บทที่ 757 การประชุมแผนการครั้งสุดท้าย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 757 การประชุมแผนการครั้งสุดท้าย

ในกลุ่มคนสนิทของหลินเป่ยเฉินมีแต่เพียงฉุยเฮาเฟิงคนเดียวเท่านั้นที่ชำนาญด้านการวางกลยุทธ์บริหารงานบ้านเมือง และได้รับความเคารพจากผู้คนจำนวนมาก ตอนแรก เขาก็ไม่เห็นด้วยที่หลินเป่ยเฉินคิดสังหารเหลียงหยวนเตาเพราะนั่นจะทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบ และเด็กหนุ่มก็อาจมีปัญหากับทางวังหลวงก็เป็นได้

เห็นได้ชัดว่าการกระทำครั้งนี้จะทำให้อนาคตของหลินเป่ยเฉินต้องพบเจอกับความยากลำบากโดยไม่จำเป็น

เพราะสำหรับผู้คนในจักรวรรดิเป่ยไห่ ผู้ที่มีปัญหากับทางวังหลวง ย่อมถูกตีตราว่าเป็นกบฏแผ่นดิน

ดังนั้นจึงสรุปได้ความว่า

การสังหารเหลียงหยวนเตาอาจไม่ใช่เรื่องยากก็จริง

แต่เรื่องยากก็คือการรับมือกับผลกระทบที่จะตามมาหลังจากนั้นต่างหาก

ทว่า ฉุยเฮาเฟิงก็ไม่ได้เอ่ยปากคัดค้าน

เพราะเขารู้ดีว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของหลินเป่ยเฉินไม่ได้มีขึ้นเพื่อแก้แค้นให้แก่ตระกูลเฉียน

ฉุยเฮาเฟิงย่อมมองออกว่าเด็กหนุ่มไม่เห็นพ่อลูกคู่นี้อยู่ในสายตาตั้งแต่แรก

แต่การที่หลินเป่ยเฉินออกหน้าปกป้องเฉียนซื่อและบุตรชาย ก็เท่ากับเป็นการเปิดศึกกับผู้ว่าการมณฑลอย่างเป็นทางการ และคำสั่งของเด็กหนุ่มที่บอกให้เฉียนเหมยนำกำลังพลไป ‘กวาดล้างมือปราบอินทรีธูมรณะที่อยู่ในพื้นที่เขตสองให้หมดสิ้น’ นั้น ก็เป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ

นี่หมายความว่าเหลียงหยวนเตาคงอยู่เฉยไม่ได้อีกแล้ว

การแก้แค้นจะต้องตามมาไม่รู้จบ

นับเป็นปัญหาที่ไม่ใช่จะแก้ไขได้ง่ายๆ

แต่หลังจากฉุยเฮาเฟิงใช้เวลาขบคิดอยู่สักครู่ เขาก็ตัดสินใจเชื่อมั่นในความคิดของหลินเป่ยเฉิน แม้ตนเองจะคาดเดาไม่ออกเลยว่าเด็กหนุ่มกำลังวางแผนอะไรอยู่ก็ตาม

ฉุยเฮาเฟิงทำได้เพียงให้คำแนะนำว่า…

“ในเมื่อคงหลีกเลี่ยงการปะทะหักล้างไม่ได้ ต่อจากนี้ พวกเราก็คงต้องเสริมกำลังผู้คุ้มกันสถานศึกษา ตลาดค้าอาหารทะเล และค่ายที่พักของผู้อพยพให้แน่นหนามากขึ้น เพราะอีกไม่นาน เหลียงหยวนเตาจะต้องส่งกำลังคนมาแก้แค้นเป็นแน่แท้ หากพวกเราไม่เตรียมตัวรับมือตั้งแต่เนิ่นๆ ที่นี่คงถูกทำลายย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี”

ฉุยเฮาเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

เมื่อกลุ่มผู้ร่วมประชุมได้ยินดังนั้น พวกเขาก็พร้อมใจกันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

โชคดีที่ตลอดเดือนที่ผ่านมา ขุมกำลังผู้คุ้มกันค่ายผู้อพยพเพิ่มจำนวนมากขึ้นหลายอัตรา และมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นนักรบฝีมือดี หลายคนมีทักษะการต่อสู้เฉพาะตัว ซ้ำยังมีความสามารถรอบด้าน

ดังนั้น การรับมือกับพวกมือปราบอินทรีธูมรณะจึงไม่ใช่ปัญหา

ปัญหาคือการรับมือกับท่านเจ้าเมืองต่างหาก

และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญก็คือ…

ผู้ที่กุมอำนาจทั้งหมดของกองทัพประจำนครเจาฮุยคือเกาเฉิงฮั่น

พวกเขายังไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ เกาเฉิงฮั่นจะเลือกยืนอยู่ข้างไหนกันแน่

ยิ่งทุกคนปรึกษาหารือถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การวางแผนรับมือการโจมตีจากกองทัพประจำเมือง จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันอย่างชัดเจน

“ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ใต้เท้าฉุยพูดออกมาทุกประการ เมื่อนำกลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองมารวมเข้ากับผู้คุ้มกันค่ายผู้อพยพรุ่นใหม่ พวกเราก็มีโอกาสเอาชนะหน่วยมือปราบอินทรีธูมรณะได้สบายๆ อยู่แล้ว”

“ถูกต้อง แต่พวกเราจะลืมไม่ได้เด็ดขาดว่าเหลียงหยวนเตาครองอำนาจอยู่ในมณฑลเฟิงอวี่มายาวนานหลายปี รากฐานอำนาจของเขาย่อมไม่อ่อนแอ เกินครึ่งของแม่ทัพใหญ่ในกองทัพประจำเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นบริวารของเหลียงหยวนเตาทั้งสิ้น ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่พวกเราควรเตรียมตัวเตรียมใจยอมรับก็คือ หากเกิดการปะทะหักล้างขึ้นจริงๆ พวกเราอาจจะไม่พ่ายแพ้ แต่อย่างน้อยก็ต้องเกิดความเสียหายใหญ่หลวง”

“และอาจมีปัจจัยแทรกซ้อนเช่นว่า ระหว่างที่พวกเรากำลังต่อสู้อยู่กับกองทัพของเหลียงหยวนเตา พวกชาวทะเลอาจอาศัยจังหวะนี้บุกโจมตีกำแพงเมือง พวกเราต้องวางแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนั้นเอาไว้ด้วย เพราะเราจะปล่อยให้ชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ในนครเจาฮุยได้รับอันตรายไม่ได้เด็ดขาด”

“ถ้าอย่างนั้น เราแก้ปัญหาด้วยการให้เกาเฉิงฮั่นรับหน้าที่รักษากำแพงเมือง ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งนี้ดีหรือไม่?”

“เป็นไปไม่ได้หรอก”

“นั่นสิ อย่าว่าแต่มีเหตุผลอันใดที่เกาเฉิงฮั่นต้องมาทำตามคำสั่งของพวกเรา เดิมทีระหว่างเขากับเหลียงหยวนเตาก็มีสถานะเป็นผู้รับราชการเหมือนกันอยู่แล้ว พวกเขาย่อมช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา และถ้าเหลียงหยวนเตาออกคำสั่งมาจริงๆ มีหรือที่เกาเฉิงฮั่นจะกล้าขัดขืน?”

“แต่ไม่ลองดูก่อนแล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไร? ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองของพวกเราสร้างผลงานป้องกันกำแพงเมืองได้อย่างโดดเด่น เกาเฉิงฮั่นแสดงออกถึงความประทับใจอยู่หลายครั้ง… เขาจะไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาบ้างเชียวหรือ ข้าว่าหากเราลองขอความช่วยเหลือไป บางทีเขาอาจแบ่งกำลังคนมาให้พวกเราบ้างก็ได้”

บรรดายอดฝีมือที่เข้าร่วมการประชุมต่างก็แสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเผ็ดร้อน

ในไม่ช้า พวกเขาก็ได้ข้อสรุป

ตลอดเวลาแห่งการถกเถียงเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินไม่ได้มีท่าทีสนใจเลยแม้แต่น้อยเลย

ครึ่งชั่วยามผ่านไป แผนการขั้นสุดท้ายก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

หลินเป่ยเฉินอ้าปากหาวหวอดหลายครั้งหลายหน เผลอสัปหงกไปก็หลายรอบ เมื่อรู้สึกตัวตื่นมาอีกที ก็ได้แต่รับคำอนุมัติแผนการที่ทุกคนถาม ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้รับฟังสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ

เมื่อได้รับคำอนุมัติจากหลินเป่ยเฉิน กลุ่มคนผู้ร่วมประชุมก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ ก่อนที่พวกเขาจะรีบแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเอง

สีหน้าของทุกคนบอกชัดว่า พวกเขาคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในแผนการที่กำลังจะ ‘เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล’

หลินเป่ยเฉินยกนิ้วกลางขึ้นมาทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน

แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละ

การประชุมแผนการครั้งสุดท้ายในวันนี้ เขาได้แสดงบทบาทความเป็นคนสำคัญให้ทุกคนเห็นบ้างแล้วหรือยัง?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นส่วนเกินของการประชุมอย่างไรไม่ทราบ

