ตอนที่ 1452 อาณาจักรซีสกายที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้น 15 นาที หน่วยรถถังอีกหน่วยก็มาถึงพื้นที่สู้รบของหน่วยรถถังที่ 12 และหน่วยรถถังที่ 9
“เอมี่ โบแชง พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” อีฟฟี่ที่เป็นหัวหน้าหน่วยตะโกนมาแต่ไกล
โบแชงโบกมือเพื่อบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร ส่วนเอมี่ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้ามานี่ได้ยังไงเนี่ย? พวกข้าจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ไปได้ตัวนึง!”
“ก็เพราะได้ยินเสียงปืนใหญ่จากทางนี้น่ะสิ” เมื่อเห็นพวกเธอไม่เป็นไร อีฟฟี่จึงรู้สึกโล่งใจ เธอกระโดดลงมาจากรถถังแล้วรีบเดินมาที่หน้าซากสัตว์ประหลาดที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ทลวงร่าง ก่อนจะถามออกมาด้วยสีหน้าตกใจว่า “นี่มันตัวอะไรเนี่ย?”
“น่าจะเป็นรังแม่ แต่บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” โบแชงพูดงึมงำ
การยิงนัดก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าปลิดชีพศัตรูได้อย่างเด็ดขาด ไม่เพียงแต่จะทำลายเครื่องในของมันจนแหลกละเอียดเท่านั้น แต่ยังฉีกหัวของมันจนกระเด็นหลุดออกไปด้วย แต่แน่นอนว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี่มีหัวหรือเปล่าก็ยังไม่อาจรู้ได้ — อันที่จริงตามหลักแล้ว ปกติคงไม่มีสิ่งมีชีวิตที่จะวิ่งหนีถอยหลังแน่
ตอนที่มันตาย พลังเวทมนตร์ก็หายไปด้วย ร่างกายของมันผุพังลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายสภาพเป็นเศษเนื้ออย่างในตอนนี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังตั้งอยู่ก็คือกระดูกซี่โครงสองแถวที่โดยยิงจนแตกหัก
“เจ้าแน่ใจนะว่านี่คือรังแม่?” อีฟฟี่หยิบเอาคู่มือออกมา ก่อนจะเอาไปเทียบกับซากศพพร้อมขมวดคิ้วขึ้นมา “โครงกระดูกดูคล้ายอยู่ แต่ขนาดเล็กกว่า หนวดก็น้อยกว่า…เออใช่ แล้วพวกเจ้าเป็นตาที่อยู่ในร่างกายของมันหรือเปล่า?”
ดวงตาประกอบขนาดใหญ่คือหนึ่งในลักษณะพิเศษที่เด่นชัดของรังแม่ ตามที่คู่มือระบุไว้ มันมีขนาดใหญ่เท่าๆ กับเครื่องในของรังแม่และตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของร่างดาย แทบจะไม่มีทางมองข้ามมันไปได้
โบแชงส่ายหัว “ที่ข้าเดาว่ามันเป็นรังแม่ก็เพราะว่ามันพาอสูรมีดจำนวนมากมาด้วย ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ข้าเองก็งงเหมือนกับเจ้านี่แหละ แต่ว่า…” เธอชะงักไปเล็กน้อย “อย่าว่าแต่รังแม่เลย สัตว์ประหลาดที่นี่ไม่มีตัวไหนที่เหมือนกับในคู่มือเลย ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูอสูรมีดที่นอนตายพวกนั้นสิ..”
ในเวลานี้อีฟฟี่ถึงได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอสูรมีดที่นอนตายอยู่หน้ารังแม่ “นี่มัน….ปีกเหรอ?”
“ถูกต้อง” โบแชงตอบ “ดูเบาบางเหมือนกับปีกจักจั่น แต่ว่ามีขนาดใหญ่กว่ามาก ด้วยปีกพวกนี้ พวกมันสามารถกระโดดพุ่งโจมตีมาจากระยะไกลได้ นี่ไม่เหมือนกับอสูรมีดที่เคยเจอก่อนหน้านี้เลย”
“ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเบื้องบนถึงต้องให้พวกเราเก็บร่างตัวอย่างของอาณาจักรซีสกายกลับไปแบบสมบูรณ์ด้วย” อีฟฟี่พูดเสียงเบาๆ ก่อนจะพูดถอนใจออกมาว่า “ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของพวกมันน่าตกใจอย่างมาก”
“นั่นเป็นปัญหาที่เบื้องบนต้องครุ่นคิด” โบแชงกระโดดขึ้นรถถัง ก่อนจะส่งสัญญาณมือไปทางอีฟฟี่เพื่อบอกให้ออกเดินทาง “ส่วนพวกเราแค่จัดการพวกมันไปทีละๆ ตัวก็พอ
…..
