต่าดำและนิกายหงส์แดง
พลังอำนาจของสำนักทั้งสามเรียกได้ว่าแทบจะเท่าเทียมกัน ทว่าพลังอำนาจของเก้านิกายก็ด้อยกว่าสามสำนักเล็กน้อย ส่วนนิกายหมื่นบุปผาก็ถูกจัดอยู่ในอันดับสองของนิกายทั้งเก้าซึ่งแสดงให้ว่ามันทรงพลังเพียงใด
นอกเหนือจากสามสำนักและเก้านิกาย ดินแดนแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยขุมกำลังทั้งน้อยใหญ่มากกว่าพันแห่ง ทว่าขุมกำลังเหล่านั้นก็ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอยู่เสมอจนกลายเป็นเรื่องปกติของดินแดน
หลังจากได้ทราบข้อมูลโดยทั่วไปของดินแดนมหาเทพ ฉินอวี้โม่ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้เฒ่าเซียวเหยาจึงกล่าวว่านิกายหมื่นบุปผาทรงพลังยิ่งนัก สำหรับตัวนางในตอนนี้ นิกายหมื่นบุปผาแห่งนั้นยังไกลเกินเอื้อมนัก อีกทั้งมันยังตั้งอยู่ในมณฑลกลางของดินแดนมหาเทพ และมณฑลชิงโจวที่ฉินอวี้โม่อยู่ในตอนนี้เป็นเพียงมณฑลรอบนอกที่ห่างไกลซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีในการเดินทางไปถึงมณฑลกลาง
“ข้ากลับมาแล้ว”
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของ ‘ลุงฉิน’ ก็ดังขึ้นปลุกฉินอวี้โม่จากภวังค์ ในเวลานี้เขาก็กลับมาพร้อมกับหมูป่าที่แบกอยู่บนหลังซึ่งไล่ล่ามาด้วยตนเอง
“ลุงฉิน นั่งพักและจิบชาก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
จากนั้นฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นรินน้ำชาลงถ้วยและยื่นให้กับลุงฉินอย่างคล่องแคล่ว
บุรุษวัยกลางคนที่มีนามว่า ‘ฉินอัน’ ผู้นี้ก็คือผู้ที่ช่วยนางไว้นั่นเอง
ฉินอันเป็นเพียงนักล่าธรรมดาคนหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ในวันนั้นเขาออกไปล่าสัตว์ตามปกติและพบกับฉินอวี้โม่ที่นอนหมดสติอยู่กลางป่า สองสามีภรรยาอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ และแทบไม่เคยพบปะกับคนนอก พวกเขาทั้งสองมีจิตใจดีและมีเมตตา แน่นอนว่าเขาตัดสินใจช่วยฉินอวี้โม่โดยไม่ลังเล
เมื่อได้ทราบชื่อของนาง ทั้งฉินอันและป้าฉินต่างก็กล่าวติดตลกและบ่งบอกว่านี่คือการที่โชคชะตาได้นำพาให้นางมาพบกับพวกเขา
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าทั้งสองต้องการปลอบใจนางเพื่อมิให้นางคิดมากและเกรงใจเกินไป นางก็ไม่ได้กล่าวคัดค้านอะไรนักและเพียงจดจำความเมตตาของคนทั้งสองไว้ในหัวใจ
“เสี่ยวอวี้โม่ ร่างกายของเจ้าใกล้จะหายดีแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะไปจากที่นี่เลยรึไม่ ?”
ฉินอันมองฉินอวี้โม่และเอ่ยถาม แม้เขาไม่มีความรู้อะไรมากนัก ตั้งแต่แรกเห็น เขาก็ทราบดีว่าสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไม่ว่าด้านรูปลักษณ์หรือกลิ่นอายที่สูงส่ง สตรีผู้นี้ก็แตกต่างจากทุกคนในเมืองนี้อย่างสิ้นเชิง และการที่นางนอนหมดสติอยู่กลางป่าในครานั้น เกรงว่าเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างที่พวกเขามิอาจล่วงรู้
“ลุงฉินไม่ชอบข้าและอยากขับไสไล่ส่งข้าไปไกล ๆ แล้วรึเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำท่าทางเศร้าโศกและกล่าวอย่างติดตลก
“เขากล้ารึ ! เขากล้าไม่ชอบเจ้ารึ รอดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับเขาอย่างไร !”
