GGS:บทที่ 1083 เสื้อคลุมขนสัตว์แสนประหลาด

ด้วยสิ่งที่ทั้งนักกีฬาทีมชาติทีมยกน้ำหนักและทีมเดินเร็วได้พบเจอต่างก็ต้องประหลาดใจอย่างมากไม่ต่างจากทีมยิงธนูไปเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่เข้าจริงๆว่ากับอีแค่ผลไม้ลูกเล็กๆ และเนื้อแห้งชิ้นน้อยๆนี้ทำไมถึงได้สร้างสิ่งที่มหัศจรรย์พันลึกได้มากมายขนนาดนี้ นี่มันไม่เป็นไปตามหลักการวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่น้อย
นี่ขนาดว่าพวกเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าของทั้งสองสิ่งนี้ไม่ได้มีอยู่บนโลกของพวกเราแล้วพวกเขาจะทำหน้าออกมาเป็นเช่นไรกัน นั่นก็เพราะของทั้งสองนี้มาจากห้วงเวลาและกาลอวกาศอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรอย่างไม่ต้องสงสัย
ผลไม้นั่นเป็นผลของพืชที่มีลำต้นลักษณะคล้ายโมกลา มันมีผลสีแดง หากโตเต็มที่ก็จะมีลักษณะคล้ายมะละกอแต่ว่าเล็กกว่ามาก
มันมีสรรพคุณในการมอบพลังที่ไม่สิ้นสุดให้แก่ผู้ที่ได้ลิ้มรสมันเข้าไป ในหนังสือนิยายอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรนั้นได้เขียนไว้เกี่ยวพืชชนิดหนึ่งที่ชื่อว่ามู่หยาน
มู่หยานนั้นมีลำต้นลักษณะคล้ายต้นโมกลา ใบของมันนั้นมีสีแดงและแข็ง ใบมีรูปทรงเป็นแฉกคล้ายกับกรงเล้บ ผลของมันถูกเรียกว่า จูมู่ และมันนั้นมอบพลังงานที่สุดแสนลึกล้ำให้กับผู้ที่ได้กินมัน
ส่วนเนื้อแห้งนั้นเองก็เป็นเนื้อของสัตว์สายพันธุ์หนึ่งที่เขาได้พบ หูของมันนั้นมีสีขาว หน้าตาของมันราวกับชะนีเลยก็ว่าได้
ตอนแรกที่ซูจิ้งได้เห็นเองนั้นเขาก็นึกว่าเข้าใจผิดไปเหมือนกัน แต่ในที่สุดเขาก็มั่นใจว่ามันคือสัตว์ที่มีชื่อว่าควน หากใครก็ตามที่ได้กินเนื้อของมันเข้าไปจะทำให้เดินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

แน่นอนว่าผลของมันนั้นส่งผลต่อการวิ่งด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ เนื้อแห้งที่เขาส่งให้ทีมเดินวิ่งเองก็ไม่ไดจำกัดการเดินวิ่งเท่านั้น มันสามารถช่วยนักกีฬาได้ในทึกประเภทที่ต้องใช้ความเร็ว
ในนิยายอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรได้เขียนไว้ว่ามีสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับลิงที่มีหูสีขาว ผู้คนที่พบเห็นต่างก็จะล่ามัน ชื่อของมันนั้นคือกุยโดยเมื่อกินมันเข้าไปแล้วทำให้ผู้คนเดินได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้สมควรจะเป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น แต่ในตอนนี้พวกมันถูกส่งมายังโลกนี้พร้อมกับขยะห้วงเวลาฯอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทร
ด้วยการที่ห้วงเวลาฯแห่งนั้นสมควรที่จะเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสิ่งวิเศษสุดแสนจะอัศจรรย์พันลึก ถึงแม้ว่าสรรพคุณของมันจะโดดเด่นเพียงด้านเดียวแต่ก็ถือว่าเหนือล้ำกว่าข้าวสีน้ำเงินไปแล้ว
การที่ซูจิ้งสนับสนุนทั้งข้าวสีน้ำเงิน ธนูเวทย์มนต์ ผลมู่หยาน และเนื้อกุ่ยแห้งไปนี่ เขาเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ นักกีฬาทีมชาติเหล่านี้จะมีอนาคตได้ไม่สิ้นสุด และต้องสร้างชื่อเสียงให้กับนักกีฬาทีมชาติจีนได้อย่างมากมายพร้อมทั้งค่าการใช้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน

