บทที่ 759 ในจดหมายบอกมาว่าอย่างไร?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 759 ในจดหมายบอกมาว่าอย่างไร?

“แต่อย่างไรพวกเราก็เสียชีวิต”

เหลียงหยวนเตาเงยหน้าขึ้นมาอย่างแช่มช้า “กว่าจะฝึกฝนมือปราบอินทรีธูมรณะได้แต่ละคนต้องลำบากยากเข็ญขนาดไหน ความตายของพวกเขาย่อมส่งผลกระทบใหญ่หลวง ยิ่งไปกว่านั้น การสังหารครั้งนี้คือการไม่ให้เกียรติข้าโดยสิ้นเชิง หากข้าปล่อยให้หลินเป่ยเฉินลอยนวลไปโดยไม่เอาผิด ข้ามิกลายเป็นตัวตลกในสายตาชาวเมืองเอาหรือ? ต่อจากนี้ไป ทุกคนคงคิดว่ามือปราบอินทรีธูมรณะเป็นสุนัขข้างถนนจะสามารถฆ่าแกงอย่างไรก็ได้แล้วกระมัง”

ขันทีเฒ่าเซียวเซียวรีบพูดว่า “กราบเรียนนายท่าน นอกจากจดหมายขอโทษแล้ว หลินเป่ยเฉินยังได้มอบเงินชดเชยให้พวกเราอีกหนึ่งล้านเหรียญทองคำ และเขายังเสนอว่าจะบริจาคเงินให้กับทางจวนผู้ว่าอีกเดือนละห้าแสนเหรียญทองคำเป็นเวลาหนึ่งปี รวมถึงเขาจะยอมมอบสูตรการหลอมโอสถโอสถเป่ยเฉินอีกด้วยขอรับ…”

“หืม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวเซียว เหลียงหยวนเตาก็เลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ ถึงกับหยุดรับประทานขาหมูอย่างกะทันหันเพื่อพูดว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ถึงกับยอมสละเงินทองเพื่อเอาชีวิตรอดเชียวหรือนี่ เหอเหอเหอ มิหนำซ้ำ ถึงกับยอมส่งมอบสูตรหลอมโอสถเป่ยเฉินให้กับพวกเราอีก ในเมื่อหลินเป่ยเฉินแสดงออกถึงความจริงใจเช่นนี้ บางทีข้าคงต้องไว้ชีวิตเขาแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า…”

พูดมาถึงตรงนี้ ชายอ้วนก็ยกมือโบกสะบัด และออกคำสั่งว่า “เจ้าไปเตรียมพิธีรอต้อนรับหลินเป่ยเฉิน เมื่อเขาเอาหัวของเกาเฉิงฮั่นมาส่งมอบ เราจะต้อนรับเขาให้ยิ่งใหญ่อลังการที่สุด”

ขันทีเฒ่าประสานมือรับคำสั่งด้วยความเคารพ ก่อนจะถอยกายกลับออกไปจากห้องทำงานของท่านผู้ว่าในตำหนักต้าหลง

เมื่อกลับออกมาจากห้องนั้นแล้ว รอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าชายชราทันที

เขาต้องยกมือนวดกล้ามเนื้อบนใบหน้าขณะเดินออกมาอย่างเร็วไว เมื่อกลับมาถึงห้องพักของตนเอง เซียวเซียวจึงได้รีบปิดประตูและวิ่งไปเกาะขอบถังไม้ใบหนึ่ง ก่อนจะอาเจียนทุกสิ่งทุกอย่างที่รับประทานไปก่อนหน้านี้ลงไปในถังไม้ใบนั้นอย่างหมดไส้หมดพุง

