บทที่ 676 ต้นเพลิงสวรรค์โหมกระพือ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ณ ลานด้านหน้าตำหนักฟีนิกซ์ในตอนนี้ กลุ่มผู้คนของภูเขาฟีนิกซ์กำลังมองไปที่หลิงไช่หยุนด้วยสีหน้าจนใจ

ในเวลานี้พวกเขาทุกคนต่างรู้แล้วว่า หลิงไช่หยุน คือผู้ที่เป็นเผ่าพันธ์เดียวกับพวกเขาแถมยังมีสายเลือดที่สูงส่งและที่สำคัญไปกว่านั้น นางคือลูกสาวของนายเหนือหัวผู้เหี้ยมโหด ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแน่นอนที่พวกเขาจะไม่กล้าล่วงเกินอะไรนาง

แต่ว่าการกระทำของหลิงไช่หยุนในตอนนี้มันทำให้พวกเขาปวดหัวจนไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี

“พวกเจ้ามองอะไรกัน?” หลิงไช่หยุนหงุดหงิด “ข้าจะเข้าไปข้างในเพื่อไปนอน พวกเจ้าทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ห้ามข้า!”

หวงอู่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “องค์หญิงน้อย แต่นั่นมันคือพื้นที่แกนหลักของต้นเพลิงสวรรค์ ซึ่งพลังเพลิงในบริเวณนั้นมันรุนแรงเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะสามารถเข้าไปใกล้ได้ และที่สำคัญสถานที่นั้นมันเอาไว้สำหรับให้นายเหนือหัวเข้าไปเท่านั้น…”

หลิงไช่หยุนพ่นลมออกจมูก “ก็ท่านพ่อของข้าบอกพวกเจ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอไงว่าเขาให้ข้าเป็นนายเหนือหัวของพวกเจ้า เพราะฉะนั้นมันผิดตรงไหนที่ข้าจะเข้าไป? และอีกอย่าง พ่อของข้าก็เคยเป็นนายเหนือหัวของพวกเจ้า ดังนั้นต่อให้พวกเจ้าจะยังไม่ยอมรับข้าเป็นนายเหนือหัว ข้าก็ไม่ผิดอยู่ดีที่ข้าจะเข้าไปนอนอยู่ในสถานที่ของพ่อข้าจริงไหม?”

หลิงไช่หยุนสัมผัสได้ว่าหากนางเข้าไปนอนในต้นเพลิงสวรรค์มันจะทำให้นางสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของนางได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และนางก็รู้สึกว่าภูเขาฟีนิกซ์ทั้งหมดนั้นเป็นของนาง ดังนั้นการที่นางจะเข้าไปนอนมันจะผิดอะไร?

เฟิงปิงรีบพูดเสริมขึ้น “องค์หญิงน้อย มันไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ให้ท่านเข้าไปและมันก็ไม่ผิดอะไรด้วยที่ท่านจะเข้าไป แต่เหตุผลที่พวกเราห้ามท่านก็เพราะพวกเราเป็นกังวลในความปลอดภัยของท่าน อย่างน้อย ๆ ท่านก็ช่วยรอให้องค์เหนือหัวและองค์หญิงกลับมาก่อนเพื่อให้พวกเขาตัดสินใจอีกทีเถอะ”

หลิงไช่หยุนตะคอกกลับทันที “พ่อของข้ากับองค์หญิงของพวกเจ้า หายไปด้วยกันตั้ง 3 ปีแล้ว! จากที่ข้าดูแล้วพวกเขาน่าจะไปเที่ยวเล่นกันอีกหลายปีกว่าจะกลับมา แล้วแบบนี้เจ้ายังจะบอกให้ข้ารออีกงั้นเหรอ? ไม่! ข้าจะไม่ทนรออะไรอีกแล้ว ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้นี่แหละ!”

นางรู้สึกว่านางโดนหวงซีแย่งความรักของพ่อนางไป เนื่องจากพ่อของนางหายไปกับหวงซีตั้งนมนานแล้วโดยที่ไม่กลับมาเยี่ยมเยียนนางบ้างเลย สิ่งนี้มันทำให้นางรู้สึกหงุดหงิด!

และอีกเหตุผลสำคัญที่นางดื้อดึงแบบนี้ก็คือ นางรู้สึกได้ว่าต้นเพลิงสวรรค์นี้มีความสำคัญต่อนางมาก โดยเฉพาะตอนที่นางเห็นหวงเซียะที่นี่ และรู้ว่าในเวลานี้หวงเซียะ กำลังจะทะลวงระดับไปอยู่ระดับหลุดพ้นสามัญแล้ว ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่านางจะน้อยหน้าไม่ได้

นางต้องการที่จะอยู่เหนือกว่าหวงเซียะมาโดยตลอด แต่ในเมื่อพวกนางมีช่องว่างที่กว้างมากขนาดนี้ นางจะไปตามทันได้ยังไง?

