บทที่ 1725 ควรพูดเหตุผลของพวกฉันได้แล้ว / บทที่ 1726 อัดจนกว่าจะยอม

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 1725 ควรพูดเหตุผลของพวกฉันได้แล้ว

“หึๆ ก่อนหน้านี้พูดแล้วว่าหนึ่งหมื่นคือเงินต้น บ้านหลังนี้คือดอกเบี้ย” ชายวัยกลางคนหัวเราะหยันพร้อมเอ่ย

เยี่ยหวันหวั่นมองชายวัยกลางคน เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ความหมายคุณคือ เงินต้นหนึ่งหมื่นต้องใช้บ้านหนึ่งหลังเป็นดอกเบี้ย”

“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว พวกเราเป็นพวกปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงนะ คุณรู้ว่าอะไรเรียกว่าเงินกู้ดอกเบี้ยสูงไหม…นี่ไงเรียกว่าเงินกู้ดอกเบี้ยสูง มีเหตุผลใช่หรือเปล่า” ชายวัยกลางคนมองเยี่ยหวันหวั่น

“เชี่ย พวกนายแม่งหน้าเลือดกว่าพวกฉันอีก” เป่ยโต่วชูนิ้วโป้งให้ชายวัยกลางคน

ตอนอยู่ที่รัฐอิสระ พันธมิตรอู๋เว่ยพวกเขาก็หน้าเงินพอแล้ว พอมาประเทศจีนถึงเพิ่งค้นพบว่าถึงกับยังมีคนที่หน้าเลือดกว่าพวกเขาอีก เงินหนึ่งหมื่น ดอกเบี้ยกลับจะเอาคฤหาสน์หนึ่งหลังไป

“เอาตามที่พวกคุณว่า นั่นก็มีเหตุผลมากจริงๆ ” เยี่ยหวันหวั่นพยักหน้าน้อยๆ

ได้ยินคำพูดของเยี่ยหวันหวั่น ทุกคนในที่นั้นต่างตะลึงงัน โดยเฉพาะเหลียงหวั่นจวิน ไม่เข้าใจว่าเยี่ยหวันหวั่นคิดอะไรแม้แต่น้อย

“ให้บ้านพวกคุณก็ได้ นี่ไม่มีปัญหา” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มเอ่ยอย่างรวดเร็ว

“หึๆ ค่อยรู้เรื่องรู้ราวหน่อย” ชายวัยกลางคนเอ่ย “ขอแค่ให้บ้านพวกเรา พวกเราก็จะไปจากที่นี่ จากนี้ก็จะไม่มาอีกแล้ว”

“อยากไปเหรอ ไม่ต้องรีบ” เยี่ยหวันหวั่นส่ายหน้า

“งั้นคุณยังมีคำแนะนำอะไร” ชายวัยกลางคนเอ่ย

“แน่นอนว่าต้องมี คุยเหตุผลของพวกคุณจบแล้ว…ตอนนี้ก็ควรคุยเหตุผลของพวกฉันได้แล้ว” เยี่ยหวันหวั่นจ้องชายวัยกลางคน มุมปากยกขึ้นน้อยๆ วาดเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย

“เหตุผลของพวกคุณ?” ได้ยินดังนั้นชายวัยกลางคนชะงักเล็กน้อย อีกฝ่ายยังมีเหตุผลอะไร

“พวกนายบุกรุกบ้านส่วนบุคคลแถมยังมัดแม่ฉันไว้บนเก้าอี้ ฉันกับแม่ได้รับความหวาดกลัว ต้องการเงินหนึ่งร้อยล้านเป็นค่าชดเชย นี่ ก็คือเหตุผลของพวกฉัน” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย

ทันทีที่เยี่ยหวันหวั่นพูดประโยคนี้ออกมา พวกชายวัยกลางคนก็ตะลึงงันอยู่กับที่

เสียงระเบิดหัวเราะดังออกมาจากในคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

“สาวน้อย เธออาศัยอะไรมากร่างแบบนี้ฮะ” พวกชายวัยกลางคนถามเยี่ยหวันหวั่น

“อาศัยอะไร? ” เยี่ยหวันหวั่นหัวเราะเสียงเย็น “อาศัยที่พวกเราเป็นโจรไง”

