ราชันเร้นลับ 864 : นักแสดงและผู้ชม

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 864 : นักแสดงและผู้ชม
เมื่อดวงตาไร้อารมณ์ของโกลเดนรีทรีเวอร์ทะลุผ่านม่านเงามืด ไคลน์อดเลิกคิ้วไม่ได้ ลืมเก็บซ่อนอาการตื่นตัว

จากนั้น ดวงตาชายหนุ่มเบือนกลับมามองมิสจัสติสและครอบครัว

น่ากลัวมาก… ทำไมสุนัขตัวนั้นถึงไปนั่งในเงามืดโดยไม่มีเหตุผล? เอาแต่มองทุกคนในห้องโถง… เดี๋ยวนะ มิสจัสติสเคยบอกว่าเธอเผลอเอาโอสถผู้ชมให้สัตว์เลี้ยงกิน ถึงขั้นขอคำแนะนำจากแฮงแมน… อย่าบอกนะว่าเป็นโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวนี้? หนึ่งผู้ชมคอยจับตามองจากเงามืด ส่วนอีกหนึ่งผู้ชมคอยเฝ้ามองจากที่แจ้ง… แบบนี้ ‘นักแสดง’ คนไหนจะไปรับมือไหว! อา ในสังคมชนชั้นสูง ผู้ชมคงไม่ได้มีแค่มิสจัสติสแน่ ถ้าจำไม่ผิด เธอถูกแนะนำให้เข้าสมาคมแปรจิตจากน้องสาวของดยุคนีแกน… ไคลน์วิเคราะห์พลางรำพัน ก่อนจะเดินไปหามัคท์และซักถามโดยไม่มองหน้า

“กลุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาดูเหมือนจะเป็นคนดัง?”

มัคท์ชำเลืองดอน·ดันเตส หัวเราะในลำคอ

“ตระกูลเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ตะวันออก คุณสามารถเรียกเขาว่าเอิร์ลฮอลล์ คงเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างใช่ไหม? ทางนั้นคือภรรยาของเขา คุณหญิงเคทลิน ส่วนนั่นคือบุตรชายคนโต ลอร์ดฮิบเบิร์ต คุณน่าจะเคยเจอเขาแล้ว…”

ฟังคำแนะนำของส.ส. มัคท์จบ ไคลน์เกิดความละอายใจทันที เนื่องจากตนเคยพบหน้าฮิบเบิร์ตฮอลล์มาแล้วในงานเลี้ยงเต้นรำ แต่กลับไม่ได้ใส่ใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องถามคนอื่นว่าพวกเขาคือขุนนางตระกูลใด

เราตกตะลึงเกินไปหลังจากได้เจอมิสจัสติสกะทันหัน… ไคลน์ยิ้มพลางฟังอีกฝ่ายอธิบาย

ส.ส. มัคท์เล่าต่อ

“นั่นคือบุตรสาวของเขา มิสออเดรย์·ฮอลล์ เพิ่งเข้าแวดวงทางสังคมเมื่อสองปีก่อน ถูกขนานนามให้เป็นอัญมณีที่เจิดจรัสที่สุดในกรุงเบ็คลันด์… เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คุณคิดแบบนั้นไหม?”

โดยไม่รอให้ดอน·ดันเตสกล่าวสิ่งใด มันเสริม

“เธอถูกตามจีบโดยองค์ชาย ทายาทดยุค ขุนนาง และสุภาพบุรุษที่ยอดเยี่ยมอีกนับไม่ถ้วน”

ความนัยแฝงของมัคท์ไม่ซับซ้อน เป็นการปราบสุภาพบุรุษที่ชื่นชอบสตรีทุกวัยรายนี้ว่า อย่าได้คิดชายตามองเป็นอันขาด เธอคือเป้าหมายที่มิอาจเอื้อม

สำหรับไคลน์ มันกำลังคิดเรื่องอื่น

แท้จริงแล้ว มิสจัสติสเป็นลูกสาวของเอิร์ลฮอลล์ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงร่ำรวย ถึงไม่เคยต่อราคา…

เอิร์ลฮอลล์คือนายธนาคารใหญ่อันดับต้นๆ ของอาณาจักร หนึ่งในขุนนางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสภาพขุนนาง บรรดาศักดิ์ขุนนางเป็นแบบสืบทอด มีทรัพย์สินรวมมากกว่าบารอนซินดราสหลายเท่า…

แม้มิสจัสติสจะมิได้สืบทอดตำแหน่งขุนนาง แต่ลำพังมรดกทางด้านเงินสดและที่ดินก็ไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งแสนปอนด์…

เมื่อผนวกเข้ากับรูปลักษณ์ ชาติกำเนิด และอุปนิสัย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะกลายเป็นเป้าหมายการสมรสของราชวงศ์และขุนนางใหญ่ระดับอาณาจักร…

