บทที่ 1851 ความปั่นป่วนในสามภูมิภาค

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1851 ความปั่นป่วนในสามภูมิภาค

 

อู๋ส่วยเข้าสู่วังมังกรก่อนจะนํามันบินเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์

 

แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นฐานทัพของเผ่า ผู้นําเผ่ามีการบ่มเพาะระดับแปด ดังนั้นอู๋ส่วยจึงต้องระวังตัว

 

แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ใหญ่โตเหมือนถ้ําสวรรค์ มันเต็มไปด้วยทรัพยากรที่สูญพันธุ์ไปแล้ว

 

“แม้รากฐานของมันจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาแต่มันก็ไม่ห่างไกลมากนัก” ร่างแยกมนุษย์มังกรอู๋ส่วยคิด

 

ท่ามกลางแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ฟางหยวนเคยเห็น แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามีรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุด รองลงมา คือแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือ ที่นี่เป็นอันดับสาม

 

‘แดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ากู้คงอยู่มานานกว่าหนึ่งล้านปี! ผู้นําเผ่าแต่ละรุ่นต้องมีการบ่มเพาะอย่างน้อยระดับเจ็ด ส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับแปด ด้วยการคงอยู่ของตัวตนระดับนี้ ภัยพิบัติของแดนศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ใช่ภัยคุกคามสําหรับพวกเขา’

 

‘นอกจากนั้น..เผ่ากู้ก็ไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากเจตจํานงสวรรค์ แม้พวกเขาจะพบกับภัยพิบัติแต่พวกมันก็จะไม่รุนแรงนัก’

 

อู๋ส่วยคิดกับตนเอง

 

วิถีแห่งสวรรค์จะรักษาสมดุลเสมอ ปัจจุบันมนุษย์ปกครองโลก กองกําลังเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ถูกบังคับให้ซ่อนตัวอยู่ในมุมต่างๆของโลกใบนี้

 

ดังนั้นเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์จึงได้รับความช่วยเหลือจากเจตจํานงสวรรค์

 

“ผู้อาวุโสอู๋ส่วย โปรดตามข้ามา” ผู้นําเผ่ากู้กล่าวอย่างสุภาพขณะนําทาง

 

อู๋ส่วยติดตามไปอย่างใกล้ชิด หลังจากบินไปได้ชั่วครู่ ทั้งสองก็ร่อนลงสู่ป่าทึบแห่งหนึ่ง

 

ในป่ามีชนเผ่าขนาดใหญ่ที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งหมื่นคน พวกเขาเป็นมนุษย์อสูรทั้งหมด

 

แท้จริงแล้วเผ่ากู้คือเผ่ามนุษย์อสูร

 

ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มนุษย์อสูรสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ความจริงก็คือพวกเขายังมีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ พวกเขาเพียงหลบซ่อนจากโลกของมนุษย์เท่านั้น

 

อู๋ส่วยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเผ่า

 

งานเลี้ยงต้อนรับถูกจัดขึ้น

 

อู๋ส่วยเดินออกมาจากวังมังกรพร้อมกับสองแม่ทัพมังกรซึ่งแสดงตัวเป็นผู้คุ้มกันของเขา

 

รูม่านตาของผู้นําเผ่ากู้หดเล็กลงเล็กน้อยขณะที่เขาหัวเราะเสียงดังเพื่อกลบเกลื้อนความตกใจ ทัศนคติของเขาอ่อนน้อมมากขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนี้

 

อู๋ส่วยเปิดเผยแม่ทัพมังกรเพียงครึ่งเดียวแต่ทั้งสองต่างเป็นผู้อมตะระดับแปดเหมือนกับผู้นําเผ่ากู้ ในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นอกจากผู้นําเผ่ากู้ก็ไม่มีผู้อมตะระดับแปดคนอื่นอยู่อีก

 

การสํารวจอาณาจักรแห่งความฝันของวังมังกรทําให้ฟางหยวนเข้าใจเกี่ยวเผ่ามนุษย์อสูร

 

หลังจากพูดคุยสักพัก อู๋ส่วยยิ่งเข้าใจเผ่ากู้มากขึ้น

 

มนุษย์อสูรเป็นมนุษย์ครึ่งอสูรทุกประเภท แต่สมาชิกส่วนใหญ่ของเผ่าเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์น้ํา บางคนมีเหงือกปลา บางคนมีครีบ บางคนมีหนานแหลมอยู่บนแผ่นหลัง บางคนมีขาเป็นกบ บางคนมีกระดองเต่า และ บางคนก็มีศีรษะเป็นปลา

 

เดิมทีมนุษย์อสูรกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในทะเลตะวันออก เมื่อเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์อ่อนแอลง พวกเขาจึงถูกบังคับให้ซ่อนตัวเพื่อรักษาชีวิต

 

พวกเขาไม่กล้ากระทําการใดๆ แต่พวกเขาไม่เคยลืมความชั่วร้ายของมนุษย์ พวกเขาต้องการสร้างความขัดแย้งภายในเผ่ามนุษย์เพื่อเปิดโอกาสให้เผ่าของตนสามารถลุกขึ้น

