ทันทีที่มาถึงเขตอำเภอซ่างหยวนและตระหนักว่าตนดึงดูดสายตาของทุกคนรอบตัว ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หากทราบว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงจะเปลี่ยนรูปลักษณ์สักหน่อย”
พลังของนางในเวลานี้ยังเทียบชั้นกับบรรดาจอมยุทธ์ของดินแดนมหาเทพไม่ได้และฉินอวี้โม่ก็ไม่ต้องการเผชิญกับปัญหาที่ไม่จำเป็น เพราะเหตุนั้นในช่วงนี้นางควรจะเก็บตัวสงบเสงี่ยมไว้ก่อน
ทว่าขณะกำลังจะเอ่ยถามทิศทางของตระกูลฉื่อจากใครสักคน คนกลุ่มหนึ่งก็ตรงเข้ามาล้อมรอบนางไว้อย่างรวดเร็ว
“จิ๊จิ๊ สตรีผู้นี้ช่างงดงามจริง ๆ หากได้สตรีผู้นี้กลับไปเป็นนางสนมลำดับที่ยี่สิบคอยรับใช้ข้าทุกวันคงจะเป็นความรู้สึกที่สุขสำราญมากแน่ ๆ !”
ผู้นำของกลุ่มคนเหล่านี้คือบุรุษหนุ่มที่มีอายุในช่วงยี่สิบปีซึ่งมีรูปร่างอ้วนและมีใบหูขนาดใหญ่ ด้วยรูปร่างอ้วนใหญ่ เกรงว่าเขาคงมีน้ำหนักมากถึงสองร้อยจินเลยทีเดียว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยก้อนไขมันจนแทบมองไม่เห็นดวงตาด้วยซ้ำ เวลานี้เขาสวมอารมณ์สีขาวและถือพัดด้ามจิ๋วในมือซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะดูสง่างามและน่ามอง ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่ออยู่บนร่างของเขา แม้ด้วยอาภรณ์และอุปกรณ์ที่ควรจะส่งเสริมให้มีสง่าราศี ทว่าเขากลับดูเหมือนก้อนไขมันที่กองขึ้นมาบนพื้นซึ่งดูน่าขันยิ่งนัก
“นั่นมันจูโหย่วจ้วงนี่นา !”
เมื่อบุรุษผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมา ทุกคนโดยรอบก็ล้วนจดจำเขาได้ทันที
จูโหย่วจ้วง—บุตรชายคนโตของตระกูลจูซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลในอำเภอซ่างหยวนและโด่งดังมีชื่อเสียงพอ ๆ กับฉื่อไท่หลางจากตระกูลฉื่อ
ตระกูลจูเป็นตระกูลที่ใหญ่โตและร่ำรวยทว่ามีสมาชิกไม่มากนัก และจูโหย่วจ้วงผู้นี้ก็เป็นบุรุษเพียงคนเดียวในบรรดาทายาทของตระกูลจู
แม้ฉื่อไท่หลางจะมีความยโสโอหังและทะนงตนเช่นกัน ทว่าเขามีเหตุมีผลและไม่ใช้กำลังบังคับขู่เข็ญผู้คน ในขณะที่จูโหย่วจ้วงผู้นี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตราบใดที่หมายปองสิ่งใด เขาก็จะต้องได้มันมาครองไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม
เนื่องจากตระกูลจูมีธุรกิจมากมายและมีจอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าในขอบเขตราชาเซียน นอกเหนือจากคนตระกูลฉื่อ ประชากรในอำเภอซ่างหยวนต่างก็หวาดหวั่นต่อจูโหย่วจ้วงผู้นี้มาก ต่อให้ถูกรังแกหรือดูถูกเหยียดหยามจนเจ็บปวดใจก็ไม่มีผู้ใดกล้ายืนหยัดต่อต้านเขาและทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืนไปเท่านั้น
“แม่เจ้า ! ช่างเป็นเคราะห์ร้ายของสตรีงามผู้นั้นจริง ๆ ไม่คิดว่าจะมาเจอมากับจูโหย่วจ้วง”
เจ้าของเสียงนี้คือหนึ่งในสตรีที่ชื่นชมในรูปลักษณ์ที่โดดเด่นงดงามของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ ทว่าในตอนนี้พวกนางตระหนักได้แล้วว่าการมีรูปลักษณ์งดงามชวนมองก็อาจมิใช่เรื่องดีเสมอไป ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาปกติธรรมดา พวกนางก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะงดงามจนไปสะดุดตาจูโหย่วจ้วง