ซูจิ้งในตอนนี้เองไม่ได้สนใจสิ่งใดๆในโลกหล้าเหมือนเช่นเดิม เขายังคงจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป
ในช่วงสองวันมานี้ เขานั้นได้พบเจอกับทองนิดหน่อยและหินหยกดิบจากขยะห้วงเวลาฯอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรกองนี้
ด้วยการที่ห้วงเวลาฯอภินิหารเหนือภูผาใต้สมุทรนั้นเป็นห้วงเวลาที่กว้างใหญ่ ผู้คนและทรัพยากรที่มากมายหลากหลายจึงทำให้ของเหล่านี้ในห้วงเวลานั้นไม่ได้มีค่าแต่อย่างใด
สำหรับบนโลกใบนี้ หากมีใครสักคนไปขุดเจอบ่อน้ำมันเข้า คนๆนั้นถึงจะกลายเป็นคนที่รวยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จนทำให้หัวเราะไม่หยุดจนคิดว่าตัวเองฝันไปก็มี
การพบเจอทองและหยกดิบนี้เมื่อเทียบเงินทองที่ได้รับแล้วก็คงถือได้ว่าเล็กน้อยมากๆ แต่ต่อให้มันจะเล็กเท่ากับยุงยังไงก็ตาม แต่สำหรับซูจิ้งแล้ว ได้อะไรไปบ้างก็ดีกว่าไม่มีอย่างแน่นอน

ซูจิ้งยังคงค้นหาต่อไป จนในที่สุดเขาก็ได้พบของน่าสนใจเข้า เข้าพบเสื้อคลุมหนังสัตว์สีน้ำตาลเทาที่มีลวดลายตัวหนึ่ง
มันดูรุ่งริ่งและเต็มไปด้วยดินโคลนและใบไม้ที่หล่นลงมาทับถม ถ้าให้พูดตรงๆคือมันดูโสมมแบบสุด ราวกับว่าเป็นเสื้อคลุมขอทานเลยทีเดียว
ตอนที่ซูจิ้งเห็นมาคราแรกนั้น เขาเองก็เกือบที่จะโยนมันทิ้งเหมือนกัน เพราะด้วยสภาพของมันแล้วไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่น่าจะใช้อะไรได้เลยแม้แต่น้อย
แต่เพียงชั่วพริบตาอยู่ๆความคิดของซูจิ้งก็เปลี่ยนไป เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมเสื้อคลุมนี้ดูก่อน นั่นก็เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขานั้นทำให้รู้สึกได้เลยว่าสิ่งของยิ่งได้ไม่สำคัญมากเท่าไหร่ สิ่งนั้นคือของที่เคยสุดยอดมาก่อนหน้านี้ ต่อให้เข้าใจผิดก็ยังดีกว่าคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นลูกศรรีเควี่ยมก่อนหน้านี้ที่เป็นความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของซูจิ้งนับแต่เขาเป็นเจ้าของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาแห่งนี้มา
ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องส่งขยะห้วงเวลาฯไปทิ้งข้างนอกจึงไม่ต้องกังวลเรื่องแบบนั้นแล้ว แต่เขานั้นก็ไม่อยากที่จะพลาดของดีๆไปแม้แต่ชื้นเดียว
ไม่นานนัก เสื้อคุมตัวนี้ก็ถูกเสี่ยวไป๋ซ่อมจนเสร็จ แต่ตอนนี้สภาพของมันก็ยงดูมอมแมมเหมือนเดิม ซูจิ้งจึงได้ปล่อยกระแสจิตของตัวเองเพื่อปัดเป่าสิ่งสกปรกออกไปจนหมด จนในที่สุดเขาก็ได้เห็นมันในสภาพที่สมบูรณ์สักที