 

ในอดีต อู๋ส่วยตัวจริงเคยเป็นสหายที่ดีกับผู้นําเผ่ากู้และสามารถสร้างข้อตกลงพันธมิตร คนผู้นั้นก็คือกู้เหลียง

 

นี่เป็นข้อตกลงที่อู๋ส่วยตัวจริงทิ้งไว้ เขาเตรียมมันไว้เพื่อนำเผ่ามนุษย์มังกรก้าวขึ้นสู่ความรุ่งโรจน์ ตอนนี้ฟางหยวนรับสืบทอดวังมังกร เป็นธรรมดาที่เขาจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้

 

หลังจากทั้งหมดฟางหยวนต้องการรวบรวมกองกำลังเพื่อจัดการกับวังสวรรค์

 

ขณะที่ร่างแยกมนุษย์มังกรอู๋ส่วยกำลังพูดคุยอย่างมีความสุขกับผู้นำเผ่ากู้ ในทะเลทรายตะวันตก หยางจื่ออี้และจางหยินก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน

 

“บึม”

 

หยางจื่ออี้โจมตีเป็นครั้งสุดท้าย

 

โอเอซิสที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็นซากปรักหักพัง

 

นี่เป็นแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่ของตระกูลฟาง มันถูกทำลายอย่างไม่สามารถกู้คืน

 

“เราควรไปได้แล้ว”

 

“นี่เป็นสถานที่แห่งที่สามที่เราทำลายตามคำสั่งของนายท่าน”

 

“มาตรวจสอบกันก่อน ดูว่าเราทิ้งเบาะแสใดไว้บ้างหรือไม่”

 

แม่ทัพมังกรทั้งสองตรวจสอบอย่างระมัดระวัง พวกเขาจากไปหลังจากแน่ใจว่าไม่ได้ทิ้งเบาะแสใดเอาไว้เบื้องหลัง

 

ตระกูลฟางตกสู่ความโกลาหลทันที

 

การสูญเสียแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่สามแห่งในหนึ่งวันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

 

โดยเฉพาะเมื่อท่ามกลางซากปรักหักพังมีบางค่าถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง มันกล่าวว่าตงลู่เฉินอยู่ที่นี่

 

ตงลู่เฉินคือผู้อาวุโสสูงสุดล่าดับที่หนึ่งของตระกูลตง ก่อนหน้านี้ตระกูลฟางแก้แค้นเขาโดยใช้คฤหาสน์วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการโจรกรรมขโมยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากแหล่งทรัพยากรของตระกูลตง

 

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าของตงลู่เฉินกลายเป็นมืดครื้ม “ช่างไร้ยางอายนัก! นี่คือสิ่งที่เรียกว่าฝ่ายธรรมะงั้นหรือ? พวกเขากล้าใส่ร้ายข้าและใช้วิธีต่ําช้าเช่นนี้ หากข้าเจอตัวคนร้าย ข้าจะไม่ปล่อยพวกเขาไป!”

 

แน่นอนว่าตงลู่เฉินไม่สงสัยฟางหยวน

 

นี่เป็นแผนการหว่านความขัดแย้ง หากตระกูลฟางเริ่มตอบโต้ตระกูลตง กองกำลังอื่นๆของทะเลทรายตะวันตกจะได้รับประโยชน์

 

ตงลู่เฉินไม่สามารถนั่งเฉย เขารีบส่งจดหมายถึงฟางกงทันที

 

ตระกูลฟางมีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา ฟางตี้เฉิง พวกเขาจไม่ตกลงสู่หลุมพรางของคนร้าย หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟางตี้เฉิงขอให้ฟางกงส่งจดหมายถึงตงลู่เฉินเพื่อร่วมมือกันค้นหาตัวผู้กระทำความผิด

 

นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาด

 

หลังจากตงลู่เฉินได้รับจดหมาย เขาพบปัญหาบางอย่าง

 

เขาตระหนักว่าตระกูลฟางพยายามผูกมัดและทำให้พวกเขาเป็นพันธมิตร

 

แต่ตงลู่เฉินก็ไม่ได้โง่

 

ตระกูลตกและตรกูลฟางมีอาณาเขตติดกัน เมื่อตระกูลฟางแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต พวกเขาจะกลืนกินดินแดนและผลประโยชน์ของตระกูลตง

 

อย่างไรก็ตาม หากเขาไม่พยายามตามหาตัวคนร้าย พวกเขาจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัย

 

ตงลู่เฉินครุ่นคิดก่อนจะตัดสินในเดินทางไปยังที่เกิดเหตุและพยายามค้นหาเบาะแสของคนร้ายพร้อมกับสมาชิกตระกูลฟาง

 

พวกเขาไม่สามารถค้นหาความจริง นี่ทำให้กองกำลังอื่นตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่พวกเขาไม่ได้ค้นหาความจริงต่อไป พวกเขาเพียงจำสิ่งนี้เอาไว้ในใจเท่านั้น

