เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1853 เด็กดี

 

“คู คู คู…”

 

เสียงนกดังอยู่บนท้องฟ้า ฝูงนกขนาดใหญ่ราวกับเมฆสีดำที่เคลื่อนเข้ามาใกล้เมืองภูผา

 

ในถ้ําสวรรค์นักรบอสูร เมืองภูผาเป็นหนึ่งในสิบสองเมืองที่พิเศษที่สุด

 

เมืองนี้สร้างขึ้นบนจุดสูงสุดของหน้าผา ผู้คนและพฤติกรรมทางสังคมของที่นี้ค่อนข้างมีเอกลักษณ์

 

“นกก้นอ้วนกลับมาแล้ว!”

 

“เร็ว เตรียมพร้อมสําหรับการป้องกัน!”

 

“ทุกคน อย่าตกใจ นักรบอสูรของเรากําลังมาก!”

 

เมืองภูผากําลังตกอยู่ในความโกลาหล

 

ฝูงนกก้นอ้วนส่งเสียงกรีดร้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองภูผา

 

พวกมันมีมงกุฎอยู่บนศีรษะ ร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยขนที่ยุ่งเหยิง กันของพวกมันใหญ่โตเป็นพิเศษ

 

ท่ามกลางฝูงนก ราชาวิหคมีร่างกายใหญ่โตเป็นสองเท่าของนกกันอ้วนธรรมดา มันมองเมืองภูผาก่อนจะปล่อยอึก้อนโตลงไป

 

อึก้อนโตที่ทั้งเหม็นและน่าขยะแขยงของมันมีขนาดเท่าบ้าน

 

“บึ้ม!”

 

เมื่อมันตกลงมา มันทําลายส่วนหนึ่งของกําแพงเมืองทันที

 

โชคดีที่มีคนอยู่ที่นั่นไม่มาก ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

 

“บึม บึม บึม!”

 

เมื่อราชาวิหคโจมตีเมืองภูผา ฝูงของมันก็เริ่มโจมตีเช่นกัน

 

มันเหมือนฝนตกหนัก แต่มันเป็นฝนอึ

 

บ้านเรือนจํานวนมากพังทลายลงและจมอยู่ในกอง แม้แต่รูปปั้นเจ้าเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองยังถูกปกคลุมไปด้วยอึนก

 

หลังการโจมตีระลอกแรก ราชาวิหคกระพือปีกพุ่งไปในอากาศพร้อมกับฝูงของมันก่อนที่พวกมันจะบินวนกลับมาอีกครั้ง

 

“นักรบอสูร โจมตี!” เป็นเพียงเวลานี้ที่หัวหน้ากองทหารที่ปกป้องเมืองภูผาตะโกนเสียงดังและนํากองทัพของเขาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเผชิญหน้ากับฝูงนกก้นอ้วน

 

การต่อสู้ครั้งใหญ่ปะทุขึ้นกลางอากาศ

 

“อินทรีย์น้อย ไปสู้ด้วยกัน! กล้หรือไม่?” เจิ้งปู้ตู๋ลอบออกจากคฤหาสน์ของเจ้าเมือง เขากล่าวกับอินทรีย์ หางศรที่เกาะอยู่บนไหล่ของเขา

 

อินทรีย์หางศรกรีดร้องด้วยความเย่อหยิ่งด้วยใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของมัน มันกระพือปีกและจกใบหน้าของเจิ้งปู้ตู๋อย่างแผ่วเบาราวกับมันโกรธท่าที่ดูถูกของเจ้านายของมัน

 

“เมื่อเจ้าไม่กลัว ข้าก็จะไปกับเจ้า!” เจิ้งปู้ตู๋ยิ้ม เขาดูเหมือนเด็กไร้เดียงสาแต่แท้จริงแล้วเขาคือร่างแยกของฟางหยวน เขาถูกรับมาเป็นศิษย์โดยเจ้าเมืองภูเขา เขาใช้เวลามากมายกับอินทรีย์วัยเยาว์ตัวนี้ ตอนนี้เขาเข้าใจมันเป็นอย่างดี ในสถานการณ์ปัจจุบัน อินทรีย์หางศรเต็มไปด้วยเจตจํานงแห่งการต่อสู้