“ฮ่าๆ พวกเธอที่แก่หงำอ่อนแอพิการเนี่ยนะ!” ชายวัยกลางคนยิ้มด้วยความอวดดี

แต่ทว่า สิ้นเสียงของชายวัยกลางคน ผู้อาวุโสสามก็หน้าดำทะมึน เห็นแค่ว่าผู้อาวุโสสามเหวี่ยงฝ่ามืออกไป ตบหน้าของชายวัยกลางคนดังเพียะ

วินาทีถัดมา ร่างกายของชายวัยกลางคนลอยลิ่วออกไปกระแทกกำแพงอย่างหนักหน่วงในพริบตา

“ฮ่าๆ พี่สาว ผมออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณ”

ผู้อาวุโส ใหญ่เดินมาข้างเหลียงหวั่นจวินก่อนประคองเหลียงหวั่นจวินเดินออกคฤหาสน์ไป

“ผู้อาวุโสสาม ดูสิ นี่แหละคือจุดที่คุณไม่ดีเท่าผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่เขาฉลาดกว่า มีสมองกว่าคุณเยอะเลยนะ!” เป่ยโต่วมองผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ด้านข้างและยิ้มเอ่ยปาก

ได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสสามถลึงตาแรงใส่เป่ยโต่ว “แกเจ้าโง่นี่ ยังมาถกเรื่องสมองกับฉัน!?”

เป่ยโต่วพูดไม่ออก

เหมือนถูกผู้อาวุโสกดหัวอีกครั้ง ผู้อาวุโสสามจึงระบายความโกรธที่สุมอกทั้งหมดใส่พวกปล่อยเงินกู้

แค่ช่วงเวลาสั้นๆ พวกผู้ปล่อยเงินกู้ที่นำโดยชายวัยกลางคนก็กุมหัวอยู่ที่มุมกำแพงกันถ้วนหน้า แม้จะโมโหก็ไม่กล้าระบายออกมา

ตาแก่นี่แม่งเป็นสัตว์ประหลาดเหรอ!

“พะ…พวกคุณ…”

ชายวัยกลางคนมองพวกเยี่ยหวันหวั่น ใบหน้าซีดเผือด คราบเลือดที่มุมปากยังคงไม่ได้เช็ดออก

เขาไปแหย่อะไรเข้ากันแน่! ตาแก่ที่ดูครึ่งเป็นครึ่งตายหนึ่งคนอัดพวกเขาหลายคนเหมือนกับอัดเด็กเนี่ยนะ!

——————————————————————

บทที่ 1726 อัดจนกว่าจะยอม

“เอาแบบนี้ บ้านให้คุณ…คิดเป็นห้าสิบล้าน คุณติดฉันหนึ่งร้อยล้าน ตอนนี้ฉันเก็บบ้านห้าสิบล้านกลับมา คุณยังติดฉันอีกห้าสิบล้าน มีเหตุผลใช่ไหม” เยี่ยหวันหวั่นมองชายวัยกลางคนพลางหัวเราะเบาๆ

เมื่อได้ยินเยี่ยหวันหวั่น ชายวัยกลางคนก่นด่าอย่างแรง “บ้านแม่แกสิ แกรนหาที่ตายแล้ว!”

“ปู่แกสิวะ!”

เป่ยโต่วยกเท้าเหยียบหัวชายวัยกลางคนอย่างแรงทันที

“แกควรดีใจที่ฉันออมมือนะ ไม่งั้นเท้าเมื่อกี้ของฉันปู่แกถีบหัวแกแหลกได้เลย” เป่ยโต่วจ้องชายวัยกลางคนพลางบอก “ปล้นบ้านของพี่เฟิงซะได้ แกนี่แม่งไม่กลัวตายเลยจริงๆ”

“พะ…พวกเรา…พวกเราไม่ได้แย่ง…พวกเราเป็นผู้ปล่อยเงินกู้…”

ลูกน้องคนหนึ่งของชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวาดกลัว

“ยังกล้าเถียงอีก!” เป่ยโต่วเหวี่ยงฝ่ามือตบปากชายหนุ่มคนนั้น

พอถูกตบหนึ่งที ชายหนุ่มรีบหมุนตัวไม่กล้าพูดอีกแม้สักครึ่งคำ

“คุณยังติดเงินพวกเราห้าหมื่น ถูกไหม” เยี่ยหวันหวั่นจ้องชายวัยกลางคนพลางยิ้มเอ่ย

ได้ยินดังนั้น ชายวัยกลางคนกัดฟันจำต้องพยักหน้า “ถูก…คุณพูดอะไรก็ถูก…”

