บทที่ 479.1 เสียงนกกระทากลางภูเขา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในอดีตกลุ่มภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกไร้เงาผู้คน มีเพียงคนตัดฟืนที่จะมาเผาถ่านและช่างปั้นที่มาขุดดินเท่านั้นที่เข้าออกที่แห่งนี้ ตอนนี้จวนตระกูลเซียนแต่ละแห่งกลับยึดครองภูเขา และยิ่งมีท่าเรือตระกูลเซียนอย่างภูเขาหนิวเจี่ยวอยู่ เฉินผิงอันจึงเห็นเด็กในพื้นที่ของเมืองเล็กพากันถือถ้วยข้าวมานั่งยองอยู่บนกำแพง แหงนหน้ารอดูเรือข้ามฟากบินผ่านไปไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว ทุกครั้งที่พบเห็นเรือข้ามฟากโดยบังเอิญ พวกเขาจะต้องหวีดร้องเสียงดัง ลิงโลดอย่างถึงที่สุด

บนเส้นทางภูเขาที่ย้อนกลับภูเขาลั่วพั่วในครั้งนี้ เฉินผิงอันกับเผยเฉียนได้เจอกับขบวนรถของเซียนซือกลุ่มหนึ่งที่จะไปเยือนยอดเขาอีไต้

การที่มาสร้างถ้ำสถิตลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ มีข้อหนึ่งที่ไม่ดี นั่นก็คือหร่วนฉงตั้งกฎไว้ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนคนใดทะยานลมเดินทางไกลอย่างกำเริบเสิบสาน แต่เมื่อเวลาผันผ่านไป หลังจากที่หร่วนฉงก่อตั้งสำนักกระบี่หลงเฉวียน ไม่ได้เป็นเพียงแค่อริยะที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่อีกต่อไป แต่เริ่มแตกกิ่งก้านสาขา ต้องมีการไปมาหาสู่กับเจ้าสำนักของสำนักต่างๆ จึงเริ่มมีการคลายกฎเล็กน้อย เขาให้ลูกศิษย์ที่เป็นเซียนดินโอสถทองอย่างต่งกู่รับผิดชอบเลือกเส้นทางในการทะยานลมสองสามเส้น จากนั้นก็ต้องมาขอป้ายห้อยเอวที่เป็น ‘ป้ายผ่านด่าน’ ลักษณะเป็นกระบี่เหล็กขนาดจิ๋วจากสำนักกระบี่หลงเฉวียน จึงจะสามารถเข้าออกจากพื้นที่มงคลหลีจูได้อย่างเสรีกว่าเดิมเล็กน้อย เพียงแต่ว่ากองกำลังตระกูลเซียนหลายสิบกลุ่มที่ยังอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนจนถึงทุกวันนี้ คนที่ได้ครอบครองกระบี่เหล็กเล่มเล็กนั้นก็ยังมีน้อยนิดเพียงหยิบมือเดียว ไม่ใช่ว่าสำนักกระบี่หลงเฉวียนตาสูงมองไม่เห็นหัวใคร แต่คนที่หลอมกระบี่ไม่ใช่หร่วนฉง แล้วก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งหลายของเขา แต่เป็นหร่วนซิ่วบุตรีโทนของเขา ความเร็วในการหลอมกระบี่ออกจากเตาของแม่นางหร่วนซิ่วผู้นั้นช้ามาก อืดอาดอย่างถึงที่สุด ปีหนึ่งถึงจะหลอมออกมาได้หนึ่งเล่ม เพียงแต่ว่าใครเล่าจะกล้าไปเร่งรัดนาง? ต่อให้หน้าหนาพอ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีความกล้ามากพอ ตอนนี้บนภูเขามีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่มา บอกว่าเมื่อหลายปีก่อนหน่วยจานกานของต้าหลีที่หลางจงกองบวงสรวงแห่งกรมพิธีการต้าหลีเป็นผู้นำกลุ่มได้เดินทางลงใต้ไป ‘ใช้เหตุผล’ ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน แม่นางซิ่วซิ่วก็แทบจะอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวสยบทุกอย่างให้ราบคาบ