“จูโย่วจ้วงงั้นรึ ? ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมกับเจ้าจริง ๆ”
* จูโย่วจ้วง (猪又壮) แปลว่า หมูแข็งแรง ออกเสียงคล้าย ๆ กับ จูโหย่วจ้วง (朱友壮)
ฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของทุกคนรอบตัวอย่างชัดเจนและแม้จะไม่รู้จักจูโหย่วจ้วงผู้นี้มาก่อน นางก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้จากวาจาของคนเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่หวาดหวั่นใจแม้แต่น้อย อำเภอซ่างหยวนเป็นเพียงอำเภอหนึ่งในที่ห่างไกลและย่อมไม่มีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าเกินจะรับมือ และตอนนี้ในเมื่อนางติดต่อกับซิวได้แล้ว ต่อให้ประจันหน้ากับจอมยุทธ์ในขอบเขตราชาเซียน แม้จะเอาชนะไม่ได้ นางก็สามารถหลบหนีออกไปได้อย่างไม่เป็นปัญหา
“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน ชื่อของข้าผู้นี้ไพเราะใช่รึไม่ ? ชื่อนี้เป็นชื่อที่ท่านพ่อของข้าขอให้ยอดฝีมือผู้เก่งกาจแต่งตั้งให้”
จูโหย่วจ้วงไม่ทันไตร่ตรองถึงความหมายในประโยคแรกของฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
“แน่นอน ในเมื่อเป็นยอดฝีมือก็ย่อมตั้งชื่อได้เหมาะสมกับรูปลักษณ์ที่สุด”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย บุรุษผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงหมูที่แข็งแรงเท่านั้น ทว่ายังโง่เขลาอีกด้วย และยังเป็นบุคคลที่เลวร้ายกว่าฉื่อไท่หลางมาก อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของเขาถือว่าอยู่ในระดับที่ดีโดยมีพลังในขอบเขตนภาเซียนซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาใช้โอสถและฝึกวิชาอยู่เป็นประจำ
สภาวะพลังของดินแดนมหาเทพแกร่งกล้ากว่าดินแดนเทพมายามากนักและผู้คนที่นี่ก็มีข้อได้เปรียบตั้งแต่กำเนิด ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หลอมโอสถและช่างหลอมของดินแดนนี้ก็เหนือชั้นจนดินแดนระดับต่ำเทียบไม่ติดและพวกเขายังมีโอสถมากมายนับไม่ถ้วนที่สามารถช่วยพัฒนาความรวดเร็วในการฝึกยุทธ์ได้ ด้วยความพร้อมอย่างรอบด้านเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของจูโหย่วจ้วงจึงมิใช่สิ่งที่น่าแปลกใจนัก
“นี่เจ้า…เจ้ากำลังบอกว่าข้าเป็นหมูงั้นรึ ?!”
ในที่สุดจูโหย่วจ้วงก็ตอบสนองได้และแสดงความโกรธแค้นออกมาทันที เขาจ้องมองฉินอวี้โม่ตาเขม็งพร้อมกับมีใบหน้าที่แดงก่ำ
น่าเสียดายที่รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้ดูโหดเหี้ยมหรือน่ายำเกรงเท่าใดนัก แม้จะถลึงตาอย่างหนัก แต่ไขมันบนใบหน้าก็ยังบดบังจนแทบมองไม่เห็นดวงตาเช่นเดิม
“ไม่หรอก หมูยังรู้จักตัวเองมากกว่าเจ้าเสียอีก”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าวต่อด้วยวาจาที่ทำให้คุณชายตระกูลจูโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
“นังแพศยานี่ ! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงกล่าววาจาดูหมิ่นข้าเช่นนี้ รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
จูโหย่วจ้วงเดือดดาลอย่างหนักก่อนโบกมือและตะโกนเสียงดัง “รีบจับตัวสตรีผู้นี้มาให้ข้า ข้าจะต้องทรมานนางอย่างสาสม !”