ในตอนแรกที่เห็นเขาเองก็รู้สึกประหลาดเหมือนกัน ส่วนที่เป็นขนสัตว์ของเสื้อคุลมนี้ไม่ได้ยาวแบบเสื้อคลุมทั่วไปที่เขาเคยเห็น มันยาวมากจนเกือบจะหนึ่งเมตรเห็นจะได้ มันดูแปลกตาและทำให้เขารู้สึกสนใจมากพอดู
“นี่มันขนของสัตว์อะไรกัน ดูมันไม่เหมือนกับสัตว์ที่อยู่บนโลกนี้เลย” เมื่อซูจิ้งคิดได้ดั่งนั้นเขาจึงนำเอาเสื้อคลุมขนสัตว์นี้ไปทำความสะอาดด้วยน้ำดูอีกทีหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้วเขาคิดว่าจะทำการศึกษามันเพิ่มเติมอีกที
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างทำการซัก ซูจิ้งพบว่าส่วนที่เป็นขนสัตว์นี้หดตัวลงเร็วมาก มากจนเรียกได้ว่าแม้แต่เสื้อขนสัตว์ที่อยู่บนโลกนั้นก็ยังไม่หดเท่าได้ขนาดนี้อย่างแน่นอน
หลังจากใช้เวลาซักพัก ส่วนขนสัตว์ก็ยังหดลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในตอนนี้ขนสัตว์นี้ได้หดลดลงเหลือเป็นขดเล็กๆเพียงเท่านั้น
“…..นี่มันขนอะไรกันทำไมถึงได้หดลงขนาดนี้เนี่ย” ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะเป็นขยะจากห้วงเวลาฯ อภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรก็ตาม แต่ยังไงซะในตอนแรกเขาคิดเพียงว่าตัวเสื้อคลุมเท่านั้นที่พิเศษ แต่ขนสัตว์เพียงมาจากสัตว์ธรรมดาที่ใช้ตกแต่งเท่านั้น แต่ทำไมขนสัตว์นี่เวลาโดนน้ำน้ำถึงได้หดตัวได้ขนาดนี้กัน
ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้สนใจที่จะซักตัวขนของเสื้อคลุมอีกต่อไป เขาทำเพียงใช้น้ำลูบขจัดคราบสกปรกที่เกาะแน่นเกินกว่าที่เขาจะใช้พลังจิตของตนปัดไม่ออก
แต่คราบสกปรกที่เกาะติดอยู่บนเสื้อคลุมนี้เองแม้แต่น้ำก็ยังล้างไม่ออก จนซูจิ้งรู้สึกได้ว่าหากเขายังฝืนที่จะเอาคราบพวกนี้ออกต่อไปล่ะก็ เสื้อคลุมน่าจะต้องเสียอีกอย่างแน่นอน
“….ไว้รอมันแห้งแล้วค่อยเอาไปซักแห้งก็แล้วกัน” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาจึงหาจุดเหมาะก่อนที่จะสร้างกองไฟขึ้นมาแล้ววางเสื้อคลุมนี้ผึ่งเอาไว้ข้างๆ โดยความคิดอีกไม่นานก็คงจะแห้ง โดยหลังจากผึ่งไปได้พักใหญ่ปรากฎว่าส่วนขนสัตว์ก็กลับออกมามีขนาดยาวมากขึ้นเรื่อย
ในตอนนี้ซูจิ้งถึงกับสะดุ้งเฮือกในทันทีที่เห็น ดูเหมือนว่าความคิดของที่ว่าจะลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมหลังล้างเสร็จนั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป

ตอนนี้เขาเลยคิดว่าจะปล่อยไว้อย่างนี้ก่อนและคิดจะกลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อนั้น ไม่นานเมื่อเขาหันหลังจากไป เขาเองก็เริ่มรู้สึกถึงการไหม้ของอะไรบ้างอย่างจึงได้รีบหันกลับมาดู ในตอนนั้นเขาก็เห็นว่าเสื้อคลุมตัวนี้ได้ไหม้ไฟเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ซูจิ้งตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีในทันที เขารีบพุ่งเข้าไปยังเสื้อคลุมที่กำลังลุกโชนอยู่ในตอนนี้ พร้อมทั้งปล่อยภูตไฟทั้ง108ตนของเขาออกมาช่วยกันควบคุมเพลิงที่ลุกไหม้ แล้วทำการปัดไฟทั้งหมดที่ลุกขึ้นบนเสื้อออกไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ซูจิ้งถึงกับงงหนักยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะเมื่อครู่นี้ตอนที่เขาเห็นเสื้อคลุมนี้ตอนที่เดินห่างไปนั้น มันได้ถูกไฟลุกคลุมไปทั่วแล้ว เขาจึงรีบพุ่งเข้ามาโดยไม่คิดอะไรในตอนนั้น
แต่เมื่อเขาได้จัดการไฟไปจึงได้มีเวลาไตร่ตรองขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ การลุกไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เองก็สมควรจะไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ทั้งความรวดเร็วที่เกิดไฟไหม้ ไหนจะก่อนหน้านี้ที่เสื้อยังเปียกโชกอยู่นั้นมันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ใช้น้ำในการล้างเสื้อคลุมมากก่อนแต่เป็นใช้น้ำมันในการล้างเสื้อคลุมตัวนี้แล้วเผลอเอามาวางไว้ใกล้กองไฟเลยทีเดียว

