ณ โลกเป่ยเหอ ผู้นำทั้งห้าทะยานมาถึงหน้าประตูตำหนักของตำหนักอันสูงตระหง่านที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
“พี่เทียนเฉิน” ยักษ์แปดกรในบรรดาผู้นำทั้งห้าเอ่ยขึ้น “รบกวนท่านช่วยส่งสารให้ที ว่าพวกเราอยากจะเยี่ยมคารวะองค์จักรพรรดิ”
“อ้อ”
ผู้ที่ยืนอารักขาอยู่หน้าประตูคือบุรุษผมเงินผู้หนึ่ง เขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้วเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีคุณสมบัติพอจะรับหน้าที่เป็นผู้อารักขาทั้งวังเทพเป่ยเหอเพียงลำพังได้ บุรุษผมเงินผู้นี้พูดยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งห้าเผ่ามิได้ไปโจมตีโลกแสงดาวหรอกหรือ ในฐานะผู้นำ พวกเจ้าก็ควรจะประจำการอยู่ที่นั่นสิ เหตุใดจึงมาที่นี่กันหมดเสียเล่า”
“อย่าพูดถึงเลย จู่ๆ โลกแสงดาวนั่นก็มียอดฝีมือเร้นลับโผล่ออกมาคนหนึ่ง ทำให้พวกเราเสียหายใหญ่หลวงนัก” ยักษ์แปดกรกล่าว “พี่เทียนเฉิน ท่านรีบไปส่งสารเถิด”
“ก็ได้ๆ ข้าจะไปส่งสารเดี๋ยวนี้แหละ” บุรุษผมเงินรีบแบ่งร่างแปรร่างหนึ่งมุ่งหน้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็วทันที
……
หน้าแปลงดอกไม้สีม่วงแห่งหนึ่ง
คนอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าแปลงดอกไม้สีม่วงพลางมองดูดอกไม้เหล่านี้อย่างเงียบงัน สายตาลึกล้ำราวกับห้วงสมุทร แม้เขาจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่ก็มีกลิ่นอายเข่นฆ่าที่ชวนให้คนประหวั่นใจแผ่ซ่านออกมา!
ชื่อเสียงของ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ นั้นโด่งดังเพราะการเข่นฆ่าโดยแท้
ประกายกระบี่ราวกับนทีสวรรค์อันโดดเด่นสะดุดตา สังหารจนทั่วทุกสารทิศต้องยอมก้มหัวให้ แม้แต่การเดิมพันของจักรพรรดิใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ทั้งสี่คน จักรพรรดิเป่ยเหอก็เอาชนะจักรพรรดิอีกสามท่านได้อย่างต่อเนื่องกัน ภายในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ยอดเคารพเฮ่ากู่ปกครองนี้ เขาได้กลายเป็นรองเพียงสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นอย่างยอดเคารพเฮ่ากู่เท่านั้น! เมื่อเขาออกคำสั่งคราหนึ่ง ก็ทำให้โลกจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสั่นสะท้านและยอมศิโรราบ
สวบ
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาจากที่ไกลๆ แล้วร่อนลงมา เป็นร่างแปรของบุรุษผมเงินนั่นเอง เขาพูดด้วยความเคารพว่า “องค์จักรพรรดิ”
“มีเรื่องอันใด” จักรพรรดิเป่ยเหอยังคงเหม่อมองดูดอกไม้พลางเอ่ยปากเสียงเรียบ
“หัวหย่งและหัวหน้าของห้าเผ่าคนอื่นๆ มาขอเข้าพบขอรับ” บุรุษผมเงินกล่าว
“อ้อ ให้พวกเขาเข้ามา” จักรพรรดิเป่ยเหอกำชับ
“ขอรับ”
ร่างแปรของบุรุษผมเงินถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ
หัวหน้าของทั้งห้าเผ่าก็มาถึงที่นี่ พวกเขาพากันคารวะด้วยความเคารพ “คารวะองค์จักรพรรดิ”
จักรพรรดิเป่ยเหอจึงหมุนกายกลับมา เขามองดูทั้งห้าคนด้วยสายตาเรียบนิ่ง “พวกเจ้าไม่ทำศึก แต่กลับมาหาข้าที่นี่ เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นในการต่อสู้หรือ”