หากเป็นพฤติกรรมปกติของจูโหย่วจ้วง เขาก็คงจะสังหารฉินอวี้โม่ที่ริอาจดูหมิ่นเขาไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ด้วยรูปลักษณ์ที่งดงามโดดเด่นจนไม่อาจละสายตา เขาจึงตัดสินใจที่จะจับตัวนางกลับไปทรมานให้สาแก่ใจ หากคิดจะสังหารนางหลังจากนั้นก็ยังไม่ถือว่าสายเกินไป
คนอื่น ๆ ที่เข้ามาล้อมรอบฉินอวี้โม่ล้วนมีสีหน้าท่าทางที่มุ่งร้าย แน่นอนว่าผู้ที่ติดตามรับใช้คนอย่างจูโหย่วจ้วงได้ย่อมมิใช่คนดีเช่นกัน เมื่อเห็นแววตาหิวกระหายเหล่านั้น ซิวก็แทบอดไม่ได้ที่จะออกมาจากมิติเชื่อมอสูรและควักลูกตาคนพวกนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
ทุกคนในบริเวณนั้นก็แทบจะทนมองสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้เช่นกัน ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าแสดงตัวหรือกล่าวคัดค้านสิ่งใด หากทำให้คนตระกูลจูไม่พอใจขึ้นมา อย่าแม้แต่คิดเรื่องการอาศัยอยู่ในอำเภอซ่างหยวนต่อไปเลย เพราะการที่จะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น ทว่าในขณะที่นางกำลังจะตอบโต้ เสียงตะโกนกร้าวด้วยความไม่พอใจก็ดังขึ้นมาจากระยะไกล
“อย่าริอาจแตะต้องนางแม้แต่ปลายเส้นผม !”
ด้วยเสียงตะโกนดังสนั่น ฉื่อไท่หลางก็นำคณะผู้ติดตามตรงเข้ามาด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด
“เจ้าหมูแข็งแรง การที่ไม่ได้เจอหน้ากันเพียงไม่กี่วัน เจ้าอาจหาญถึงขั้นนี้แล้วรึ ? กล้าที่จะคุกคามแม้กระทั่งลูกพี่ของข้า !”
เขาเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่และยืนขวางหน้าเพื่อปกป้องนางไว้ขณะเอ่ยวาจาทะนงตนและจ้องหน้าจูโหย่วจ้วงตาเขม็ง
“เหอะ ฉื่อไท่หลาง อย่ามาวางมาดอวดเบ่งอยู่ที่นี่เลย เจ้าคิดว่าวาจาของเจ้าจะข่มขวัญข้าได้รึ ?”
จูโหย่วจ้วงไม่แสดงถึงความอ่อนแอใด ๆ ทั้งสองมีอายุไล่เลี่ยกันและมักต่อสู้ประจันฝีมือกันเป็นประจำ โดยส่วนใหญ่แล้วฉื่อไท่หลางมักจะเป็นฝ่ายชนะ อย่างไรก็ตาม จูโหย่วจ้วงเองก็เอาชนะได้หลายคราเช่นกันซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ไม่เลวร้ายจนเกินไป
“ลูกพี่ ท่านเป็นอะไรรึไม่?”
ฉื่อไท่หลางหันหลังกลับและเอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง สำหรับลูกพี่คนนี้ ไม่ว่าผู้ใดที่ริอาจทำให้นางขุ่นเคืองใจ เขาไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน
ตั้งแต่กลับมาถึงอำเภอซ่างหยวน เขาก็ส่งคนออกไปรอหน้าประตูเมืองในทุก ๆ วันเพื่อจะได้ทราบข่าวทันทีที่ฉินอวี้โม่มาถึง มิใช่ทุกคนที่เคยพบหน้าฉินอวี้โม่มาก่อน เพราะเหตุนั้นเขาจึงอธิบายเพียงว่าตราบใดที่พบเห็นสตรีที่งดงามอย่างไร้ที่ติเข้ามาในเมือง คนเหล่านั้นจะต้องรายงานให้เขาทราบโดยเร็วที่สุด
เนื่องจากไม่ได้รับข่าวจากฉินอวี้โม่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาจึงวางแผนที่จะส่งคนไปที่เมืองฉินเพื่อตรวจดูสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีเวลาทำเช่นนั้นผู้ติดตามคนหนึ่งก็เข้ามารายงานเขาว่ามีสตรีงดงามดุจเทพเซียนนางหนึ่งเข้ามาในเขตเมืองของอำเภอซ่างหยวน เมื่อได้ทราบเช่นนั้น ฉื่อไท่หลางก็รีบนำคณะผู้ติดตามของตนมุ่งหน้าออกมาที่นี่ทันทีและพบว่าจูโหย่วจ้วงนำกลุ่มคนเข้าล้อมรอบฉินอวี้โม่อย่างอุกอาจ
หากผู้ใดคิดรังแกหรือทำให้ ‘ลูกพี่’ ของเขาขุ่นเคืองใจ ฉื่อไท่หลางไม่มีทางปล่อยมันผู้นั้นไปอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาจึงรีบปรี่ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วและแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“นางเป็นลูกพี่ของเจ้ารึ ?”