แม้แต่น้ำดีก็แทบไม่มีเหลือติดกระเพาะอีกแล้ว

เซียวเซียวใช้แขนเสื้อปาดริมฝีปาก

ก่อนจะยกมือนวดใบหน้า

เงาสะท้อนในกระจกกลับมามีรอยยิ้มประจบประแจงอีกครั้ง

เป็นทักษะการฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบ

ไม่รู้เลยว่าขันทีเฒ่าฝึกยิ้มอยู่หน้ากระจกมายาวนานกี่สิบปีแล้ว

หลังจากใช้เวลาฝึกยิ้มอยู่หน้ากระจกชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วยชายชราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เป็นชุดที่ปราศจากกลิ่นอาเจียนติดตัว และก้าวเดินออกไปนอกตำหนักต้าหลง

เว่ยหมิงเซวียนยืนรออยู่ที่ด้านนอกพร้อมกับคนของป้อมอสรพิษหลายร้อยคน เมื่อเห็นขันทีเฒ่าเดินเข้าไปหา ชายหนุ่มก็รีบยกมือทักทาย

ต่อให้ใจจริงจะนึกดูถูกดูแคลนชายชราผู้นี้สักแค่ไหน แต่เว่ยหมิงเซวียนก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับเหลียงหยวนเตามาอย่างยาวนานหลายสิบปี สถานะจึงสูงส่งกว่าขันทีทั่วไป และเว่ยหมิงเซวียนก็ได้ล่วงรู้ความลับอีกอย่างเช่นกันว่าขันเฒ่าที่มีท่าทางเชื่อง ๆ คนนี้ ความจริงกลับมีฝีมือด้านวรยุทธ์ไม่ต่ำต้อย

ยามที่ส่งยิ้มให้แก่เว่ยหมิงเซวียน รอยยิ้มของของเซียวเซียวก็มีแต่ความโอหังและอวดดีเท่านั้น

เพราะรอยยิ้มประจบประแจงของเขา ไม่เคยมีให้ใครนอกจากเหลียงหยวนเตาเพียงผู้เดียว

ส่วนสำหรับบุคคลภายนอก ขันทีผู้นี้มีภาพลักษณ์เย็นชาปราศจากอารมณ์ความรู้สึก

เซียวเซียวยกมือโบกสะบัด

เว่ยหมิงเซวียนรู้ดีว่านั่นคือสัญญาณออกคำสั่งให้คนของป้อมอสรพิษแยกย้ายกระจายกำลังกันไปซุ่มอยู่ในป่ารอบ ๆ ตำหนักต้าหลง

นอกจากนี้ ยังมีมือปราบอินทรีธูมรณะนับพันนายกระจายกำลังซุ่มอยู่โดยรอบเช่นกัน ซ้ำยังมีการสร้างค่ายอาคมสังหาร วางกับดักไว้รอบ ๆ ตำหนักต้าหลงอย่างหนาแน่น เพื่อเป็นการป้องกันหากเกาเฉิงฮั่นบุกมาที่นี่ เขาก็จะต้องติดกับดักเหล่านี้แน่นอน

แผนการสังหารถูกจัดเตรียมพร้อมแล้ว

แค่รอคอยให้หลินเป่ยเฉินมาถึงเท่านั้นเอง

ดวงอาทิตย์ลอยตัวขึ้นมาจากทิศตะวันออก

ท้องฟ้าแจ่มใส

พายุหิมะผ่านพ้นไปแล้ว

นี่คือวันแรกที่ไม่มีหิมะตก

แสงแดดสาดส่องไปบนพื้นผิวหิมะที่กองทับถมอยู่บนพื้นดินเกิดเป็นประกายระยิบระยับลายตา

อากาศหนาวเย็น สายลมคมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่

ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 เป็นศูนย์

รถม้าคันหนึ่งแล่นเข้าไปยังค่ายผู้อพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

หลังจากนั้นไม่นาน เกิดคลื่นพลังกดดันแผ่ออกมาจากด้านในค่ายผู้อพยพ แต่กระแสพลังเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