ก่อนที่ฉินอันจะตอบสิ่งใด เสียงของป้าฉินก็ดังขึ้นมาจากในบ้าน
ทั้งสองทราบดีว่าฉินอวี้โม่เพียงกล่าวล้อเล่นและยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม คิ้วของสองสามีภรรยาก็ขมวดเป็นปมเล็ก ๆ ด้วยความเศร้าใจและทราบดีว่าสตรีที่ตนรักและเอ็นดูเหมือนบุตรแท้ ๆ ผู้นี้จะต้องจากไปในไม่ช้า…
“ท่านป้าดีกับข้าที่สุดเลย”
ฉินอวี้โม่ก้าวออกไปเกาะแขนป้าฉินและประคองนางให้นั่งลง ในมือของสตรีวัยกลางคนตอนนี้ก็ถือชามบะหมี่ปรุงสดใหม่น่ารับประทานและส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอเอาไว้
“เสี่ยวอวี้โม่ กินก่อนเถอะแล้วพูดกันทีหลัง”
นางกล่าวเชิญชวนให้ฉินอวี้โม่รับประทานบะหมี่อันโอชะที่เตรียมมาให้
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับและเริ่มลงมือรับประทานอย่างรวดเร็ว
“บะหมี่ของท่านป้าอร่อยที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
หลังจากรับประทานจนเกลี้ยงชาม ฉินอวี้โม่ก็กล่าวชมจากใจจริง อาหารที่ปรุงโดยป้าฉินชามนี้ทำให้นางนึกถึงรสมือของมารดาขึ้นมา
“หากเจ้าชอบ ข้าจะทำให้เจ้ากินบ่อย ๆ”
ป้าฉินยกมือซับน้ำตาที่ไหลซึมอาบแก้มอย่างเงียบ ๆ หากนางได้มีบุตรสาวที่เป็นเด็กดี น่ารักและจิตใจดีเช่นนี้ก็คงจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย…
“ลุงฉิน ป้าฉินเจ้าคะ ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกกับท่านทั้งสอง”
ฉินอวี้โม่เลื่อนชามบะหมี่ออกไปด้านข้างและกล่าวกับคนทั้งสองอย่างจริงจัง
จากนั้นนางก็เล่าเรื่องราวสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้ทั้งสองได้ทราบอย่างคร่าว ๆ รวมถึงจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่ดินแดนมหาเทพนี้
ฉินอันและป้าฉินตกตะลึงไปชั่วขณะ แม้จะคาดเดาไว้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่จะต้องไม่ธรรมดาแน่ ทว่าทั้งสองก็ไม่คิดเลยว่านางจะเผชิญชีวิตที่โศกเศร้าน่าเห็นใจถึงเพียงนี้
“เด็กน้อยเอ๋ย…เจ้าคงจะทุกข์ทรมานมามาก”
ป้าฉินดึงฉินอวี้โม่เข้าสู่อ้อมแขนอย่างแผ่วเบา สตรีเยาว์วัยผู้นี้มีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปีเท่านั้นทว่าต้องฝ่าฟันชีวิตที่เศร้าโศกมากถึงเพียงนี้แล้ว
นับตั้งแต่เยาว์วัย นางก็ต้องเพียรฝึกวิชาอย่างหนักเพื่อออกตามหาบิดามารดาและทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง ทั้งที่มีสามีที่รักยิ่งและลูกน้อยอีกสองคน ทว่าฉินอวี้โม่กลับต้องพลัดพรากจากทั้งสามีและลูกน้อยเช่นนี้อีก…เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่ผู้ใดจะไม่เห็นใจในโชคชะตาที่นางต้องเผชิญ
“เสี่ยวอวี้โม่ ท่านผู้เฒ่าบอกว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับมารดาของเจ้าอยู่ในนิกายหมื่นบุปผารึ…เจ้ารู้หรือไม่ว่านิกายแห่งนั้นทรงพลังและน่าหวาดหวั่นเพียงใด ?”
ฉินอันเองก็เห็นใจในโชคชะตาของฉินอวี้โม่ทว่าเขาก็เรียกสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงนิกายที่ฉินอวี้โม่กล่าวถึง เขาก็ตกใจไม่น้อย เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งในเมืองเล็กแห่งนี้และไม่ทราบเรื่องการฝึกยุทธ์ฝึกวิชามากนัก อย่างไรก็ตาม เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับสามสำนักและเก้านิกายของดินแดนมาบ้าง นิกายหมื่นบุปผาเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างยิ่ง หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่นั่นจริง การพาตัวนางออกมาก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
“ข้าทราบเจ้าค่ะ แต่ข้าก็ต้องไปที่นั่น”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและผละออกจากอ้อมแขนของป้าฉิน นางรู้สึกได้ว่าสองสามีภรรยาวัยกลางคนตรงหน้าหวังดีกับตนอย่างแท้จริงและนางก็ซาบซึ้งใจอย่างที่สุด
“เสี่ยวอวี้โม่ เราเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ และช่วยเจ้าไม่ได้มากนัก ทว่าตอนนี้พลังของเจ้ายังไม่ฟื้นตัวขึ้นมา หากเจ้าออกเดินทางไปในตอนนี้ มันจะเป็นอันตรายจนเกินไป โดยปกติแล้วในเมืองเล็ก ๆ ของเราแทบไม่มีผู้คนสัญจรไปมา เพราะฉะนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปสักระยะจะดีกว่า การรอให้ความแข็งแกร่งของเจ้าฟื้นฟูกลับคืนมาและออกเดินทางอีกครั้งก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป”