จูโหย่วจ้วงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำเรียกที่ฉื่อไท่หลางใช้เรียกสตรีคนงามตรงหน้า ไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นี้จะเป็นที่เคารพนับถือของนายน้อยตระกูลฉื่อ
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เขามีเรื่องบาดหมางและต่อสู้กับฉื่อไท่หลางอยู่ตลอด เขาจึงทราบถึงสภาวะอารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ฉื่อไท่หลางมักวางตัวทะนงตนและไม่ก้มหัวยอมรับความพ่ายแพ้ต่อผู้ใด คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยอมรับสตรีร่างบางที่ดูอ่อนแอผู้นี้เป็นลูกพี่ หรือสตรีผู้นี้จะทรงพลังและมีอะไรมากกว่าที่เห็น ?
แม้ระดับสติปัญญาของจูโหย่วจ้วงจะไม่สูงนัก ทว่าเขาก็มิใช่คนโง่เขลาจนเกินไป เขาไตร่ตรองอย่างรวดเร็วและความโกรธแค้นที่มีต่อฉินอวี้โม่ก็เริ่มบรรเทาลงเล็กน้อย
“ใช่ นางคือลูกพี่เพียงคนเดียวของข้า ทำไม ? เจ้ามีปัญหาอะไรงั้นรึ ?”
ฉื่อไท่หลางพยักศีรษะและกล่าวยืนยันอย่างไม่ลังเล ทว่าทุกคนในที่แห่งนี้ก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ การที่ทำให้นายน้อยตระกูลฉื่อแห่งอำเภอซ่างหยวนยอมก้มหัวยอมรับเป็นลูกพี่ได้อย่างภาคภูมิใจ…สตรีผู้นี้เป็นใครกันแน่ ?
“เหอะ ข้าไม่สนใจหรอกว่านางเป็นใคร การที่นางกล่าววาจาดูหมิ่นข้า วันนี้ข้าจะต้องได้รับคำอธิบายจากนาง !”
สีหน้าทะนงตนของฉื่อไท่หลางทำให้จูโหย่วจ้วงโมโหยิ่งกว่าเดิม เขาแค่นเสียงเย็นชาและมองไปที่ฉินอวี้โม่ ไม่ว่าสตรีผู้นี้จะพิเศษเพียงใด ทว่าในอำเภอซ่างหยวนแห่งนี้ เขาในฐานะคุณชายใหญ่ของตระกูลจูซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของอำเภอย่อมเป็นผู้กุมอำนาจของที่นี่ ไม่มีใครที่จะกล่าววาจาดูหมิ่นเขาและรอดตัวออกไปได้ หากยอมปล่อยสตรีผู้นี้ไปง่าย ๆ จากนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ?
“เหอะ เจ้าหมูแข็งแรง อย่าไร้ยางอายไปหน่อยเลย คิดจะขอคำอธิบายจากลูกพี่ของข้ารึ ? เจ้าฝันกลางวันหรืออย่างไร ?”
ฉื่อไท่หลางขวางหน้าเพื่อปกป้องฉินอวี้โม่และจ้องหน้าจูโหย่วจ้วงตาเขม็งก่อนกล่าวต่อ “อีกอย่าง…เจ้าพาคนตั้งมากมารังแกลูกพี่ของข้าเช่นนี้ เจ้าเองก็ต้องอธิบายกับลูกพี่ของข้าเช่นกัน และข้าขอประกาศไว้ตรงนี้…หากเจ้าไม่ขอโทษลูกพี่ของข้าในวันนี้ เจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่ !”