“ขอรับ” บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผิวสีแดงก่ำกล่าวด้วยความเคารพ “พวกเราทั้งห้าเผ่าโจมตีโลกแสงดาว ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก่อนหน้านี้ก็ราบรื่นดีมาก ผู้ใดจะไปคิดว่าจู่ๆ จะมีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนามจ้าวหิมะเหินปรากฏกายขึ้นมาเสียนี่ เขาเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่น เพียงชั่วความคิดเดียว ก็ทำให้ยอดฝีมือระดับยอดถึงสาบสิบคนที่พวกเราทั้งห้าเผ่าส่งไปถูกกระบวนท่าจนตกเข้าสู่ห้วงนิทรากันหมด ยอดฝีมือของพวกเราทั้งห้าเผ่ากลุ่มนี้ต้องตกเป็นเชลยจนสิ้น เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขา จำนวนมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์! นอกจากนี้ หากมีแค่พวกเราทั้งห้าคนร่วมมือกัน แม้มั่นใจว่าจะสามารถต้านทานกระบวนท่าทางด้านวิญญาณนั่นได้ แต่เกรงว่าพลังก็คงจะต้องถูกลดทอนลง ขณะเดียวกันพวกเราก็ยังต้องประสบกับการล้อมโจมตีของค่ายกลรบที่ประมุขแสงดาวและผู้แกร่งกล้าแห่งโลกแสงดาวร่วมมือกันสร้างขึ้นมาด้วย ข้าและคนอื่นๆ เกรงว่าจะต้องตกเป็นรอง นอกจากนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเราก็มีอันตรายถึงตาย ดังนั้นพวกเราจึงต้องถอยออกมาก่อนชั่วคราวขอรับ”
“ในบรรดายอดฝีมือที่ตกเป็นเชลยทั้งสามสิบคน คงไม่มีระดับจักรพรรดิกระมัง” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยปาก
“ขอรับ ไม่มีระดับจักรพรรดิเลย” บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผิวสีแดงก่ำพูดด้วยความเคารพ
“ควันวายุ” จักรพรรดิเป่ยเหอกล่าว
ทันใดนั้นไอหมอกอันไร้รูปร่างก็รวมตัวกันขึ้นด้านข้าง กลายเป็นสตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางหนึ่ง สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางนี้คารวะด้วยความเคารพทันที “องค์จักรพรรดิ”
“จ้าวหิมะเหิน เจ้าเคยได้ยินสมญานามนี้หรือไม่” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยถาม
สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรสะดุ้งน้อยๆ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ภายในหุบเขาเขี้ยวหักของข้า ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้แกร่งกล้าระดับนี้มาก่อน แต่ภายในดินแดนจิตโลกา มีผู้ที่ชื่อมหาเคารพหิมะเหินคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนัก! เขาเคยใช้นามแฝงว่า ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แล้วทำให้มารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาสั่นสะท้านด้วยพลังของตัวคนเดียว ทั้งยังทำลายเรื่องมงคลของราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นอีกด้วย ทำเอาราชันย์อนธการอมตะโกรธแค้นมาก ราชันย์อนธการอมตะมองตัวตนที่แท้จริงของเขาออก แล้วบุกสังหารไปจนถึงเมืองหิมะเหิน…ศึกครั้งนั้น ประมุขแสงดาวก็เคยปรากฏกายออกมาเพื่อสกัดกั้นราชันย์อนธการอมตะไว้ จากนั้นพลังของราชันย์อนธการอมตะก็ปะทุออกมา แล้วเหิมเกริมไปทั่วสารทิศ ภายหลังมหาเคารพหิมะเหินผู้นั้นอาศัยค่ายกลมากมายในตัวเมือง จึงสามารถสกัดกั้นราชันย์อนธการอมตะได้อย่างพอถูไถ”
“จากการวิเคราะห์ พลังของมหาเคารพหิมะเหินน่าจะเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สอง ได้ยินมาว่ามีอาวุธเทพคละถิ่น พลังของตนไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเอาเสียเลย” สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรพูดอธิบาย
ในฐานะที่นางเป็นหนึ่งในเก้าแม่ทัพเทพประจำตัวของจักรพรรดิเป่ยเหอในตอนนี้ จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลของแต่ละฝ่ายอยู่ตลอดเวลา
อันที่จริงแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นดินแดนจิตโลกาหรือเผ่าชนพื้นเมือง ก็ล้วนแต่เผยแพร่ข้อมูลรวดเร็วยิ่งนัก!