ตอนนั้นสำนักตระกูลเซียนที่ควักเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเลือกสถานที่ตั้งเป็นยอดเขาอีไต้มีศาลบรรพจารย์ของสำนักตั้งอยู่ในแคว้นเมิ่งเหลียงอันเป็นที่ตั้งของภูเขาเมฆาเรือง ถือว่าอยู่ลำดับล่างของกองกำลังลำดับสองบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นสถานการณ์ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีไม่ใคร่จะดี ใช่ว่าสำนักแห่งนี้ไม่อยากย้ายออก แต่เป็นเพราะตัดใจทิ้งเงินเทพเซียนที่ใช้บุกเบิกจวนก้อนนั้นไม่ลงจริงๆ ไม่อยากให้มันละลายหายไปกับสายน้ำทั้งอย่างนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่บรรพจารย์ท่านหนึ่งของศาลบรรพจารย์ที่เป็นเซียนดินโอสถทองซึ่งเหลือเพียงหนึ่งเดียวบนภูเขา ตอนนี้ก็ได้มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนยอดเขาอีไต้ ข้างกายมีเพียงแค่ศิษย์ลูกศิษย์หลานสิบกว่าคน รวมไปถึงบ่าวรับใช้บางส่วน ผู้ฝึกตนเฒ่าคนนี้ไม่ปรองดองกับเจ้าขุนเขา ทางสำนักทำเช่นนี้ เดิมทีก็เพราะคิดอยากจะส่งบรรพจารย์ที่นิสัยดึงดันถือทิฐิท่านนี้ให้ออกไปจากสำนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาคอยไปวางมาดอยู่ในศาลบรรพจารย์ เป่าหนวดถลึงตา ทำเอาเหล่าเด็กรุ่นหลังของสำนักไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เฉินผิงอันเดินอย่างไม่รีบร้อน ทว่าฝีเท้าของขบวนรถม้ากลับไม่ช้า เขาจึงพาเผยเฉียนหลีกทางให้ คิดไม่ถึงว่าขบวนรถจะหยุดตามไปด้วย

ขบวนรถมีรถม้าสองคัน มีคนยี่สิบกว่าคน ผู้ที่เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของยอดเขาอีไต้มีแค่สามคนเท่านั้น ที่เหลือล้วนเป็นนักการและข้ารับใช้ของบนยอดเขา

มีผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งและผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามสองคนแยกกันเดินลงมาจากรถม้า สตรีคนหนึ่งในนั้นกอดลูกจิ้งจอกขาวที่ขดตัวอย่างเกียจคร้านไว้ในอ้อมอก

ผู้ฝึกตนหนุ่มคือหนึ่งในผู้สืบทอดของบรรพจารย์แห่งยอดเขาอีไต้ เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เป็นฝ่ายทักทายก่อนด้วยรอยยิ้ม “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าคือซ่งหยวนแห่งยอดเขาอีไต้ ก่อนหน้านี้อาจารย์พาข้าไปเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ข้ายืนค่อนไปทางด้านหลัง บางทีเจ้าขุนเขาเฉินอาจจำไม่ได้”

คำพูดประโยคนี้กล่าวได้อย่างลื่นไหลน่าฟัง ไม่ชวนให้คนดูแคลนแม้แต่น้อย

อันที่จริงเฉินผิงอันจำซ่งหยวนได้ เดิมทีเขาก็ความจำดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่คนประเภทที่จมูกเชิดขึ้นฟ้า ขนาดชุ่ยอิ๋งแห่งหอชิงฝูของปีนั้นยังจำได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนดินโอสถทองที่ได้อยู่บนยอดเขาข้างเคียงเลย ในความเป็นจริงแล้ววันนั้นที่เซียนดินยอดเขาอีไต้มาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว ซ่งหยวนไม่เพียงแต่ไม่ได้ยืนอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง กลับกันคือศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงของเขาต่างหากที่ยืนอยู่ด้านหลัง ส่วนซ่งหยวนนั้นยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ของเขาด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย จึงได้รับความรักและเอ็นดูมากสุด ขนาดฮ่องเต้ยังรักบุตรชายคนเล็ก ก็คือหลักการเดียวกันนี้

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน ยิ้มถามว่า “เซียนซือเสี่ยวซ่งเพิ่งกลับมาจากด้านนอกหรือ?”

ซ่งหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บนยอดเขาอี้ไต้ก็มีอาจารย์อาที่แซ่ซ่งเหมือนกัน ดังนั้นการที่เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วท่านนี้เรียกเขาว่าเซียนซือเสี่ยวซ่ง (เสี่ยวแปลว่าน้อย เล็ก เซี่ยวซ่งก็คือซ่งน้อย/ซ่งเล็ก) ตั้งแต่คำแรกที่เปิดปาก ก็ถือว่ามีความพิถีพิถันและชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง

ซ่งหยวนพยักหน้ารับ “ข้ากับศิษย์น้องหลิวเพิ่งกลับมาจากการร่วมงานพิธีที่ภูเขาเมฆาเรือง ตอนนั้นก็มีสหายคนหนึ่งที่เข้าร่วมงานพิธีเหมือนกัน ได้ยินมาว่าพื้นที่มงคลหลีจูของพวกเราคือสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมดีซึ่งปลูกฝังให้เกิดอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากของทวีป จึงอยากจะมาเที่ยวชมเขตการปกครองหลงเฉวียนของพวกเรา ก็เลยกลับมาพร้อมข้าและศิษย์น้องหลิวด้วย”