 

“ไปกันเถอะ อินทรีย์น้อย!” เจิ้งปู้ตู๋ตะโกนเสียงดัง

 

อินทรีย์หางศรกรีดร้องและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับลูกศรก่อนจะบินกลับมาหาเจิ้งปู้ตู๋

 

เจิ้งปู้ตู๋ตะโกน “แปลงร่าง!”

 

เขากระตุ้นใช้วิญญาณ แสงสว่างส่องประกายขึ้น อินทรีย์หางศรหนุ่มพุ่งเข้าปะทะร่างของเจิ้งปู้ตู๋และหลอมรวมเป็นหนึ่ง

 

ร่างกายของเจิ้งปู้ตู๋ขยายใหญ่ขึ้นเป็นยักษ์สูงสามเมตร ศีรษะของเขาเปลี่ยนเป็นนกอินทรีย์ ปีกขนาดใหญ่งอกออกมาจากแผ่นหลัง แขนและขาของเขากลายเป็นกรงเล็บอินทรีย์

 

มนุษย์อินทรีย์เจิ้งปู้ตู๋กระพือปีกบินเข้าสู่สนามรบทันที

 

“นั่นเสี่ยวตู๋ เขาแอบออกไปต่อสู้ เด็กคนนี้!” หญิงวัยกลางคนมองเจิ้งปู้ตู๋จากระยะไกลด้วยความกังวล

 

นางเป็นลูกสะใภ้ของเจ้าเมืองภูผา นางเคยมีบุตรชายผู้หนึ่งแต่เขาตายตั้งแต่ยังเด็ก

หลังจากเจ้าเมืองภูผารับเจิ้งปู้ตู๋มาเป็นศิษย์ เขากลายเป็นสมาชิของครอบครัวนี้อย่างรวดเร็ว หญิงงามวัยกลางคนผู้นี้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรมและมอบความรักทั้งหมดของนางที่มีต่อบุตรที่เสียชีวิตไปให้กับเจิ้งปู้ตู๋

 

ด้านข้างนางเป็นชายวัยกลางคน เขาเหลือเพียงร่างกายส่วนบน ร่างกายส่วนล่างของเขาถูกตัดออกอย่างสมบูรณ์ แต่ใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตอนนี้เขาดูค่อนข้างร่าเริง

 

เขามองเจิ้งปู้ตู๋และสรรเสริญ “ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กคนนี้ช่างชอบการต่อสู้นัก เขาเต็มเต็มความคาดหวังของอาจารย์ ท่านพ่อ ท่านมีศิษย์ที่ดี”

 

“เขาก็เป็นบุตรของเจ้าเช่นกัน” เจ้าเมืองภูผาลูบเคราของตนอย่างมีความสุข

 

เดิมทีเขารับเจิ้งปู้ตู๋มาโดยบังเอิญเพราะอินทรีย์หางศรเห็นเจิ้งปัติเป็นครอบครัวของมัน เจ้าเมืองไม่สามารถแยกทั้งสองออกจากกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าเมืองภูผากลับพบว่าเจิ้งปู้ตู๋มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก

 

เจิ้งปู้ตู๋ทํางานอย่างหนักและทําให้เจ้าเมืองภูผาพอใจมาก สิ่งสําคัญที่สุดคือบุคลิกของเจิ้งปู้ตู๋ เขาเป็นคนกล้าหาญและใจดี เขาเหมือนแสงอาทิตย์ที่มอบความอบอุ่นให้กับหัวใจของผู้คน

 

“ระวัง!” บนท้องฟ้า เจิ้งปู้ตู๋ตะโกนและเร่งความเร็ว

 