เมื่อคิดได้ดังนั้นซูจิ้งจึงได้สำรวจเสื้อคลุมดูอีกครั้งเพื่อดูว่ามีรอยไหม้ตรงไหนบ้างรึเปล่า เขาเองก็ได้เรียกเสี่ยวไป๋มาเพื่อที่จะให้เตรียมซ่อมเสื้อคลุมให้เขาเรียบร้อยแล้ว
แต่ยังไม่ทันที่เสี่ยวไป๋จะมาถึงดี เขาเองก็ต้องรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะว่าจากที่เขามองดูแล้วกลับพบว่าเสื้อคลุมตัวนี้ไม่ได้มีรอยไหม้เกิดขึ้นแต่อย่างใด แม้แต่เส้นขนที่ติดเอาไว้ก็ไม่มีหายไปเลยสักเส้น
พบเพียงแต่ว่าความเปียกชื้นจากที่เขาได้ใช้น้ำล้างไปก่อนหน้านี้กลับหายไปหมดแล้ว แม้แต่ที่ปลายขนเองก็ไม่มีร่องรอยการเปียกเลยแม้แต่น้อย
หนำซ้ำตอนนี้เสื้อคลุมยังกลับดูใหม่เอี่ยมอ่องราวกับพึ่งจะตัดเสร็จมาหมาดๆยังไงไม่รู้
“เป็นไปได้ยังไงกัน…” หากว่าซูจิ้งไม่ได้โง่งมจนเกินไปล่ะก็เขาต้องรู้สึกได้แล้วว่าเสื้อคลุมนี้ไม่ใช่เสื้อคลุมธรรมดาอย่างแน่นอน หากเป็นเสื้อคลุมธรรมดาล่ะก็จะสามารถผ่านความร้อนระดับนั้นมาได้โดยไร้ร่องรอยได้ยังไงกัน
“อย่าบอกนะว่า…” ซูจิ้งในตอนนี้ได้นิ่งคิดอะไรชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะลองใช้ไฟที่สร้างจากมือของตัวเองไปลนยังขนสัตว์ที่ห้อยออกมา

ผลก็คือขนสัตว์นั้นลุกโชนแทบจะทั้งหมดทันที แต่ถึงมันจะมีไฟที่ลุกโชนขนาดนั้นแต่ตัวเส้นนั้นกลับไม่ไหม้เลยแม้แต่น้อย
กลับกันมันยิ่งดูเงางาม ลื่นฟูมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก ร่องรอยสกปรกต่างๆเองก็หายไปด้วยการเผาไหม้นี้อย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเผาได้แม้แต่คราบสกปรกเลยก็ว่าได้ มันลุกไหม้จนในตอนนี้ขนของมันทั้งหมดกลายเป็นสะอาดสะอ้าน ไร้ร่องรอยความสกปรกและเงางามประดุจของใหม่เลยทีเดียว
“เสื้อคลุมขนสัตว์นี่ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก” ซูจิ้งในตอนนี้เริ่มรู้สึกผิดจริงๆที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้น้ำในการล้างเสื้อคลุมตัวนี้
ตอนนี้เขาได้จดจำไว้ในใจเลยทีเดียวว่าหากเสื้อคลุมตัวนี้เลอะเมื่อไหร่ อย่าได้ใช้น้ำในการซักล้าง แค่เผามันก็พอ
ซูจิ้งในตอนนี้ได้ใส่เสื้อคลุมในทันทีและในคราวนี้เขาได้ลองเข้าไปใกล้กองไฟในขณะสวมเสื้อคลุมตัวนี้ดูบ้าง เมื่อเสื้อคลุมตัวนี้ลุกไหม้ เขาไม่ได้ใช้การควบคุมไฟเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนเผาไหม้แต่อย่างใด
เขาเพียงเดินผ่านกองไฟโดยไม่รู้สึกถึงความร้อนที่เกิดจากกองไฟเลยแม้แต่น้อย และตัวเขาเองก็ไม่ได้รับผลกระทบจนเกิดรอยไหม้เลยสักนิด
นี่เองก็เป็นไปตามที่ซูจิ้งได้คาดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าเสื้อคลุมนี้มีคุณสมบัติที่ทำให้ผู้สวมใส่นั้นต้านทานไฟได้อย่างแน่นอน และตอนนี้เขาก็พอจะนึกออกแล้วว่าขนสัตว์นี้เป็นของสัตว์อะไรกันแน่