ซ่งหยวนก้าวถอยหลังเล็กๆ สองก้าวอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต ครั้นจึงผายมือไปทางผู้ฝึกตนหญิงสองคนนั้น “จะแนะนำให้เจ้าขุนเขาเฉินได้รู้จัก ผู้นี้คือศิษย์น้องหลิว คือหลานสาวที่อาจารย์ของข้ารักและเอ็นดูมากที่สุด เจ้าขุนเขาเฉินเรียกนางว่ารุ่นอวิ๋นก็แล้วกัน ส่วนผู้นี้คือเทพธิดาโจวจากอารามชิงเหมยแห่งทะเลสาบหนันถัง เป็นสหายสนิทของศิษย์น้องหลิวของข้า พวกเราเพิ่งกลับมาจากโรงเรียนของสกุลเฉิน คิดว่าจะไปเที่ยวชมสำนักศึกษาหลินลู่บนยอดเขาพีอวิ๋น แล้วค่อยกลับไปที่ยอดเขาอีไต้”

เฉินผิงอันเรียกพวกนางว่าแม่นางหลิว เทพธิดาโจว จากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ถ่วงเวลาการเดินทางของเซียนซือเสี่ยวซ่งแล้ว”

ซ่งหยวนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้จงใจชวนคุยต่อ พวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น ผู้ฝึกตนบนยอดเขา ขอแค่เลื่อนขั้นไปถึงตระกูลเซียนห้าขอบเขตกลางที่ถือว่าอยู่กึ่งกลางภูเขา ส่วนใหญ่ก็ล้วนมีจิตใจที่เย็นชาไร้ความปรารถนา ไม่ยินดีจะสัมผัสกับเรื่องราวทางโลกมากนัก ในเมื่อเฉินผิงอันไม่ได้เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว ซ่งหยวนจึงไม่เปิดปากพูด ต่อให้ซ่งหยวนจะรู้ว่าเทพธิดาโจวจากอารามชิงเหมยที่อยู่ข้างกายจะส่งสายตาให้เขา ซ่งหยวนก็แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น

ตลอดที่เดินทางขึ้นเหนือมานี้ เทพธิดาโจวที่อาศัยการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังผู้นี้ดึงดันอย่างมาก ไม่ยินดีพลาดเครือข่ายผู้คนและการค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำใดๆ เลย แทบทุกครั้งที่ไปถึงตระกูลเซียนหรือจุดที่มีทัศนียภาพงดงาม เทพธิดาโจวก็จะต้องใช้วิชาลับ ‘ตัดเก็บ’ ของอารามชิงเหมยเก็บภาพต่างๆ เอาไว้ จากนั้นก็ ‘ฝัง’ เรือนกายที่น่าหลงใหลของตัวเองเข้าไปท่ามกลางภาพเหล่านั้น ยามที่ถึงช่วงเทศกาลสำคัญก็จะได้ส่งไปให้กับผู้ชมที่คุ้นเคยกันซึ่งมีทรัพย์สินมหาศาลและยินยอมทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อนาง ซ่งหยวนไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เป็นเพื่อนนางมาตลอดทาง อันที่จริงเขาอึดอัดใจไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่าเทพธิดาโจวสนิทกับศิษย์น้องหลิวของเขา อีกทั้งศิษย์น้องหลิวยังคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันหน้ายอดเขาอีไต้ของตนก็จะสามารถคลายข้อห้ามของการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำบ้างเหมือนกัน นางจะได้เลียนแบบพี่หญิงโจวที่ได้รับความนิยมไปทั่วผู้นี้บ้าง ซ่งหยวนจึงไม่พูดอะไรมากอีก อาจารย์รักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้อย่างมาก มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมตกลง บอกว่าสตรีนางหนึ่งแต่งกายประทินโฉมอย่างเฉิดฉัน แล้วไปเปิดเผยหน้าตารูปร่างให้พวกอันธพาลเสเพลที่คิดไม่ซื่อกลุ่มใหญ่เกี้ยวพาราสีไปวันๆ มันสมควรแล้วหรือ ยอดเขาอีไต้ไม่ได้ขาดแคลนเงินเทพเซียนเล็กๆ น้อยๆ นี่สักหน่อย จึงยืนกรานว่าจะไม่อนุญาตเด็ดขาด

เทพธิดาโจวผู้นั้นก็ไม่ยอมให้เฉินผิงอันเดินหนี นางลูบเส้นผมตรงจอนหู ดวงตาคลอประกายน้ำ ส่งเสียงขึ้นมาว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน ข้าได้ยินศิษย์พี่ซ่งพูดถึงท่านอยู่หลายครั้ง ศิษย์พี่ซ่งเลื่อมใสท่านเป็นอย่างยิ่ง ยังบอกด้วยว่าเจ้าขุนเขาเฉินคือเจ้าของที่ดินรายใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลหลีจูในทุกวันนี้ ไม่ทราบว่าหากข้ากับรุ่นอวิ๋นไปเยี่ยมชมภูเขาลั่วพั่วจะเป็นการบุ่มบ่ามเกินไปหรือไม่?”

