ตอนที่ 952 แผนการของชายอ้วน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 952 แผนการของชายอ้วน

รัชสมัยเทียนเต๋อปีที่สาม วันที่หนึ่ง เดือนสี่

กองทัพเรือที่นำโดยซื่อโถวจำนวน 50,000 นายบุกเข้าไปในแคว้นฝานโดยอาศัยอาวุธและอุปกรณ์ล้ำสมัยเหล่านั้น พวกเขาจึงทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าราวกับกองไผ่ที่ถูกเหยียบย่ำ

เขามิรู้ว่าได้จัดการศัตรูไปจำนวนเท่าใด รู้เพียงแค่ว่านับจากเทียบท่ามาจนบัดนี้ก็เป็นเวลาทั้งสิ้น 8 วันแล้ว กองทัพได้โจมตีเข้าไปถึงเมืองปู้หยางแล้ว นี่คือเมืองคุ้มกันสุดท้ายของแคว้นฝาน !

หากสามารถยึดครองเมืองปู้หยางมาได้แล้ว กองทัพก็จะเผชิญกับสงครามที่ยากที่สุดเป็นด่านสุดท้าย !

กำแพงเมืองฉางจินช่างแข็งแกร่งมากยิ่งนัก ฝานจื่อกุยจักรพรรดิแห่งแคว้นฝานได้เรียกกองทัพกลับเข้าไป บัดนี้ที่เมืองฉางจินจึงมีกองทัพคุ้มกันอยู่มากถึง 800,000 นาย

สงครามครานี้มิค่อยราบรื่นสักเท่าใดนัก

เนื่องจากราชวงศ์อู๋ได้ขายปืนใหญ่หงอีให้แคว้นฝานมากถึง 1,000 กระบอกและปืนใหญ่จำนวน 1,000 กระบอกนี้ได้วางอยู่บนกำแพงเมืองฉางจินชนิดมิตกหล่น

สงครามทางไกลในครานี้คือตอนแรกกองทัพเรือได้นำปืนใหญ่ติดตามมาด้วยมากถึง 50,000 กระบอก ทว่ามิได้ขนส่งมาพร้อมกับเรือที่พวกเขาแล่นมาด้วย เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนออกคำสั่งว่ากองทัพจะต้องเดินทางมาถึงเมืองฉางจินก่อนวันที่สามเดือนสี่

ดังนั้นหากนำปืนใหญ่มาด้วยคงจะมาถึงมิทันกำหนด

บัดนี้ยังมีเวลาเหลืออีก 2 วันก่อนจะถึงวันที่สามเดือนสี่

เขาต้องเข้าโจมตีเมืองปู้หยางให้ได้ !

“จงประกาศคำสั่งของข้า ! พวกเราจะพักผ่อนอยู่ที่นี่เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จากนั้นให้เข้าโจมตีเมืองปู้หยางทันที ! ”

เมื่อซื่อโถวออกคำสั่งไป ทหารที่เหลืออยู่จำนวน 46,000 นายจึงได้พากันนั่งพักผ่อนนอกเมืองปู้หยาง พวกเขาเริ่มลงมือทานอาหารและดื่มน้ำอย่างเงียบ ๆ ราวกับรูปปั้นแกะสลัก

เว่ยฉี่ฟูนายทหารผ่านศึกผู้เฝ้ารักษาเมืองปู้หยางแห่งแคว้นฝานกำลังจ้องมองกองทัพนั้นอย่างระมัดระวังผ่านกล้องส่องทางไกล จากนั้นหัวใจของเขาก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด

นี่คือกองทัพที่เต็มไปด้วยพลังในการต่อสู้ ซึ่งถูกฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อคืนนี้พวกเขาได้เดินทางตลอดทั้งคืนมิหยุดพัก ทว่าบัดนี้บนใบหน้าหาได้มีความเหนื่อยล้าอันใดไม่