เมื่อทุกคนกลับออกไปจากกระโจมที่พักของเขาแล้ว ความเงียบสงบก็แผ่ปกคลุมบรรยากาศทันที

หลินเป่ยเฉินนั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่บนเก้าอี้ ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินออกไปด้านนอก

หิมะยังคงโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าไม่หยุดยั้ง

นครเจาฮุยกำลังจะต้องพบเจอกับอุปสรรคครั้งใหม่

หิมะตกตลอดทั้งวันทั้งคืนนับตั้งแต่ล่วงเข้าสู่ฤดูหนาว

พายุหิมะกำลังจะมา

ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลน เมื่อบวกเข้ากับท้องฟ้าอันมืดมิด จึงเกิดเป็นภาพที่ดูสวยงามและลึกลับในเวลาเดียวกัน

หมู่บ้านผู้อพยพอีกสิบแห่งที่อยู่นอกค่ายที่พักของพวกเขาก็อยู่ในความสงบสุขเช่นกัน

คืนนี้มีแสงดาวริบหรี่ ความมืดมิดกลืนกินทุกอย่าง บรรยากาศเงียบสงบ แต่เด็กหนุ่มรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านี่ไม่ต่างไปจากความเงียบสงบก่อนภูเขาไฟจะระเบิด

หลินเป่ยเฉินมองเกล็ดหิมะที่ปลิวไสวในอากาศ แล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

ไอหมอกขาวฟุ้งออกมาบางเบา

ลมหายใจที่พ่นออกมาจากจมูกแทบจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนยอดต้นไม้ ตกตะลึงไปกับความสวยงามของวิวทิวทัศน์ที่สุดแสนตระการตา อดใจไม่ไหวต้องนำโทรศัพท์มือถือออกมากดถ่ายรูป และอัพโหลดโมเมนต์ที่น่าประทับใจในแอปวีแชท เช่นเดียวกับอัพสเตตัสใหม่ในแอปเจิ้นอ้ายหว่าง

หลังจากนั้น เขาก็ไปดูอาการอู๋หง

ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟได้รับบาดเจ็บสาหัส

โจวฉุยหวูซวงผู้เป็นศิษย์เอกของอานมู่ซี พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยื้อลมหายใจของอู๋หงเอาไว้ให้ได้นานที่สุด

บัดนี้ ยังไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้ว่าอู๋หงจะสามารถฟื้นคืนสติกลับมาได้หรือไม่ หรือนางจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้อีกนานสักแค่ไหน

เมื่อเห็นสภาพของนักล่าอสูรสาวแล้ว เด็กหนุ่มก็ต้องเดินออกมาจากสถานพยาบาลด้วยความเศร้าใจ เขาข่มใจที่จะไม่ไปหาไป๋ชินหยุนในโรงหลอมโอสถ จึงทำได้เพียงเดินกลับไปยังกระโจมที่พักของตนเองเพื่อนั่งโคจรพลังเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องเตรียมร่างกายให้สมบูรณ์พร้อมมากที่สุด

วันพรุ่งนี้จะเป็นวันชี้ชะตาที่อาจทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน

หลินเป่ยเฉินจะปล่อยให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด

เพราะฉะนั้น…

หลินเป่ยเฉินนำเหรียญทองคำออกมาจำนวน 100 เหรียญ และใช้พลังปราณธาตุทองคำควบคุมให้พวกมันลอยวนเวียนอยู่ในอากาศรอบตัว บางครั้งก็ปรับเปลี่ยนให้กลุ่มเหรียญกลายเป็นรูปทรงต่างๆ รวมไปถึงฝึกฝนการใช้พวกมันแทนกระบี่โจมตีศัตรู…

หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องฝึกการควบคุมวัตถุจากแร่โลหะอยู่เสมอ

เขาพอใจกับความคืบหน้าของตัวเอง

เพราะเด็กหนุ่มถึงกับคิดประโยคเท่ๆ เอาไว้ใช้ในอนาคตข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ประมาณว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่เจ้าจะต้องตายด้วยเงินของข้า”

แค่คิดเฉยๆ ก็รู้สึกเท่เหลือเกิน

ถ้าได้ทำจริงๆ จะรู้สึกดีขนาดไหนนะ

หลังจากฝึกควบคุมเหรียญทองคำเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไปนั่งสมาธิโคจรพลังลมปราณ ปรับสมดุลในร่างกายให้คงที่

เพียงพริบตาเดียว ราตรีนี้ก็ผ่านพ้นไป

และเช้าวันชี้ชะตาก็มาถึงในที่สุด!!