ไม่นานรายงานที่กองทัพที่หนึ่งสามารถยึดทาคิลาคืนมาได้ก็ถูกส่งมายังห้องทำงานของโรแลนด์
ใน ‘สงครามกลางเมือง’ ครั้งนี้ สัตว์อสูรไม่ใช่คู่ต่อสู้หลักอีกต่อไป นี่เป็นครั้งแรกที่อาณาจักรซีสกายปรากฏตัวออกมาเป็นฝูง อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นอสูรมีดที่มีความน่ากลัวอย่างมากด้วย
แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่อสูรมีดแค่ 1 – 2 ตัวก็สามารถเล่นงานแนวป้องกันของกองทัพจนย่อยยับได้แล้ว ผลลัพธ์จากการต่อสู้ครั้งนี้เรียกได้ว่าแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หน่วยรบหุ้มเกราะที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ได้แสดงศักยภาพออกมาในศึกครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะสามารถระบุตำแหน่งของศัตรูได้ แต่ยังสังหารศัตรูได้เป็นจำนวนากด้วย สุดท้ายกองทัพที่หนึ่งก็สามารถกำจัดศัตรูได้จนหมดโดยเสียหายไปเพียงเล็กน้อยและกลับมาตั้งฐานที่มั่นบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้อีกครั้ง นอกจากนี้ผลงานที่หน่วยที่ 12 และ 9 สามารถกับกำจัดรังแม่ได้ตัวหนึ่งและอสูรมีดอีกสิบกว่านั้นโดยที่ไม่มีทหารในหน่วยบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยก็ได้เปลี่ยนมุมของของกองทัพไปอย่างสิ้นเชิง ภายในรายงานนอกจากจะบรรยายเรื่องการรบเอาไว้แล้ว ส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นการขอให้ทำการผลิตรถถังให้มากขึ้น หากจำนวนแม่มดมีไม่พอ ก็ให้นายทหารธรรมดาเป็นหัวหน้าหน่วยก็ได้
พวกเขาได้ลิ้มรสความหอมหวานของอาวุธหนักที่สามารถโจมตีและป้องกันชนิดนี้เข้าแล้ว
โรแลนด์ไม่รู้สึกแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา — ฉายาราชาแห่งการรบภาคพื้นดินได้มาจากสงครามในระดับสงครามโลกถึงสองครั้ง ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน รถถังก็ล้วนแต่ผ่านการทดสอบมาแล้วเป็นระยะเวลานาน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่คัดเลือกทหารจากในกองทัพมาส่วนหนึ่งให้มาทำฝึกเทคนิคการขับขี่ตั้งแต่ตอนที่รถแทรกเตอร์ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรกหรอก
เมื่อเทียบกับอาวุธที่มีความสมบูรณ์นี้แล้ว สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือซากศพสัตว์ประหลาดที่ถูกรถไฟขนกลับมา
เมื่อถึงตอนบ่าย อกาธาก็โทรมาจากหอนักเวทมนตร์บอกว่าได้ข้อสรุปเบื้องต้นจากการผ่าศพแล้ว
….
เมื่อเดินเข้าใกล้ชั้นล่างสุดของหอนักเวทมนตร์ โรแลนด์ก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็นๆ ปะทะเข้ามาที่หน้าทันที
ภายใต้ห้องใต้ดินขนาดใหญ่มีน้ำแข็งวางอยู่กองหนึ่ง คนที่ไม่รู้อาจจะนึกว่าที่นี่คือโรงเก็บน้ำแข็ง แต่เขารู้ดีว่าในน้ำแข็งเหล่านี้มีร่างตัวอย่างของอาณาจักรซีสกายที่ถูกส่งกลับมาจากแนวหน้าแช่เอาไว้อยู่ เพื่อที่จะให้สโมสรแม่มดได้ใช้ในการทำวิจัย
ตรงกลางห้องคือพื้นที่ในการผ่าศพ อกาธาถอดถึงมือออก ก่อนจะหันมาทำความเคารพเขาตามแบบฉบับทาคิลา
“เจ้าดูเหมือนจะมีความสุขนะ” โรแลนด์พูดพร้อมกระชับคอเสื้อ
“เพราะว่าได้กลับไปทำงานเดิมน่ะสิเพคะ” อกาธายิ้มๆ “ทูลตามตรงเพคะ การอยู่ในห้องทดลองเย็นๆ แบบนี้เหมาะกับหม่อมฉันมากกว่า พวกเรื่องที่เป็นตัวแทนทาคิลาออกเดินทางหรือเข้าร่วมประชุมอะไรพวกนั้นไม่ใช่เรื่องที่หม่อมฉันถนัดเลย”
เมื่อพูดถึงตัวแทนของแม่มดโบราณแล้ว พาซาร์มีความเหมาะสมที่สุด แต่เสียดายที่ร่างเปลือกนั้นไม่สะดวกในการเคลื่อนไหว ด้วยเหตุนี้อกาธาจึงกลายเป็นตัวเลือกที่สองไปโดยปริยาย
เมื่อเห็นสีหน้าของโรแลนด์ที่เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา แม่มดน้ำแข็งจึงโบกมือแล้วพูดว่า “วางพระทัยได้เพคะ ฝ่าบาท สงครามแห่งโชคชะตานั้นสำคัญเป็นอันดับแรก เรื่องนี้หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ”
เขาพยักหน้า ก่อนจะพูดเข้าประเด็น “อย่างนั้นเจ้าค้นพบอะไรบ้าง?”