เมืองที่ถูกพวกเขาทำลายล้าง ได้ส่งรายงานมาแจ้งให้ทราบแล้ว เว่ยฉี่ฟูจึงได้รับรู้ว่าชุดเกราะสีเงินที่พวกนั้นสวมใส่ดูเหมือนจะยิงและฟันมิเข้า

หากลูกธนูยิงไปถูกพวกนั้นก็เพียงแค่รู้สึกคัน ต่อให้เป็นปืนคาบศิลาอย่างมากก็ทำได้เพียงทิ้งรอยถลอกไว้บนชุดเกราะเท่านั้น

การจัดการกองทัพเช่นนี้มีเพียงสองวิธีคือถ้ามิใช้ปืนใหญ่ ก็ต้อง…เข้าสู้ในระยะประชิดตัว จากนั้นก็ใช้ดาบเชือดเฉือนไปยังลำคอซึ่งเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุด

หรืออาจจะนำน้ำมันมาราดกำแพงเมืองเพื่อมิให้พวกนั้นปีนขึ้นมาได้

ทว่าวิธีนี้มิอาจใช้กับกองทัพศัตรูได้ เนื่องจากพวกเขามีวิชาตัวเบา !

พวกเขาสามารถใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นมาได้ !

สิ่งที่ดูเหมือนกระดองเต่านั้นสามารถป้องกันพวกเขาได้ ทั้งยังสามารถกระโดดขึ้นมาบนกำแพงนี้ได้โดยมิถูกธนูแม้แต่ดอกเดียว !

กอปรกับแต่ละคนมีปืนคาบศิลาไว้ในมือยิ่งทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก เช่นนี้จะมีผู้ใดในใต้หล้าต่อกรได้อีกเล่า ?

ในมือของเว่ยฉี่ฟูมีทหารจำนวนทั้งสิ้น 100,000 นายคอยคุ้มกันกำแพงเมืองนี้อยู่ แต่เขารู้ดีว่าเมื่อใดที่ศัตรูบุกเข้ามาถึงกำแพงได้แล้ว ทหารจำนวน 100,000 นายนี้หาได้อยู่ในสายตาของศัตรูไม่

สงครามครานี้จะสู้เยี่ยงไรดี ?

เว่ยฉี่ฟูคิดมิออกอย่างแท้จริง

เมืองปู้หยางต้องแตกพ่ายเป็นแน่ นี่เป็นเรื่องที่มิต้องสงสัย เพียงแต่ว่าจะสามารถคุ้มกันไว้ได้นานเท่าใดต่างหากเล่า

หวังว่าเมืองฉางจินจะสามารถสกัดกั้นพวกนั้นเอาไว้ได้ และทำลายล้างเสียจนสิ้น เช่นนี้…ต่อให้ข้าต้องตายก็มิเสียใจเลยสักนิด !

เมื่อคิดไปคิดมาเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในมิช้าเว่ยฉี่ฟูก็ได้ยินเสียงแตรดังมาจากกองทัพศัตรู เขาตกตะลึงขึ้นมาทันใด ไอหยา… ศัตรูกำลังจะบุกโจมตีแล้วใช่หรือไม่ ?

“จงประกาศคำสั่งข้า ทหารทุกนายจงขึ้นไปบนกำแพง เตรียมน้ำมัน ไฟและไม้… ! ”

เมื่อเสียงแตรดังขึ้น กองทัพเรือทั้งสี่หมื่นหกพันนายก็บุกตรงเข้ามา ชุดเกราะสีเงินส่องกระทบแสงสุริยาจนเกิดเป็นประกายวิบวับ

ธงที่ผูกกับดาบเป็นรูปนกอินทรีราวกับว่ามันกำลังออกล่าและโบยบินในสายลมยามเย็น

“บุก… ! ”

เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมา ทันใดนั้นฝุ่นผงก็ลอยคละคลุ้งขึ้นมา เมืองปู้หยางราวกับกำลังสั่นไหว มันกำลังสั่นคลอนด้วยความหวาดกลัว !