หวงอู่ฝืนยิ้มและพูดว่า “องค์หญิงน้อยโปรดรออีกสักหน่อยเถอะ”

มันไม่ใช่ว่าหวงอู่ไม่เคยไปขอร้องจ้าวเหมิงลู่ให้มาช่วยโน้มน้าวหลิงไช่หยุน

นางได้ลองพยายามทำแบบนั้นแล้ว แต่จ้าวเหมิงลู่กลับไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งมันทำให้นางและเหล่าผู้คนของภูเขาฟีนิกซ์ต่างจนปัญญาที่จะรับมือกับหลิงไช่หยุน

อันที่จริงมันไม่ใช่ว่าจ้าวเหมิงลู่และคนอื่น ๆ ไม่สนใจ แต่พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาเองก็บังคับหลิงไช่หยุนไม่ได้เหมือนกัน

เมื่อเห็นว่าในครั้งนี้หลิงไช่หยุนดึงดันหนักแน่นว่าจะเข้าไปในต้นเพลิงสวรรค์ให้ได้ ดังนั้นบรรดาบรรพบุรุษของภูเขาฟีนิกซ์ทั้งหลายต่างก็จนใจส่งจิตสำนึกของตัวเองไปรวมตัวกันเพื่อประชุมกันอย่างรีบเร่ง ซึ่งผลสุดท้ายพวกเขาต่างก็ไม่มีทางเลือกต้องยอมให้หลิงไช่หยุนเข้าไปในต้นเพลิงสวรรค์ตามที่นางดึงดัน

แน่นอนว่าพวกเขาเองก็มีแผนสำรองรอไว้ก็คือ พวกเขาจะส่งให้หวงอู่เดินเข้าไปด้วยเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของหลิงไช่หยุน ซึ่งถ้าหากเห็นว่านางมีปัญหาอะไรเมื่อไหร่ นางจะถูกพาตัวออกมาทันที

นี่เป็นการตัดสินใจของหลิงไช่หยุนเอง นายเหนือหัวผู้โหดเหี้ยมของพวกเขาคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?

จากนั้นเมื่อหลิงไช่หยุนได้เดินเข้าไปในโพรงของต้นเพลิงสวรรค์ นางก็หาวขึ้นมาทันทีด้วยสีหน้าผ่อนคลายและมีความสุข

ถัดมาสิ่งที่นางทำต่อไปก็คือนางเลือกหามุมที่เหมาะ ๆ ในโพรงต้นเพลิงสวรรค์และนั่งลงฝึกฝนพลังเพลิงศักดิ์สิทธิ์

ในทันทีที่หลิงไช่หยุนเริ่มโคจรพลังเพลิงของนางเอง เปลวเพลิงสีแดงฉานก็ลุกท่วมร่างของนาง จากนั้นเพลิงมันก็ค่อย ๆ ลุกลามไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้เปลวเพลิงอันแผ่วเบาที่ปกคลุมต้นเพลิงสวรรค์อยู่จู่ ๆ ก็ลุกโหมกระพืออย่างรุนแรงมากจนเปลวเพลิงมันโหมพุ่งขึ้นไปสูงเสียดฟ้า และทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้มและจากนั้นไม่นานมวลพลังธาตุอัคคีที่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาเขตฟีนิกซ์ก็หนาแน่นขึ้นกว่าเดิมนับ 10 เท่า!

บรรดาผู้คนที่อยู่ในอาณาเขตฟีนิกซ์ทั้งหมดต่างมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่แดงฉานราวกับเปลวเพลิง ในใจของพวกเขาตอนนี้ไม่มีความหวาดกลัวต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้พวกเขามีความรู้สึกเพียงอย่างเดียวคือความตื่นเต้นและดีใจจนอยากจะร้องไห้!

นี่มันกี่ปี่แล้วที่ต้นเพลิงสวรรค์ไม่ถูกจุดขึ้นแบบนี้?

การที่จะจุดต้นเพลิงสวรรค์ได้แบบนี้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีสายเลือดฟีนิกซ์ที่สูงส่งจริง ๆ หรือต้องมีพลังเพลิงที่แข็งแกร่งเหนือบรรยายจึงจะสามารถทำได้

ในตอนนี้เมื่อต้นเพลิงสวรรค์ถูกจุดขึ้นแบบนี้ ทุกคนที่เป็นสมาชิกเผ่าฟีนิกซ์ที่อยู่ในอาณาเขตฟีนิกซ์ล้วนจะได้รับผลประโยชน์อย่างมากมายจากมวลพลังธาตุอัคคีที่หนาแน่นขึ้น

ในเวลาเดียวกันทุกคนที่อยู่บริเวณลานหน้าตำหนักฟีนิกซ์ต่างก็มองไปที่หลิงไช่หยุนด้วยสายตาชื่นชมและเคารพ