นอกจากนั้น การเที่ยวซื้อสมบัติวิเศษอย่างต่อเนื่องโดยเคยต่อราคา ทรัพย์สินรวมของเธอไม่น่าจะมีแค่สองสามแสนปอนด์… แถมยังเบิกเงินจากพ่อได้ด้วย? เราเองก็อยากมีพ่อแบบนี้บ้าง…

ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์หันไปยิ้มและตอบสนองต่อคำเตือนของส.ส. มัคท์

“ผมเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับมิสออเดรย์มากมาย จนกระทั่งวันนี้เพิ่งได้พบว่าไม่มีสิ่งใดเกินจริงไปเลย… น่าเสียดายที่ตัวผมไม่ใช่องค์ชายหรือทายาทดยุค มาร์ควิส เอิร์ล ไวเคาต์ ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นหนึ่งใน ‘ผู้มีสิทธิ์’ จะเป็นคู่ครองของเธอ”

ชายหนุ่มกำลังตอบอ้อมๆ ว่า ตนเข้าใจจุดยืนของตัวเองดี

ส.ส. มัคท์ไม่สานต่อบทสนทนาเดิม แต่นำแนะให้ดอน·ดันเตสรู้จักแขกบางคนที่ตนสนิท เป็นการพาเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูงโดยแท้จริง แน่นอนว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะโบสถ์รัตติกาลจัดงานเลี้ยงการกุศล เพราะหากไม่แล้ว ส.ส. มัคท์คงไม่มีโอกาสแนะนำดอน·ดันเตสให้แขกพิเศษเหล่านี้รู้จักโดยตรง

มาร์ควิสโลว์เซ่น เอิร์ลกรอส ไวเคาต์เลิฟแลนด์… เหล่าสาวกเคร่งศาสนาของเทพธิดาต่างทักทายดอน·ดันเตสด้วยท่าทีค่อนข้างเป็นมิตร

ก่อนที่มัคท์จะแนะนำตัวเสร็จ ชายสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาห้องโถง

สุภาพบุรุษคนดังกล่าวสวมชุดคลุมนักบวชสีดำแถบแดง กึ่งกลางหน้าอกมีตราศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดาห้าจุด ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปราศจากหนวดเครา ดวงตาลุ่มลึกและสุขสงบ

ทุกคนรวมถึงเอิร์ลฮอลล์หันไปมองชายสูงวัยคนดังกล่าวพร้อมกับโค้งศีรษะ

“สายัณห์สวัสดิ์ ท่านเจ้าคุณแอนโทนี”

ไม่ใช่ใครนอกจากนักบุญแอนโทนี·สตีเวนสัน หนึ่งในสิบสามอาร์ชบิชอปแห่งศาสนจักรรัตติกาล!

ผู้นำสูงสุดของมุขมณฑลเบ็คลันด์ เป็นบุคคลเบื้องบนของโบสถ์รัตติกาลตัวจริงเสียงจริง!

เมื่อได้เห็นอาร์ชบิชอป ร่างกายและจิตใจไคลน์เกิดความสั่นสะท้านอย่างมิอาจหักห้าม อย่างมิอาจเก็บซ่อน ประหนึ่งย้อนกลับไปสมัยเด็กที่เคยเดินเล่นในสุสานมืดๆ ของหมู่บ้านแถบชนบท

หลังจากมองไปรอบๆ หนึ่งครั้ง ไคลน์พบว่าแขกคนอื่นมิได้เกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นตน จึงเข้าใจทันทีว่า ‘ความกลัว’ เช่นนี้จะยิ่งส่งผลเมื่อเป้าหมายมีพลังวิญญาณสูง ยิ่งเข้มข้นยิ่งหวาดกลัว จึงรีบเข้าฌานเพื่อสงบจิตใจ

หลังจากควบคุมอาการสั่นเทาได้เบื้องต้น นักบุญแอนโทนีเผยรอยยิ้ม มองไปรอบตัวพร้อมกับทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก

“เทพธิดาจงเจริญ”

“เทพธิดาจงเจริญ” แขกที่เข้าร่วมงานประสานเสียงตอบกลับ

เนื่องจากอาร์ชบิชอปมาถึงแล้ว ส.ส. มัคท์จึงหยุดแนะนำแขกที่เหลือให้ไคลน์รู้จัก เพราะถือว่างานเลี้ยงการกุศลเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

เฉกเช่นทุกครั้ง แขกทุกคนนั่งลงสวดวิงวอนถึงเทพธิดาด้วยความศรัทธานานสามนาที จากนั้น คณะนักร้องประสานเสียงของวิหารจะเดินไปที่หน้าซุ้ม ร้องเพลงสรรเสริญเทพธิดาด้วยท่วงทำนองล่องลอย พร้อมเพรียง และศักดิ์สิทธิ์