เขาใช้กรงเล็บส่งใบมีดสายลมออกไปสังหารนกก้นอ้วนตัวหนึ่ง

 

“ขอบคุณมาก เสี่ยวตู๋” นักรบอสูรที่ได้รับความช่วยเหลือรู้สึกซับซ้อน

 

ในช่วงเวลาปกติเขามักดูถูกเจิ้งปู้ตู๋ เขาจะหัวเราะกับความอ่อนแอของฝ่ายหลังและกล่าวว่ามันเป็นเพียงเพราะความโชคดีของเขา

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนความสามารถในการต่อสู้ของเจิ้งปัญ์จะเหนือกว่าเขาไปแล้ว เจิ้งปู้ตู๋ยังช่วยชีวิตเขาโดยไม่สนใจความขัดแย้งในอดีต

 

“อย่าคิดมาก พวกเราเป็นสมาชิกเมืองภูผาเช่นเดียวกัน” เจิ้งปู้ตู๋กล่าว

 

หลังจากได้ยินถ้อยคําเหล่านี้ นักรบอสูรผู้นั้นยิ่งรู้สึกซับซ้อนมากขึ้น

 

“จัดกลุ่มใหม่และปกป้องเมือง!” เจิ้งปู้ตู๋กระตุ้น

 

“ตกลง!” นักรบอสูรพยักหน้าและเข้าสู่การต่อสู้ที่ดุเดือดอีกครั้ง

 

เจ้าเมืองภูผาเห็นฉากนี้และต้องประเมินเจิ้งปู้ตู๋ใหม่

 

“เด็กคนนี้” หญิงวัยกลางคนยกคิ้วขึ้น “ข้าจะจัดการเขาเมื่อเขากลับมา!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนรถเข็นหัวเราะร่าเริง

 

เจ้าเมืองภูผาพยักหน้าเบาๆโดยไม่กล่าวสิ่งใด

 

“หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ความประทับใจของทุกคนที่มีต่อข้าจะดีขึ้นอีกมาก เจิ้งปู้ตู๋ลอบวิเคราะห์สถานการณ์อย่างสงบ

 

นักรบอสูรรู้สึกขอบคุณเขา แต่ความจริงก็คือเจิ้งปู้ตู๋ก็รู้สึกขอบคุณฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน

 

“หากไม่มีคนเช่นเขา ข้าจะแสดงบุคลิกที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?

 

ในฐานะศิษย์ของเจ้าเมือง เขาทําให้หลายคนรู้สึกอิจฉา

 

ฟางหยวนเข้าใจความคิดของทุกคนและตั้งใจเลือกศัตรูที่ดูชั่วร้ายแต่ไม่เป็นอันตรายต่อเขาจริงๆ

 

หลังจากเขาพบศัตรูที่ดูเหมือนบังเอิญ พวกเขาก็ทะเลาะกันด้วยวาจาก่อนจะพัฒนาสู่การต่อสู้ในที่สาธารณะ

 

เขากลับบ้านด้วยรอยฟกช้ำและขอให้เจ้าเมืองภูผาฝึกฝนเขาอย่างเข้มข้นมากขึ้นโดยไม่อธิบายเหตุผล ด้วยวิธีนี้เจ้าเมืองภูผาจึงต้องตีความด้วยตัวเขาเอง

 

แรกเริ่มฟางหยวนต้องการใช้ศัตรูผู้นี้เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ด้วยภัยพิบัตินกก้นอ้วน มันทําให้เขาได้รับโอกาส

 

เมื่อโอกาสปรากฏขึ้นตรงหน้า เจิ้งปู้ตู๋ก็ใช้โอกาสนี้ช่วยเหลือศัตรูของเขาภายใต้การเฝ้ามองของทุกคน

 

หลังจากเข้ามาที่นี่ ขาโชคดีเสมอ ดูเหมือนร่างหลักจะมีความสําเร็จบนเส้นทางแห่งโชคมากขึ้น เขาช่วยข้าได้มาก