“ราดน้ำมัน… ยิงธนู ! ยิงพวกมันให้ตาย… ! ”

บรรดาทหารที่อยู่บนกำแพงเมือง พวกเขาได้ลืมความเป็นความตายไปจนสิ้น ต่างพากันราดน้ำมันลงไปและจุดไฟ ทั้งกำแพงเมืองจึงไฟลุกท่วมสว่างไสว

ลูกธนูถูกยิงออกไปราวกับห่าฝน จากนั้นก็ตกลงสู่พื้นธรณี ลูกธนูเหล่านั้นพุ่งไปถูกฝ่ายศัตรู ทว่ามิมีธนูแม้แต่ดอกเดียวที่สามารถแทงทะลุเข้าไปในชุดเกราะของศัตรูได้ หมายความว่าพวกเขามิอาจหยุดยั้งการบุกเข้ามาของศัตรูได้แม้แต่คนเดียว

“กองพลที่หนึ่งบุก กองพลที่สองคุ้มกัน กองพลที่สามเตรียมตัว…”

ซื่อโถวออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด จากนั้นกองพลที่หนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา พวกเขาใช้วิชาตัวเบาลอยขึ้นไปบนอากาศ ในมือถือปืนเอาไว้

‘ปังปังปัง…’

เมื่อเสียงปืนเริ่มดังขึ้น เว่ยฉี่ฟูก็เห็นทหารภายใต้บังคับบัญชาล้มลงระเนระนาด

“ส่งคนเข้าแทนที่ อย่าให้มีช่องว่างแม้แต่ช่องเดียว… ! ”

ทหารกองพลที่หนึ่งได้เผชิญหน้ากับดาบ หอกและมีดของทหารชาวฝาน จากนั้นก็บุกขึ้นไปบนกำแพงเมืองเสียงดัง ชริ้ง ! เป็นเสียงของมีดและดาบที่สัมผัสกับชุดเกราะสีเงินจนเกิดเป็นประกายไฟ ทว่ากลับมิได้ผลลัพธ์ใด ๆ เลย

‘ปังปังปัง… ! ’

ท่ามกลางเสียงปืนก็ได้เกิดช่องว่างขึ้น ทหารกองพลที่หนึ่งแบ่งออกเป็นสองแถว จากนั้นก็เข้ายึดกำแพงเมืองในส่วนนี้เอาไว้

จากนั้นกองพลที่สามก็กระโดดลอยตัวขึ้นมา กองพลที่สี่ และตามด้วยกองพลที่ห้า…

มือและเท้าของเว่ยฉี่ฟูเย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด

เวลา 1 ถ้วยชา… เพียงแค่ 1 ถ้วยชาเท่านั้น !

สิ่งที่เขามิรู้ก็คือบรรดาผู้บังคับบัญชาของแต่ละเมืองที่ถูกศัตรูเข้าโจมตีก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเขาในขณะนี้

พวกเขามิเคยเห็นชุดเกราะที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้มาก่อน อีกทั้งมิเคยเห็นพลังการต่อสู้ที่ดุเดือดน่ากลัวเยี่ยงนี้

เมื่ออยู่ต่อหน้ากองทัพทหารของราชวงศ์อู๋ พวกเขาก็เปรียบเสมือนทารกที่เพิ่งหัดเดินอย่างไรอย่างนั้น

สงครามสิ้นสุดลงหลังจากนั้นเพียง 1 ชั่วยาม เว่ยฉี่ฟูได้ปลิดชีพตนเองลง และแล้วเมืองปู้หยางก็ล่มสลาย

ทว่ากองทัพทหารแห่งราชวงศ์อู๋มิได้หยุดพักแต่อย่างใด พวกเขาออกเดินทางอีกครานับตั้งแต่ยามอาทิตย์อัสดงจนกระทั่งฟ้ามืด ดุจดั่งเครื่องจักรที่มิรู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย บัดนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองฉางจิน

……

……

ชายอ้วนเดินออกมาจากคฤหาสน์ ในยามค่ำ

สีหน้าของเขาเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง

อู๋ฉางเฟิงน้องชายของตนสิ้นลมแล้ว สวี่หยุนชิงก็เช่นกัน หรือแม้แต่ซั่งรั่วซุ่ยก็แขวนคอตนเองเพื่อจบชีวิต

แคว้นฝานสมควรล่มสลาย เจ้าฝานจื่อกุยและนักบวชเหล่านั้นก็สมควรตายเช่นกัน !