หลังจากจบพิธีกรรมทางศาสนา นักบุญแอนโทนีส่งไม้ต่อให้บิชอปอีเล็คตร้า ฝ่ายหลังเดินไปยังซุ้มที่นักร้องประสานเสียงเคยยืน พื้นบริเวณดังเป็นแผ่นไม้ยกสูง มีแท่นสำหรับวางหนังสือหลายเล่ม

“ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ ทุกคนเปรียบดังดาวจรัสแสงท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดและเงียบสงบ” บิชอปอีเล็คตร้าเกริ่นตามมารยาท ตามด้วยกล่าว “ทางโบสถ์รัตติกาลก่อตั้งกองทุนเพื่อการศึกษาของผู้ยากไร้ขึ้นตามเจตจำนงของมิสเตอร์ดอน·ดันเตส สุภาพบุรุษท่านนี้ทั้งใจกว้างและมีวิสัยทัศน์ก้าวไกลเหมาะแก่การเอาเป็นเยี่ยงอย่าง… ถัดไปขอเรียนเชิญให้มิสเตอร์ดอน·ดันเตสขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์สั้นๆ ให้พวกเราฟัง”

แม้ไคลน์จะเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายก็อดใจเต้นไม่ได้

สถานการณ์ตรงหน้าไม่ปรกติเลยสักนิด มี ‘ผู้ชม’ อย่างน้อยสองคนคอยจ้องจับผิด ยากจะโอ้อวดได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะหากเผลอโกหกหรือกุเรื่องไม่สมจริง อีกฝ่ายจะจับสังเกตได้ทันที!

ในท่าจับเสื้อตัวนอกด้วยการกุมท้อง ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างสง่างาม เดินไปยังแท่นกล่าวสุนทรพจน์พลางติดกระดุมเสื้อนอก

เมื่อยืนหลังแท่นไม้สูง ชายหนุ่มเหยียดหลังตั้งตรง มองไปรอบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยสมาชิกสภา นักบวช ขุนนางใหญ่ และข้าราชการอาวุโส ตามด้วยยิ้มและเริ่มกล่าว

“ผมรู้สึกประหม่าเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยืนท่ามกลางสายตาบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวนมากขนาดนี้…”

“ครั้งหนึ่งผมเคยอาศัยอยู่ในเขตที่มีคนยากไร้แออัด เคยอาศัยอยู่บนทวีปใต้ที่สับสนวุ่นวาย จึงได้เห็นความยากจนข้นแค้นนานับชนิด… เด็กสาวคนหนึ่งต้องช่วยแม่ทำกล่องไม้ขีดตั้งแต่หกขวบ เพราะถ้าไม่ทำ พวกเขาจะไม่มีอะไรกินหลังจากจ่ายค่าเช่าห้อง อาหารของพวกเขาคือขนมปังสีน้ำตาลแข็งกระด้าง ทำจากเปลือกข้าวสาลี บางครั้งก็ต้องกินกรวดและหิน… หินที่แข็งจนสามารถขว้างปาทำร้ายผู้อื่น…”

“เมื่อสาวน้อยคนนี้โตขึ้น ทั้งที่ต้องทำงานสายตัวแทบขาดในทุกวัน ทั้งที่บ้านของเธอไม่มีเงินเหลือสำหรับค่าเล่าเรียน แต่เธอก็ยังฝืนตัวเอง พยายามไปเรียนโรงเรียนกุศลวันอาทิตย์ที่ทางโบสถ์จัดขึ้น เพื่อให้ตัวเองอ่านออกเขียนได้ ให้ตัวเองมีความรู้ เพราะเธอทราบดี นี่เป็นวิธีเดียวที่จะหลุดพ้นวิถีชีวิตอันน่าอดสูในปัจจุบัน เป็นวิธีเดียวที่จะมีเงินเหลือสำหรับซื้ออาหารและเสื้อผ้าเพื่อฝ่าฟันความหนาว เป็นวิธีเดียวที่จะไม่ต้องกลายเป็นสาวโรงงานและทำงานหนักจนตายในวัยยี่สิบ…”

ไคลน์หยิบประสบการณ์จากเด็กยากจนที่ตนเคยรู้จัก นำมาประกอบเข้าด้วยกันพร้อมกับถ่ายทอดด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง

ชายหนุ่มพบว่ามีสตรีไม่น้อยเริ่มเผยสีหน้าสงสาร เห็นอกเห็นใจ เด็กสาวบางคนเริ่มน้ำตาคลอ หนึ่งในนั้นคือออเดรย์·ฮอลล์