 

หลังการต่อสู้อันดุเดือด ฝูงนกกันอ้วนพ่ายแพ้

 

การแสดงของเจิ้งปู้ตู๋โดดเด่นมาก เขาเกือบฆ่าราชาวิหคแต่เจ้าเมืองตะโกนบอกให้เขาหยุด

 

หลังการต่อสู้ครั้งนี้ เจิ้งปู้ตู๋ไปถามเจ้าเมืองด้วยความสับสน “ท่านปู่ เหตุใดท่านจึงไม่ให้ข้าฆ่าราชาวิหคที่ดุร้ายตัวนั้น? หากไม่มีมัน เมืองภูผาของเราจะไม่พบหายนะนี้อีก”

 

“เสี่ยวตู๋” เจ้าเมืองภูผาตบศีรษะเจิ้งปู้ตู๋เบาๆและกล่าวด้วยความยินดี “แม้เจ้าจะฆ่าราชาวิหคตัวนี้ พวกมันก็จะเลือกราชาตัวใหม่”

 

“แล้วเหตุใดท่านปู่ไม่จัดการพวกมันด้วยตนเอง? ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ท่านสามารถกวาดล่างพวกมันทั้งหมด” เจิ้งปู้ตู๋ถามอย่างไร้เดียงสา

 

เจ้าเมืองภูผายิ้ม “นั่นเป็นเพราะอื่นกเป็นสิ่งที่ดี มันจะทําให้ที่นี่อุดมสมบูรณ์ ในความเป็นจริงขบวนสินค้าจํานวนมากต้องการแลกเปลี่ยนสินค้าของพวกเขากับอื่นกของพวกเรา”

 

“เป็นเช่นนั้น? อึที่เหม็นเน่าเป็นสมบัติ!” เจิ้งปู้ตู๋แสดงออกด้วยความประหลาดใจ

 

เจ้าเมืองภูผาหัวเราะ “เสี่ยวตู๋ ปู่สอนเจ้าไปแล้วว่าอย่าตัดสินตําราจากหน้าปกของมัน เจ้าไม่สามารถมองเพียงรูปลักษณ์ของสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะจดจําคําสอนของท่านปู่เอาไว้” เจิ้งปู้ตู๋พยักหน้า

 

“อืม เด็กดี” เจ้าเมืองภูผาเผยรอยยิ้มและคิดกับตนเอง นอกเหนือจากนั้นยังมีเหตุผลอื่น แต่เจ้ายังเด็กเกินไป มันยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะเรียนรู้เหตุผลเหล่านั้น

 

หลังจากบอกลาเจ้าเมืองภูผา ฟางหยวนก็ออกจากคฤหาสน์เจ้าเมือง

 

คฤหาสน์ของเจ้าเมืองใหญ่โตเหมือนเมืองในเมือง

 

ในเมือง ผู้คนเริ่มฟื้นฟูเมืองของพวกเขาแล้ว ภัยพิบัตินกก้นอ้วนทําให้ร่างแยกเจิ้งปู้ตู๋ของฟางหยวนมีชื่อเสียง นอกจากนั้นมันยังทําให้เขาเข้าใจถ้ําสวรรค์นักรบอสูรมากขึ้น

 

ราชานกก้นอ้วนเป็นจักรพรรดิ์อสูร มันมีความแข็งแกร่งเท่ากับผู้ใช้วิญญาณระดับห้า ข้าเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง แต่ด้วยพลังของอินทรีย์หางศร หลังจากรวมร่างกับมัน ความแข็งแกร่งของข้าจึงเหนือกว่าจักรพรรดิอสูรตัวนี้ พลังการต่อสู้ในสวรรค์แห่งนี้ได้รับมาอย่างง่ายดาย ดังนั้นการบ่มเพาะรูปแบบดั้งเดิมของผู้ใช้วิญญาณจึงไม่ได้รับความนิยม

 