 

“ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สอง สถานการณ์เริ่มอันตรายมากขึ้น การปรับแต่งวังเมล็ดถั่วศักดิ์สิทธิ์เพียงลําพัง ทําให้เจ้าเหนื่อยเกินไปหรือไม่? ซวนปู้จีนเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา บางทีเขาอาจช่วยเจ้าแบ่งเบาภาระได้บ้าง” ฟางกงเสนอ

 

ฟางตี้เฉิงคิดเกี่ยวกับมันแต่ไม่สามารถตัดสินใจ “ให้ข้าคิดเรื่องนี้อีกสักพัก”

 

ภาคใต้

 

ในฐานทัพใหญ่ตระกูลเซี่ย เซี่ยชาถอนหายใจ

 

นางได้รับการปลดปล่อยจากฟางหยวน แม้นางจะมีร่างกายและดวงวิญญาณ แต่มิติช่องว่างของนางถูกฟางหยวนกลืนกินไปแล้ว

 

เซี่ยชาไม่ใช่ผู้อมตะระกับแปดอีกต่อไปแต่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา

 

แม้นางจะยังเป็นผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลเซี่ย แต่เซี่ยชารู้สึกว่าสถานะนี้เป็นเพียงเรื่องตลก

 

“ตอนนี้ข้ากลายเป็นคนพิการไปแล้ว!”

 

“แม้ข้าจะเคยเป็นผู้อมตะระดับแปด แล้วอย่างไร?

 

“ฟางหยวน เจ้ามีวิธีการที่น่าทึ่ง หากขาสามารถแก้แค้น ข้าจะถลกผิวหนัง ดึงเส้นเอ็น และบดขยี้กระดูกของเจ้า!”

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยชาก็ถอนหายใจอีกครั้ง

 

นางรู้ว่ามีความหวังในการแก้แค้นน้อยมาก

 

“ข่าวดี ข่าวดี ท่านหญิงเซี่ยชา!” เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้อาวุโสสูงสุดลับที่สามของตระกูลเชี่ยวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น

 

“ข่าวใด?” เซี่ยชาขมวดคิ้วถาม

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สามของตระกูลเซี่ยมอบวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับเซียชา “นี่คือจดหมายจากปีศาจฟางหยวน เขาส่งมันมาผ่านสวรรค์สีเหลือง”

 

เซี่ยชาหัวเราะเสียงเย็บ “ปีศาจตนนี้ชั่วร้ายและหลอกลาง ไม่เพียงเขาจะจับพวกเรา แต่เขายังแยกร่างกายกับดวงวิญญาณเพื่อกรรโชกทรัพย์พวกเราซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาสมควรตาย”

  

“ครั้งนี้แตกต่างออกไป ฟางหยวนเปลี่ยนวิธีใหม่” ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สามกล่าว 

 

เซี่ยชาสายศีรษะอย่างต่อเนื่อง

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามของตระกูลเซี่ยชากล่าวต่อ “ท่านหญิงเซี่ยชากล่าวได้ถูกต้อง ความตั้งใจของฟางหยวนเห็นได้ชัด เขาพึ่งรัดไถทรัพยากรอมตะบนเส้นทางแห่งโชค ดูเหมือนเขาจะต้องการหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งโชค แต่คราวนี้ข้อเสนอของเขาน่าสนใจมาก…”

 

“ข้อเสนอใด? มันเป็นการแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะงั้นหรือ” เซี่ยชาขมวดคิ้วก่อนโบกมือ “เจ้าไม่จำเป็นต้องรายเรื่องนี้กับข้อ ให้ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองจัดการ หากมันเป็นประโยชน์ต่อตระกูลลเรา เราจะแลกเปลี่ยนมัน”

 

“คราวนี้ฟางหยวนเสนอวิญญาณระดับมนุษย์”

 

“หือ เขาต้องการใช้วิญญาณระดับมนุษย์แลกเปลี่ยนกับวิญญาณอมตะงั้นหรือ?” 

 

ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สามของตระกูลเซี่ยยิ้ม “ท่านหญิงต้องดูสิ่งนี้ก่อน”

 

เซี่ยชาเย้ยหยัน “ฟางหยวนบ้าไปแล้วงั้นหรือ? เขาต้องการใช้วิญญาณระดับมนุษย์ แลกเปลี่ยนกับทรัพยากรอมตะจํานวนมาก ข้าอยากรู้นักว่ามันคือสิ่งใด!?”

 

“หือ!?” หลังจากอ่านจดหมาย การแสดงออกของเซี่ยชาเปลี่ยนไปทันที

 

นางผุดลุกขึ้นยืน “ข้อต้องได้รับวิญญาณระดับมนุษย์ดวงนี้ เราต้องนำมันมาโดยไม่คำนึงถึงราคา ฟางหยวนต้องการทรัพยากรอมตะบนเส้นทางแห่งโชคงั้นหรือ? ให้เขาทั้งหมด!”