“ฝ่าบาท เชิญทอดพระเนตรทางนี้เพคะ” มีดน้ำแข็งเล่มหนึ่งงอกออกมาจากปลายนิ้วของอกธา ก่อนจะแทงเข้าในไปอวัยวะขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่บนแท่นผ่าพิสูจน์ “หม่อมฉันเอาเจ้าสิ่งนี้ออกมาจากตัวของรังแม่ตัวใหม่เพคะ ข้างในของมัน หม่อมฉันพบร่องรอยการเสื่อมถอยที่ชัดเจน แต่หม่อมฉันกลับไม่พบปัญหาเดียวกันนี้ในตัวอสูรมีดเลยเพคะ”
“การเสื่อมถอย?” โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาสังเกตเห็นว่าตรงตำแหน่งที่มีดน้ำแข็งชี้มีรอยดำและรอยเหี่ยวย่นขนาดใหญ่
“ใช่เพคะ พลังเวทมนตร์นั้นสามารถทำให้ร่างกายของผู้ที่มีเวทมนตร์แข็งแกร่งขึ้นได้ ในจุดนี้จะเห็นได้จากตัวแม่มดและปีศาจ ซึ่งพวกอาณาจักรซีสกายก็น่าจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน และลักษณะเด่นที่ชัดเจนที่สุดของการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งก็คืออายุขัยที่ยืดยาวขึ้น” อกาธาอธิบายอย่างละเอียดว่า “หม่อมฉันเคยอ่านข้อมูลที่ปีศาจให้มา ในนั้นไม่ได้ระบุเอาไว้เลยว่ารังแม่จะมีอายุได้ยาวเท่าไร แต่มันกลับบอกว่าอสูรมีดกับอสูรขานั้นมีอายุที่ไม่ยืนยาว ถึงแม้จะตายไป รังแม่ก็สามารถฟักอสูรตัวใหม่ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว”
“เจ้าหมายความว่า…สถานการณ์ในตอนนี้มันกลับกันอย่างนั้นเหรอ?” ไนติงเกลถามขึ้นมา “เป็นไปได้ไหมว่าเดิมทีรังแม่ตัวนี้มันก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว?”
“ถ้ามีแค่ตัวเดียวมันก็อาจจะวิเคราะห์ได้ลำบากอยู่ แต่ในร่างตัวอย่างสี่ตัวที่แนวหน้าส่งกลับมา ข้าล้วนแต่เจอสภาพแบบเดียวกันนี้ นี่มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยหรือเปล่า” อกาธาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองก็เคยสู้กับรังแม่มาก่อน เจ้าน่าจะรู้นี่นาว่าพวกมันตัวใหญ่ขนาดไหน เมื่อเทียบขนาดกันแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดที่สูงไม่ถึงสิบเมตรพวกนี้ดูไม่เหมือนพวกที่มีอายุขัยยืนยาวเลย”
“เหมือนจะมีเหตุผล”
“ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นปีกที่ใช้โผบินเข้ามา หรือว่ากรงเล็บที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็ล้วนแต่แตกต่างไปจากสภาพของพวกมันในอดีต” เธอหันหน้ามามองโรแลนด์ “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่คิดว่าเจ้าสิ่งเหล่านี้มันจะสามารถว่ายอยู่ในทะเลได้เหมือนอย่างในอดีตเพคะ”
“ดังนั้นข้อสรุปของเจ้าคือ?” โรแลนด์ถามด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
“หม่อมฉันเกรงว่ารังแม่คงกำลังถ่ายพลังเวทมนตร์ของตัวเองเข้าไปในร่างกายของทาส เพื่อที่จะได้สร้างกำลังพลที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมขึ้นมา” อกาธาพูดช้าๆ ชัดๆ ว่า “เพียงแต่ทิศทางการวิวัฒนาการของพวกมันนั้นออกห่างจากทะเล เรียกได้ว่าพวกมันยอมเสียสละอนาคตของเผ่าพันธุ์เพคะ”
โรแลนด์ถอนหายใจออกมา “แต่พวกเรากลับมีปัญหาเข้าแล้ว”
………………………………………………………………..