หากแต่การเผยแพร่ข้อมูลภายใน ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ กลับช้าเสียยิ่งกว่าช้า พวกมันกว่าเก้าจุดเก้าส่วนมีสติปัญญาประหนึ่งสัตว์ป่า ต่อให้เป็นผู้ที่มีสติปัญญาค่อนข้างสูง การส่งสารก็ล้วนแต่อาศัยการ ‘ถ่ายเสียง’ ทั้งสิ้น อย่าง ‘จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างสักแห่ง ก็จะไม่จากเกาะลอยคว้างไปไหนนานแสนนาน! ดังนั้นจึงติดต่อกับโลกภายนอกน้อยมาก
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะใช้กระบวนท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมกวาดล้างเผ่ามรณะทมิฬในเกาะลอยคว้างหลายแห่งแต่กลับไม่มีชื่อเสียงอันใด
แต่เขาเพิ่งจะทดลองกระบวนท่าในเผ่าชนพื้นเมืองไปเพียงเล็กน้อย! นอกจากนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ลงมือด้วยก็เป็นเพียง ‘ระดับอ๋อง’ เท่านั้น ข่าวสารกลับแพร่มาถึงจักรพรรดิเป่ยเหอเสียแล้ว!
“ประมุขแสงดาวเคยไปช่วยเหลือเขาหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้าเบาๆ “เห็นที คงจะเป็นจ้าวหิมะเหินผู้นี้นั่นแหละ”
“นี่คือรูปโฉมของจ้าวหิมะเหิน” สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรโบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีรูปร่างหน้าตาของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏขึ้น
“เขานี่แหละ”
“ถูกต้อง เขานั่นแหละ”
ผู้นำของทั้งห้าเผ่าต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย
จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้าน้อยๆ “อาจหาญใช้ได้ทีเดียว ที่มาเป็นศัตรูกับข้า แม้แต่รูปโฉมก็มิได้ปลอมแปลง! ในเมื่อพวกเจ้าห้าเผ่ามีพลังไม่เพียงพอ ก็ส่งยอดฝีมือออกไปช่วยพวกเจ้าอีกก็ใช้ได้แล้ว!”
“จักรพรรดิ พวกเราห้าเผ่ามียอดฝีมือระดับยอดสามสิบกว่าคนที่ถูกจับไปเป็นเชลย หากพวกเราโจมตีแล้วเผ่าแสงดาว บ้าคลั่งขึ้นมาล่ะก็…” คนสามตาพูดอย่างร้อนรน
“เอาล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเย็นชา นัยน์ตาก็เย็นเยียบขึ้นมา ราวกับประกายกระบี่อันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งแทงตรงเข้ามา
คนสามตาชะงัก ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาอีกต่อไป
พวกเขาติดตามจักรพรรดิเป่ยเหอมานานยิ่งนัก จึงรู้จักนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอเป็นอย่างดี
“กรำศึกทั่วสารทิศ เรื่องนี้จะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจขัดขวางข้าได้ทั้งนั้น”
เขาคือจักรพรรดิคนล่าสุดที่เพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา
แต่บัดนี้กลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใด ก็เพราะเขาโหดร้ายกับตนเองและผู้ใต้บังคับบัญชามากพอ!
เพราะถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือ ‘ยอดเคารพ’ ผู้สูงส่งเหนือใคร อันที่จริงแล้วก็ยังคงเป็นระดับจักรพรรดิ! ยอดเคารพก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิระดับขั้นครบสมบูรณ์เท่านั้น หากมี ‘ระดับจักรพรรดิ’ กลุ่มใหญ่สักกลุ่มร่วมแรงร่วมใจกัน ก็สามารถใช้กำลังโจมตียอดเคารพคนหนึ่งได้! เพราะถึงอย่างไรระดับขั้นก็มิได้แตกต่างกันมากนัก จำนวนสามารถชดเชยความแตกต่างระหว่างกันได้
อย่างเขา จักรพรรดิเป่ยเหอ เดิมทีปกครองดินแดนทางฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นการปกครองอย่างเด็ดขาด! ยอดฝีมือทางฝั่งนั้นล้วนฟังคำบัญชาการของเขาทั้งสิ้น แล้วรวมตัวกันขึ้นมาเป็น ‘แม่ทัพเทพสามสิบหกนาย’
แม่ทัพเทพสามสิบหกนาย เมื่อร่วมมือกันแล้วก็สามารถโจมตียอดเคารพคนหนึ่งได้!