ป้าฉินจับมือฉินอวี้โม่และกล่าวด้วยความเป็นห่วง เพียงคิดว่าสตรีตรงหน้าจะจากไปในอีกไม่นาน น้ำตาของนางก็ไหลอย่างมิอาจควบคุมอีกครั้ง
“ใช่ ในช่วงเวลานี้ข้าก็จะช่วยสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมของดินแดนและหาเบาะแสเส้นทางไปสู่ที่นั่น การเตรียมความพร้อมให้รอบด้านย่อมดีกว่าเสมอ”
ฉินอันกล่าวเสริมอย่างเห็นด้วยและตัดสินใจที่จะไปพบผู้ว่าการของเมืองเพื่อสอบถามเกี่ยวกับแผนที่ของดินแดนมหาเทพ
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่วางแผนไว้แบบเดียวกัน พลังของนางยังไม่ฟื้นฟูกลับสู่ระดับเดิมและการอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ก็ถือว่าปลอดภัยที่สุดสำหรับตอนนี้ แม้ยังไม่ทราบว่าหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ อยู่ที่ใด ทว่าด้วยความสามารถและสติปัญญาอันฉลาดของพวกเขา ฉินอวี้โม่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไปนัก เมื่อความแข็งแกร่งของนางฟื้นฟูกลับมาอย่างเต็มที่และทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตราชาเซียนได้สำเร็จ มันก็ไม่สายเกินไปที่จะออกตามหาพวกเขา…
ในอีกฝั่งหนึ่ง หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ก็กระจัดกระจายแยกกันไปในมุมต่าง ๆ ของดินแดนมหาเทพ
เวลานี้ หานโม่ฉือลืมตาขึ้นมาและพบว่าตนอยู่ในห้องแห่งหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย เพียงแต่เรือนที่เขาอยู่ในตอนนี้งดงามโอ่อ่าอย่างมากและทราบได้ตั้งแต่แวบแรกว่ามันมิใช่เรือนของครอบครัวธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน
“คุณชาย ท่านฟื้นแล้วรึ ?”
ภายในห้องนี้มีสตรีนางหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนแม่บ้านเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าบุรุษหนุ่มที่นอนหมดสติมานานฟื้นขึ้นมา ใบหน้าของนางก็แสดงถึงความตื่นเต้นและแดงระเรื่อเล็กน้อยขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูประหม่าอย่างชัดเจน จากสีหน้าท่าทางของนางในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยพบเห็นบุรุษหนุ่มที่รูปงามเช่นนี้มาก่อน และก็ไม่เพียงเฉพาะนางเท่านั้น ทว่าบรรดาพี่น้องของนางคนอื่น ๆ ก็มีใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเช่นกัน
“ที่นี่คือที่ใด รึ ?”
หานโม่ฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าเมื่อหันมองรอบตัวและไม่เห็นแม้แต่เงาของฉินอวี้โม่ หัวใจของเขาก็เกิดความกังวลขึ้นมา
“คุณชาย ท่านฟื้นแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากนอกห้องพร้อมกับสตรีเยาว์วัยงดงามคนหนึ่งเดินเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงของหานโม่ฉือ นางรีบปรี่ตรงเข้ามาในห้องและเมื่อสบตากับหานโม่ฉือ ใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันทีก่อนที่จะก้มศีรษะลงและไม่กล้าสบตากับบุรุษรูปงามผู้นี้อีก
“ขอบคุณมากที่ช่วยข้าไว้”
หานโม่ฉือลุกขึ้นยืนและกล่าวขอบคุณสตรีผู้นั้น เวลานี้พลังในร่างของเขาก็หายไปเช่นกันและกลายเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“ไม่ต้องขอบคุณอะไรข้าหรอก ข้าเพียงเห็นคุณชายนอนหมดสติอยู่บนท้องถนน เป็นเรื่องปกติที่ข้าจะต้องช่วย”
เด็กสาวกล่าวเสียงเบาและใบหน้าระเรื่อยิ่งขึ้น นับตั้งแต่วันที่นางได้เห็นหานโม่ฉือนอนหมดสติอยู่ นางก็ทราบดีว่าบุรุษผู้นี้หล่อเหลาอย่างมาก ทว่าตอนนี้เมื่อได้สบตากัน นางก็คิดว่าเขาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรไม่มีผิด เพียงแอบลอบมองใบหน้าของเขาก็ทำให้หัวใจของนางเต้นรัวได้ง่าย ๆ
“ไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวข้าเลยรึ ? เจ้าเห็นภรรยาของข้ารึไม่ ?”
หานโม่ฉือสังเกตเห็นท่าทางประหลาดของอีกฝ่ายและกล่าวถามออกไป ทว่าคำถามของเขาทำให้นางชะงักไปทันที