“ชีซิง ให้เขาเขียนใบหนี้เลี่ยงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับ พวกเราทุกคนเป็นคนพูดเหตุผลกันทั้งนั้น” เยี่ยหวันหวั่นหันมองชีซิง

ทันทีทันใด ชีซิงหาปากกากับกระดาษมาให้ชายหนุ่มเขียนใบแสดงหนี้ จากนั้นประทับตราฝ่ามือเลือดลงไป

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นพวกเราก็ขอไปก่อน…” ชายวัยกลางคนพูด

“ไม่ต้องรีบร้อน” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มน้อยๆ “ใครเป็นคนส่งพวกคุณมา”

คนพวกนี้ต้องมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังแน่ ไม่งั้นไม่มีทางใจกล้าแบบนี้

“ไม่มีครับ ไม่มีใครชี้นำ” ชายวัยกลางคนส่ายหน้ารัว

“เป่ยโต่ว อัดจนกว่าเขาจะบอกคนชักใยเบื้องหลัง” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ย

“หึๆ พี่เฟิงวางใจเถอะ เรื่องนี้ผมถนัด…” เป่ยโต่วบิดคอ สีหน้าเปี่ยมรอยยิ้มชั่วร้าย ก่อนจะยกคอเสื้อของชายวัยกลางคน

“อย่าๆๆ มีอะไรพูดกันดีๆ! เป็นตระกูลเยี่ย พวกเยี่ยอีอีชี้นำให้พวกเราทำอย่างนี้!” เมื่อเห็นตัวเองกำลังจะถูกต่อย ชายวัยกลางคนขายเยี่ยอีอีทันทีเพื่อปกป้องตัวเอง

“ประธานเยี่ยให้เงินผมก้อนหนึ่ง…สั่งให้พวกเราเก็บคฤหาสน์หลังนี้กลับมาแถมยังจะยกคฤหาสน์ให้พวกเรา จุดประสงค์ของเธอแค่อยากให้ครอบครัวพวกคุณอยู่ไม่เป็นสุข ให้แม่คุณไปเป็นขอทาน…” ชายวัยกลางคนพูดต่อ บอกทั้งหมดที่ตัวเองรู้ออกมา

“เยี่ยอีอี…”

หลังจากรู้ว่าเป็นเยี่ยอีอี ดวงตาเยี่ยหวันหวั่นก็วาบประกายเย็นเยียบ

ครอบครัวนี้เป็นแมลงวันจริงๆ เธอยังไม่คิดบัญชีพวกเขา พวกเขาก็กลับส่งตัวเองมาถึงที่แล้ว

“ไปซะ จากนี้ถ้าฉันเห็นพวกแกอีก ฮ่าๆ ฉันก็คือลูกชายแก” เป่ยโต่วยกเท้าถีบชายวัยกลางคนออกไปจากประตู

เห็นดังนั้น ชายหนุ่มหลายสิบคนก็ตะเกียกตะกายตามหลังชายวัยกลางคนออกไป

ผ่านไปไม่นาน ผู้อาวุโสใหญ่ก็พาเหลียงหวั่นจวินกลับมาที่คฤหาสน์

“ฮ่าๆ พี่สาว ดูสิ เรื่องนี้จัดการเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกังวลแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มเอ่ยกับเหลียงหวั่นจวิน

เวลานี้เหลียงหวั่นจวินเดินมาข้างตัวเยี่ยหวันหวั่นและพินิจมองขึ้นลง “หวันหวั่น ลูกไม่เป็นไรนะ…คนพวกนั้นล่ะ”

“แม่คะ เรื่องคลี่คลายแล้ว ไม่ต้องห่วง” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มพูดกับเหลียงหวั่นจวิน

ช่วงเวลาไม่กี่เดือน เหลียงหวั่นที่อยู่ตรงหน้าเหมือนแก่ลงไปสิบปี ทำให้เยี่ยหวันหวั่นปวดใจอยู่บ้าง

ถึงแม้เหลียงหวั่นจวินจะสงสัยในใจว่าคนพวกนั้นจากไปยังไง แต่ก็ไม่ได้ถามมากมาย เพียงแค่พินิจมองเยี่ยหวันหวั่นอย่างละเอียด