พวกมันทุกคน…จะต้องเอาชีวิตมาชดใช้และตายตามพวกเขาไป

“เกาเสี่ยน จงไปรวบรวมทหารซิ่วอีมาและให้โจมตีทางประตูทิศใต้ ส่วนโหยวเป่ยโต้วและหนิงฝาเทียน เจ้าทั้งสองคนจงตามข้าบุกเข้าไปในพระราชวังและจับเป็นฝานจื่อกุย ! ”

โหยวเป่ยโต้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้รอทหารกองทัพบกที่สองเดินทางมาถึงเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

ชายอ้วนจ้องมองไปทางโหยวเป่ยโต้วเขม็ง “ข้าคือบิดาของเขา ! ”

“ทว่าพระองค์มิใช่องค์จักรพรรดิ ! ”

“ข้ามิสน ! เจ้าจะไปหรือมิไปก็เรื่องของเจ้า หนิงฝาเทียน เจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือไม่ ? ”

หนิงฝาเทียนรู้สึกลังเลใจมากยิ่งนัก เนื่องจากในพระราชวังมีปรมาจารย์อยู่ 2 คน อีกทั้งยังมีองครักษ์นับหมื่นนาย หากบุกเข้าไปเช่นนี้ จะมิเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ ?

หากรอให้กองทัพของเฮ้อซานเตาและซื่อโถวเดินทางมาถึงก็คงจะจัดการได้ง่ายขึ้น จะรีบร้อนเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ?

“ช่างเถิด พวกเจ้ามิอยากไปสินะ เช่นนั้นข้าจะไปเองคนเดียว ! ”

เมื่อชายอ้วนเอ่ยจบก็รีบกระโดดหายลับไปทันที

หนิงฝาเทียนและโหยวเป่ยโต้วมองหน้ากันไปมา พวกข้าควรทำเยี่ยงไรดี ?

มิว่าเยี่ยงไรชายอ้วนก็เป็นถึงจักรพรรดิพระเจ้าหลวง จะให้มาตกตายอยู่ที่นี่มิได้เป็นอันขาด

ทั้งสองคนมิรู้จะทำเยี่ยงไรต่อไปดี จึงทำได้เพียงแค่กระโดดตามออกไป

ชายอ้วนยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ฮึ ๆ ข้าคิดว่าจะควบคุมพวกเจ้าทั้งสองคนมิได้เสียแล้ว

ทว่าเส้นทางที่ชายอ้วนเลือกใช้ดูแปลกกว่าปกติ เพราะเขากระโดดขึ้นลงไปมาและในที่สุดก็มาถึงบริเวณริมสระน้ำนอกพระราชวัง

กำแพงของพระราชวังจุดโคมไฟจนสว่างไสว อีกทั้งยังมีหน่วยลาดตระเวนเดินตรวจตรานับมิถ้วน พวกเขามิสามารถกระโดดเข้าไปโดยมิให้ทหารยามเหล่านั้นรับรู้ได้เลย

ในขณะที่โหยวเป่ยโต้วและหนิงฝาเทียนทำอันใดมิถูกอยู่นั้น พวกเขาก็เห็นชายอ้วนกำลังงัดแงะฝาอันใดสักอย่างข้าง ๆ สระน้ำ

นี่คือท่อระบายน้ำของเมืองฉางจิน !

“พระองค์ทราบได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ” โหยวเป่ยโต้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ฮึ ๆ นี่คือความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของข้า อุโมงค์นี้เชื่อมต่อไปยังตำหนักชีเฟิ่งของจักรพรรดินีฮุ่ย ! ”