ฉื่อไท่หลางเป็นคนมีหลักปฏิบัติและรักษาคำพูดอย่างยิ่ง ในเมื่อยอมรับนางเป็นลูกพี่ของตนแล้ว เขาก็ย่อมยืนเคียงข้างนางอย่างไม่มีเงื่อนไข การที่จูโหย่วจ้วงต้องการจับตัวฉินอวี้โม่กลับไปเป็นนางสนมลำดับที่ยี่สิบของตน นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจทนรับได้เลยสักนิด
ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกพึงพอใจกับการกระทำของฉื่อไท่หลางในครานี้เป็นอย่างมาก ในการประจันหน้ากันในวันนั้น นางรู้สึกได้ว่าฉื่อไท่หลางมิใช่คนที่เลวร้ายแต่อย่างใดและตอนนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าสิ่งที่นางคิดเป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้น นางเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดอย่างยิ่งในการรับ ‘น้องเล็ก’ ผู้นี้มา
“ฉื่อไท่หลาง ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
นางกล่าวขึ้นเบา ๆ และไม่ต้องการให้ฉื่อไท่หลางเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ ในฐานะนายน้อยของตระกูลฉื่อ เขาคือตัวแทนของตระกูลฉื่อทั้งหมด ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตระกูลฉื่อและตระกูลจูต้องมีปัญหากันทั้งที่ตนเพิ่งเข้ามาที่นี่ได้เพียงไม่นาน ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับน้องเล็กคนใหม่นี้ด้วย
“ลูกพี่ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ในเมื่อมาถึงอำเภอซ่างหยวนที่เป็นที่ตั้งของตระกูลฉื่อของเรา มีที่ไหนที่จะต้องให้ท่านลงมืออีก การที่สัมผัสกับสิ่งที่น่าขยะแขยงเช่นนี้มีแต่จะทำให้ท่านต้องแปดเปื้อนมือไปเปล่า ๆ”
ฉื่อไท่หลางกล่าวด้วยสีหน้าแววตาแน่วแน่ ในฐานะน้องเล็ก เขาจะปล่อยให้ฉินอวี้โม่ประจันหน้ากับอีกฝ่ายได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่สามารถปกป้องสตรีเพียงคนเดียวในอาณาเขตของอำเภอซ่างหยวนซึ่งเป็นถิ่นฐานของตน แล้วเขาจะเชิดหน้าชูตาในอำเภอซ่างหยวนอีกได้อย่างไร ?
“เหอะ ฉื่อไท่หลาง เจ้าคิดจะประกาศสงครามกับตระกูลจูเพียงเพื่อสตรีคนเดียวอย่างนั้นรึ ?!”
จูโหย่วจ้วงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “หากไม่อยากสร้างปัญหาให้กับตระกูลฉื่อของเจ้า ปล่อยให้ข้าพาตัวนางกลับไปเป็นสนมหรือให้นางคุกเข่าขอโทษข้าเสีย มิฉะนั้น…รอดูเถอะว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อตระกูลจูของข้ารู้เรื่องนี้ !”
เขาชำเลืองมองฉินอวี้โม่อย่างยั่วยุและกล่าววาจาข่มขู่อย่างเปิดเผย
“ฮ่า ๆ ๆ ตลกสิ้นดี ตระกูลฉื่อของเรากลัวพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ?”
ฉื่อไท่หลางไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อยและโบกมือส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าล้อมรอบกลุ่มของจูโหย่วจ้วงอย่างรวดเร็ว
“จูโหย่วจ้วง หากวันนี้เจ้าไม่กล่าวขอโทษลูกพี่ของข้า พวกเจ้าไม่มีทางรอดกลับไปแน่!”
วาจาของเขาฟังดูดุดันหนักแน่นซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะปกป้องฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น คณะผู้ติดตามที่ฉื่อไท่หลางนำมาครานี้มีจำนวนมากกว่าคนของจูโหย่วจ้วงเป็นสองเท่าซึ่งเป็นความได้เปรียบทั้งในด้านจำนวนคนและความแข็งแกร่งโดยรวม
แน่นอนว่าจูโหย่วจ้วงเองก็รับรู้ได้ถึงความจริงข้อนี้ดีและสีหน้าของเขากลายเป็นบิดเบี้ยวขึ้นมา
ในเวลานี้ บรรยากาศหน้าประตูเมืองก็กลายเป็นความตึงเครียดอย่างที่สุด…