“หากการบ่มเพาะรูปแบบดั้งเดิมเฟื่องฟู เมืองแห่งนี้จะมีคฤหาสน์วิญญาณหลายหลังเป็นป้อมปราการ ฝูงนกก้นอ้วนจะไม่สามารถสร้างหายนะเช่นนี้”

 

“อย่างไรก็ตามมันมีผลประโยชน์ซ่อนอยู่ในภัยพิบัติ”

 

“เมืองภูผาตั้งอยู่บนหน้าผา ล้อมรอบด้วยภูเขาหิน พวกเขาต้องใช้มูลนกในการเพาะปลูก มูลนกเป็นทรัพยากรที่ดึงดูดขบวนสินค้าจากแดนไกลให้เข้ามาค้าขายที่นี่

 

“เมืองภูผายังสามารถใช้การทดสอบนี้เพื่อคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถ แรงกดดันจากภายนอกจะส่งเสริมความสามัคคี ชาวเมืองจะเกิดศรัทธาในตัวผู้ปกครอง”

 

ท่าไม้ตายอมตะกลืนกินสิ่งมีชีวิตส่งผลกระทบต่อสวรรค์ทั้งหมด ผู้ใช้วิญญาณสามารถใช้พลังอํานาจของมันเพื่อแปลงร่าง กระบวนการนี้ต้องการให้พวกเขาใช้อารมณ์เชิงบวก ดังนั้นนักรบอสูรส่วนใหญ่จึงมักเป็นคนอารมณ์ดี

 

“แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้คนที่นี่ไร้เดียงสา ตัวตนระดับสูงมีความสามารถและเจ้าเล่ห์เช่นกัน”

 

ฟางหยวนคิดเรื่องเหล่านี้ขณะที่เขาออกไปที่เมืองชั้นนอก

 

“อา…ท่านเจิ้งปู้ตู๋”

 

“นายน้อยเจิ้งปู้ตู๋”

 

“คารวะนายน้อย!”

 

“นายน้อยต่อสู้อย่างกล้าหาญ พวกเราเห็นท่านจากที่นี่”

 

ระหว่างทาง ฟางหยวนได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกคน

 

เขาเผยรอยยิ้มและเกาศรษะด้วยความเขินอาย “ทุกคน อย่าเรียกข้าว่านายน้อยหรือนายท่าน โปรดเรียกข้าว่าเสี่ยงตู๋”

 

“ท่านลุง ให้ข้าช่วยท่าน” ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหาชายชราและฉกพลั่วมาจากมือของเขา

 

“ท่านลุง ท่านควรพักผ่อน ข้าจะช่วยขุดอื่นกเหล่านี้” ฟางหยวนกล่าว

 

“โอ้ เสี่ยวตู๋ เจ้ามาช่วยข้าอีกแล้ว เด็กดี เด็กดี” ชายชรากล่าวด้วยดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดง

 

แม้เจิ้งปู้ตู๋จะเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองและมีสถานะพิเศษ แต่เขากลับออกมาช่วยเหลือชาวบ้านโดยไม่คํานึงถึงสถานะและไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อยหรือสกปรก ทําให้ผู้คนรู้สึกชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก

 

ฟางหยวนทํางานและคิด ดูจากเวลา มันใกล้ถึงเวลาที่ร่างหลักของข้าจะดําเนินการแล้ว ความก้าวหน้าของข้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ในเวลาอันสั้น ร่างหลักต้องส่งภัยพิบัติสัตว์อสูรลงมาขณะที่ข้าต้องร่วมมือกับเขา

 

ภัยพิบัติสัตว์อสูรจากร่างหลักจะไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยเช่นภัยพิบัตินกก้นอ้วน

 

ขณะที่ชาวเมืองกําลังยกย่องเขา พวกเขาไม่รู้ว่าฟางหยวนกําลังวางแผนชั่วที่เป็นภัยคุกคามต่อถ้ําสวรรค์นักรบอสูรทั้งหมด