พวกเขาหลายคนต่างรีบแยกย้ายกันไปบ่มเพาะทันที ส่วนทางด้านของหลิงไช่หยุน หลังจากที่นางโคจรพลังเพลิงของนางไปได้สักพัก นางก็ล้มตัวลงนอนไปกับพื้นด้วยสีหน้าเป็นสุข

แต่ถึงแม้ว่านางจะนอนหลับลงไปแล้ว ต้นเพลิงสวรรค์ก็ยังส่งเพลิงเข้าไปขัดเกลาพลังเพลิงในร่างของหลิงไช่หยุนอย่างไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้นางแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ ซึ่งอันที่จริงการฝึกของเหล่าฟีนิกซ์ที่แท้จริงนั้นมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว การนอนนั้นไม่ต่างอะไรกับการฝึกไปในตัว

เมื่อหวงอู่เห็นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจและถอยออกมาจากโพรงของต้นเพลิงสวรรค์เพราะนางเองก็ต้องการใช้โอกาสนี้ในการบ่มเพาะเช่นกัน ส่วนเรื่องความปลอดภัยของหลิงไช่หยุนนั้นนางไม่กังวลอีกแล้ว เนื่องจากเพลิงนี้หลิงไช่หยุนเป็นคนจุดมันขึ้นมาเอง ดังนั้นนางจะมีอันตรายเพราะมันได้ยังไง?

หลิงตู้ฉิงและหวงซีต่างมองขึ้นไปบนฟ้าเช่นกันและพูดว่า “ต้นเพลิงสวรรค์ถูกจุดขึ้นแล้ว!”

หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างจนใจและพูดว่า “ต้องเป็นไช่หยุนแน่นอนที่จุดมัน มีเพียงแค่เพลิงจากสายเลือดฟินิกซ์เพลิงสวรรค์เท่านั้นที่จุดเพลิงของต้นเพลิงสวรรค์ให้ติดได้ง่ายขนาดนี้ เอาล่ะ ข้าคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องกลับไป”

ในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา พวกเขาทั้งคู่เอาแต่พลอดรักกันจนในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงได้พัฒนามาอยู่ที่ขอบเขตนภาระดับ 3 เรียบร้อย

เนื่องจากหวงซีคือความรู้สึกสุดท้ายที่เขาเคยมีในชีวิตที่แล้ว ดังนั้นเมื่อชีวิตนี้ของเขาได้พบกับนางอีก ผลประโยชน์ที่เขาได้รับมันจึงมหาศาลเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ระดับการบ่มเพาะของเขาทะลวงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

หวงซียิ้มและพูดว่า “อยู่กับข้าต่ออีกสักวันสองวันเถอะ! ข้ารู้ว่าหลังจากที่เรากลับไป จากนั้นไม่นานท่านก็คงต้องออกจากภูเขาฟีนิกซ์เพื่อไปทำธุระส่วนตัวของท่าน และข้าคงไม่ได้เห็นหน้าท่านไปอีกพักใหญ่”

หวงซีรู้ว่าหลังจากกลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์ มันก็คงอีกไม่นานที่หลิงตู้ฉิงจะจากไปทำธุระของเขาเอง ซึ่งในตอนนี้นางยังคงตามเขาไปไม่ได้เพราะมันมีหลายเรื่องที่ยังรอให้นางต้องไปจัดการ ตัวอย่างเช่นเรื่องที่นางต้องช่วยหลิงไช่หยุนในการควบคุมดูแลภูเขาฟีนิกซ์และไหนจะเรื่องที่นางก็ต้องเก็บตัวบ่มเพาะ เพราะในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของนางได้ลดลงมาเหลือระดับสวรรค์สมบูรณ์ และเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกเรื่องก็คือนางจำเป็นต้องทำให้ภูเขาฟีนิกซ์พร้อมสำหรับทำสงครามทุกเมื่อนับจากนี้

ในเมื่อยุคนี้หลิงตู้ฉิงได้กลับมาแล้ว ดังนั้นมันคงไม่พ้นที่ในอนาคตจะต้องมีสงครามใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งภูเขาฟีนิกซ์ของนางก็ต้องร่วมด้วยเป็นธรรมดา

ดังนั้นในเมื่อนางรู้ว่าอีกไม่นานก็จะจากกันอีกแล้ว นางจึงอยากใช้เวลากับคนที่นางรักเพิ่มเติมอีกสักหน่อยถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าหลิงตู้ฉิงยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ แต่ถ้าหากนางได้อยู่กับเขาเพิ่มอีกสักวันสองวันมันก็ยังดี

หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจนใจ “เอาแบบนั้นก็ได้ งั้นข้าจะอยู่กับเจ้าต่ออีกสัก 2-3 วัน จากนั้นพวกเราจะกลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์ทันทีตกลงไหม?”