กาลเวลาผ่านไป ล่วงเลยเข้าสู่ยามบ่าย ค่ายผู้อพยพยังอยู่ในความเงียบสงบ…

ห่างออกมา 50 ลี้ที่ด้านนอกตำหนักต้าหลง ขันทีเฒ่ายืนรอคอยอยู่ในความเงียบตลอดเช้า

แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้มาปรากฏตัว

จนกระทั่งเงาของชายชราย้ายจากฝั่งซ้ายมาอยู่ฝั่งขวา ดวงตะวันเริ่มลอยตัวต่ำไปทางทิศตะวันตก ขันทีเฒ่าจึงได้หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนักต้าหลง ก่อนจะเดินผ่านเฉลียงทางเดินที่วกวนคดเคี้ยวอีกหลายชั้น และเข้าสู่ห้องทำงานของท่านเจ้าเมืองในที่สุด

บัดนี้ เหลียงหยวนเตายังคงรับประทานอาหาร

กลิ่นเนื้อตุ๋นโชยขึ้นมาจากหม้อไฟที่มีควันสีขาวลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง

“นายท่านขอรับ หลินเป่ยเฉินส่งจดหมายมาอีกฉบับแล้วขอรับ”

ชายชราประคองจดหมายด้วยสองมือยื่นส่งออกไปข้างหน้า

“อ่านให้ข้าฟัง”

เสียงของเหลียงหยวนเตาดังตอบกลับมาจากด้านหลังม่านควันขาวด้วยความขุ่นเคืองใจ

เซียวเซียวเปิดซองจดหมาย แต่เมื่อเห็นข้อความที่เขียนอยู่บนกระดาษ เขาก็ได้แต่ฝืนยิ้ม ไม่กล้าอ่านออกมาแม้แต่คำเดียว “กราบเรียนนายท่าน จดหมายฉบับนี้… หยาบคายเป็นอย่างยิ่ง”

“เฮอะ งั้นก็ไม่ต้องอ่าน”

เหลียงหยวนเตากลับไปให้ความสนใจที่หม้อไฟตรงหน้าตนเอง “เจ้าสรุปใจความสำคัญมาก็พอ ในจดหมายบอกมาว่าอย่างไร?”

ขันทีเฒ่ากวาดสายตาอ่านจดหมายอีกรอบหนึ่ง ก็พูดว่า “หลินเป่ยเฉินบอกว่าเกาเฉิงฮั่นตายแล้วขอรับ แต่หัวของเกาเฉิงฮั่นมีน้ำหนักมากเกินไป เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายมาได้ หากนายท่านมีความกล้าหาญมากพอ ก็ให้เดินทางไปรับหัวของเกาเฉิงฮั่นด้วยตนเองที่ค่ายผู้อพยพขอรับ”

ปัง!

เหลียงหยวนเตาตบโต๊ะอย่างแรงพร้อมกับพูดว่า “เด็กน้อยนั่นหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ ”

เขามั่นใจว่าเนื้อหาในจดหมายต้องมีความหยาบคายมากกว่าที่เซียวเซียวอ่านออกมาหลายร้อยเท่า

เซียวเซียวตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“สั่งให้คนไปตัดหัวไต้จือฉุนมาเดี๋ยวนี้”

เหลียงหยวนเตายิ้มอย่างอำมหิตและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกคน มือปราบทุกนาย ยอดฝีมือจากทุกสำนัก ขุนนางใหญ่ทุกตระกูล ไม่ว่าจะเป็นผู้คนของสถานการค้า สถานพนัน ตลอดไปจนถึงสถานศึกษาใด ๆ … ภายในอีกครึ่งชั่วยาม

ขอให้พวกเขาไปรวมตัวกันที่หน้าทางเข้าค่ายผู้อพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่ง เพราะข้าอยากจะเชิญให้ทุกคนมาร่วมเป็นสักขีพยานต่อการแสดงสุดแสนพิเศษครั้งนี้”