ซ่งหยวนพลันรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว ได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน

อันที่จริงเขาพูดกับเทพธิดาโจวผู้นี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้วว่า สถานที่อย่างพื้นที่มงคลหลีจูนี้ไม่เหมือนกับสถานที่สำคัญในการฝึกตนของตระกูลเซียนแห่งอื่นๆ สถานการณ์ของที่นี่ค่อนข้างซับซ้อน เส้นสายรากฐานตัดสลับกันยุ่งเหยิง มีเทพในกลุ่มคนอยู่เยอะมาก จะพูดจาหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง คิดดูแล้วเทพธิดาโจวคงไม่ได้ฟังเข้าหูเลยแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าอาจยิ่งทำให้นางฮึกเหิม กระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือเต็มทีก็เป็นได้ เพียงแต่เทพธิดาโจวเอ๋ยเทพธิดาโจว เขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิดไว้จริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ให้กับซ่งหยวน ใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เซียนซือซ่งน้อยผู้นี้ว่าไม่ต้องคิดมาก จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับเทพธิดาแห่งอารามชิงเหมยผู้นั้นว่า “ไม่บังเอิญเลย อีกเดี๋ยวข้าจะต้องไปจากภูเขาแล้ว อาจจะทำให้เทพธิดาโจวต้องผิดหวัง คราวหน้าหากข้าย้อนกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วอีกครั้ง จะต้องเชื้อเชิญเทพธิดาโจวและแม่นางหลิวให้ไปนั่งที่นั่นเป็นแน่”

หลิวรุ่นอวิ๋นแห่งยอดเขาอีไต้กำลังจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกซ่งหยวนกระตุกชายแขนเสื้อเบาๆ

เทพธิดาโจวกัดริมฝีปาก “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ ฉงหลินจะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มตอบ “ยังไม่อาจบอกได้จริงๆ”

เทพธิดาแห่งอารามชิงเหมยผู้มีเรือนกายสะโอดสะองจึงเบี่ยงตัวยอบคำนับ พอยืดตัวขึ้นตรงแล้วก็เอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รู้จักกับเจ้าขุนเขาเฉิน ขอต้อนรับให้ท่านไปเป็นแขกที่อารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง ฉงหลินจะต้องพาเจ้าขุนเขาเฉินเที่ยวชมทัศนียภาพของดอกเหมยด้วยตัวเอง คำกล่าวที่ว่า ‘ยามวสันต์ดอกเหมยบานสะพรั่งเต็มสวน’ ของอารามชิงเหมยเรามีชื่อเสียงมาเนิ่นนาน จะต้องไม่ทำให้เจ้าขุนเขาเฉินผิงอันหวังอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ได้เลย หากมีโอกาสเดินทางผ่านจะต้องไปรบกวนอารามชิงเหมยแน่”

โจวฉงหลินชำเลืองตามองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ถือไม้เท้าเดินป่าแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางน้อย เจ้าสบายดีไหม”

เผยเฉียนชี้ไปยังใบหน้าบวมแดงของตัวเอง พูดด้วยท่าทางเซ่อซ่า “ข้าไม่ค่อยสบายดีสักเท่าไหร่”

โจวฉงหลินยังคิดจะพยายามตีสนิทกับแม่นางน้อยที่ไม่น่าเอ็นดูอย่างยิ่งผู้นี้อีกรอบหนึ่ง แต่เฉินผิงอันกลับจูงมือเผยเฉียนบอกลาจากไปแล้ว

ดูเหมือนหลิวรุ่นอวิ๋นอยากจะทวงความยุติธรรมแทนพี่หญิงโจว เพียงแต่ว่าซ่งหยวนไม่เพียงแต่ไม่คลายมือ กลับกันยังกำข้อมือของนางไว้แน่น หลิวรุ่นอวิ๋นที่เริ่มเจ็บรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง ถึงได้อดกลั้นไว้ไม่พูดอะไรออกมา

แม้ว่าตั้งแต่เล็กจนโต ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของท่านปู่จะทำให้นางไร้ทุกข์ไร้กังวล นิสัยซื่อตรงร่าเริง น้อยนักที่จะมีกลอุบาย แต่ถึงอย่างไรหลิวรุ่นอวิ๋นก็เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่แท้จริง ต่อให้จนถึงทุกวันนี้ยังไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่นางกลับไม่ได้โง่เขลาจริงๆ เสียหน่อย

—–