เป็นเด็กที่อ่อนไหวชะมัด… นั่นสินะ เราเผยความรู้สึกจากก้นบึ้งจนแม้แต่ตัวเองก็ยังซาบซึ้ง อย่าว่าแต่ ‘ผู้ชม’ เลย… อย่างไรก็ตาม สุภาพบุรุษส่วนใหญ่ไม่ยินดียินร้าย บ้างทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว บ้างไม่แยแสบุคคลที่มีสถานะทางสังคมต่ำกว่า… ไคลน์มองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวต่อ

“อุตสาหกรรมของอาณาจักรเรากำลังพัฒนา ในอนาคตจำเป็นต้องใช้แรงงานที่อ่านออกเขียนได้… เงื่อนไขในการเลือกตั้งของอาณาจักรกำลังถูกผ่อนปรนลงมา เราจำเป็นต้องสร้างบุคลากรที่มีความรู้เพื่อเลือกคนที่ถูกต้องเข้ามาทำงาน… เพื่ออนาคตของเด็กๆ ในอาณาจักร เพื่อความเจริญก้าวหน้าของอาณาจักร ผมตัดสินใจบริจาคหุ้นของบริษัทโคอิมทั้งหมดในมือให้ตกเป็นของโบสถ์รัตติกาล ให้พวกเขาจัดตั้งกองทุนการศึกษาแก่ผู้ยากไร้ หลังจากเด็กๆ เหล่านี้เรียนจบโรงเรียนกุศลวันอาทิตย์หรือคาบเรียนไม่มีค่าใช้จ่ายในตอนกลางคืน พวกเขาจะได้เข้าศึกษาในสถาบันชั้นนำของภาครัฐ ได้รับความรู้ที่ถูกต้องมาพัฒนาบ้านเมืองและตัวเอง”

เอิร์ลฮอลล์เจ้าของหนวดงาม พยักหน้าและเริ่มปรบมือเป็นคนแรก

ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว ไคลน์กลับไปนั่งประจำตำแหน่งโดยมีบิชอปอีเล็คตร้าเดินมาที่แท่นแทน

“หุ้นที่มิสเตอร์ดอน·ดันเตสบริจาคมีมูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ เราจะใช้เงินจำนวนนี้สำหรับก่อตั้ง ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษาแห่งโลเอ็น’ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย หากใครเห็นด้วยกับเจตนารมณ์ของเขา เห็นด้วยกับการช่วยเหลือเด็กๆ ที่หิวกระหายความรู้ สามารถร่วมบริจาคเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกองทุนนี้ได้”

กล่าวจบ มันชี้ไปยังกล่องรับบริจาคด้านข้าง

ออเดรย์ถอนสายตากลับ กดหางตาให้ต่ำลงขณะหันไปพูดกับบิดา

“ท่านพ่อ หนูจะบริจาคหนึ่งพันปอนด์ พ่อจะบริจาคเท่าไร?”

ขณะพูด หญิงสาวรวบรวมข้อมูลที่สังเกตได้ในใจ

ดอน·ดันเตสน่าจะเคยใช้ชีวิตที่ยากจนมาก่อน อารมณ์ขณะกล่าวสุนทรพจน์ของเขาเป็นความจริงทั้งหมด… เด็กไร้โอกาสเหล่านั้นช่างน่าสงสาร…

เมื่อครู่ ในตอนที่บิชอปกล่าวถึงหุ้นมูลค่าหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ มุมปากของดอน·ดันเตสกระตุกเล็กน้อย เราสามารถบอกได้ว่า เขาค่อนข้างเสียดายเงินจำนวนดังกล่าว ทว่า เจตนาในการบริจาคก็ไม่ใช่ของปลอมเช่นกัน… แสดงให้เห็นว่า สุภาพบุรุษที่หลงรักในเงินตรารายนี้ ความจริงแล้วก็ ‘หลงรัก’ คุณค่าของความดีไม่แพ้กัน…

แล้วทำไมเขาถึงแสดงสีหน้าตกตะลึงในตอนที่เห็นเรา?

เขาเคยเจอเราที่อื่น แต่ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเรา? ไม่เห็นต้องเก็บซ่อนเอาไว้…

เขามองออกว่าสร้อยคอของเราคือสมบัติวิเศษ จึงเกิดความตกตะลึง จากนั้นก็พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ดังกล่าว?

ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าเขาเป็นผู้วิเศษ และไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับต่ำ…

ไม่เป็นไร ไว้ค่อยถามซูซี่ตอนกลับถึงบ้าน เธอซ่อนตัวอยู่ในความมืด อีกฝ่ายคงไม่ทันระวังแน่ ทางนั้นน่าจะมีข้อมูลมากกว่าเรา…

ท่ามกลางความคิดมากมาย ออเดรย์เห็นบิดาของเธอยิ้มพลางหยิบสมุดเช็คและปากกา

จำนวนเงินที่เขียนลงไปก็คือ

หนึ่งหมื่นปอนด์!