ก็มีแต่เขา จักรพรรดิเป่ยเหอเท่านั้นที่ทำถึงขั้นนี้ได้
อย่างจักรพรรดิคนอื่นๆ บางคน ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาในดินแดนได้อ่อนแอยิ่งนัก เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว โลกชนพื้นเมืองแต่ละฝ่ายล้วนทำตามบัญชา แต่อันที่จริงแล้วกลับต่างคนต่างอยู่! ดังนั้นจักรพรรดิคนอื่นๆ อีกสามคนภายใต้บังคับบัญชาของ ‘ยอดเคารพเฮ่ากู่’ จึงมียอดฝีมือที่ควบคุมรวมกันแล้วสู้ยอดฝีมือภายใต้การนำของจักรพรรดิเป่ยเหอมิได้เลย
“อาศัยยอดฝีมือทั้งหลายร่วมแรงกัน ข้าจึงสามารถครองครองทรัพยากรจำนวนมากขึ้นได้ บัดนี้จัดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิทั้งสี่แล้ว!”
“เมื่อคำนวณจากเดิมพัน จึงสามารถชิงเอาดินแดนหลังจากจักรพรรดิเฉินเย่าสิ้นใจไปมาไว้ในมือได้”
“หากสามารถบัญชาการได้ทั้งหมด ขุมอำนาจภายใต้การบัญชาการของข้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก”
จักรพรรดิเป่ยเหอลอบพึมพำ
เขาไม่กลัวยอดเคารพเฮ่ากู่เลย! ต่อให้สู้กันตัวต่อตัว เขาก็แค่ตกเป็นรองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแม่ทัพเทพผู้ภักดีอีกสามสิบหกนายด้วย!
การจะบัญชาการดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น หากค่อยเป็นค่อยไป ก็จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่จักรพรรดิเป่ยเหอมิได้มีความอดทนถึงเพียงนั้น! เขาเชื่อว่าบัดนี้ตนเองมีพลังแข็งแกร่งพอ แม่ทัพเทพสามสิบหกนายที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็แกร่งกล้าพอ สามารถฝืนกรำศึกได้ ที่ตอนนี้ ‘ถ่วงเวลา’ ออกไปนั้น ก็เพื่ออาศัยการห้ำหั่นระหว่างสงครามในการเคี่ยวกรำผู้แกร่งกล้าภายใต้บังคับบัญชาเท่านั้นเอง
ในการห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตาย ผู้ที่แข็งแกร่งก็ยิ่งมีโอกาสสายเลือดตื่นรู้ และพลังยกระดับขึ้น
“จ้าวหิมะเหินหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอมิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย
ไม่ว่าใครก็มิอาจขัดขวางเส้นทางของเขาได้
เขาจะต้องสำเร็จเป็นยอดเคารพคนที่สามของเผ่าชนพื้นเมืองให้จงได้!
“ยุ่งยากเสียแล้ว” ผู้นำทั้งห้ามองสบสายตากันอย่างเงียบงัน ด้วยความรู้สึกจนใจอยู่บ้าง พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ว่าครั้งนี้จักรพรรดิเป่ยเหอมีปณิธานอันแรงกล้า ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขวางเขาได้!
“ในเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณ ต่อให้มีผู้อ่อนแอจำนวนมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเรียบ “เขมือบเมฆา ควันวายุ พวกเจ้าสองพี่น้องไปเชิญ ‘แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก’ เสีย แล้วพวกเจ้าสามแม่ทัพเทพก็ไปช่วยเหลือผู้นำทั้งห้าเก็บกวาดโลกแสงดาวเสียเถอะ! ไม่จำเป็นต้องไปเคี่ยวกรำในโลกแสงดาวอีกต่อไปแล้ว”
ผู้นำทั้งห้าได้ยินชื่อของสองแม่ทัพเทพคือเขมือบเมฆาและควันวายุ ก็ยังคงนิ่งเฉย
แต่เมื่อได้ยินชื่อของ ‘แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก’ ก็อดตกตะลึงมิได้
“แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกหรือ”
“เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิอยากจะคว้าชัยชนะอย่างหมดจดเลยทีเดียว” ผู้นำทั้งห้าตกตะลึง
……………………………..