“ประหลาดจริงๆ! จากที่บรรพชนตระกูลหล่งและเผ่าวิญญาณคนอื่นๆ กล่าว ทางเดินข้ามแดนที่นี่น่าจะไม่ถูกเผ่ามารให้ความสนใจ แต่ยามนี้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ไม่พวกเขาจงใจไม่บอกความจริงอยากหลอกลวงพวกเรา ไม่ก็เผ่ามารเกิดอันใดขึ้นสักอย่าง จนให้ความสำคัญกับที่นี่ ในสายตาของข้ากว่าครึ่งคงเป็นอย่างหลัง” หานลี่ที่อยู่ด้านข้างมองทัศนียภาพในกระจกสัมฤทธิ์แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

“เหตุใดท่านอาวุโสหานถึงมั่นใจเช่นนี้?” จูกั่วเอ๋อร์ได้ฟังคำพูดเมื่อครู่ของหานลี่พลันตะลึงงัน แล้วเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง

นักพรตเซี่ยยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่ด้านข้าง มองป้อมปราการด้วยท่าทีสนอกสนใจ ราวกับว่ามองเห็นทุกอย่างในป้อมปราการยักษ์ได้อย่างไม่มีระยะทางมากั้น

“ง่ายมาก แม้ว่าป้อมปราการตรงหน้าจะสูงใหญ่ แต่ดูจากอิฐที่สร้างเห็นได้ชัดว่าเพิ่งซ่อมแซมได้สิบกว่าปี และตอนนั้นพวกเราก็เข้ามาในแดนมารตั้งนานแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่หลุมพรางที่คนอื่นวางไว้” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงแล้วตอบกลับอย่างแช่มช้า

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ชนรุ่นหลังประมาท จึงไม่สังเกตจุดนี้ ทว่าท่านอาวุโสในเมื่อที่นี่เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึง พวกเราต้องทางหาเดินอื่นหรือไม่” จูกั่วเอ๋อร์กังวลใจเล็กๆ

“ไม่จำเป็น! ทางเดินที่อยู่ใกล้ที่นี่ที่สุดก็ต้องใช้เวลาสองสามเดือน นานขนาดนั้นอาจจะเกิดเรื่องขึ้นมากมาย โดยทั่วไปแล้วแม้ว่าป้อมปราการยักษ์ชนิดนี้จะมีจอมมารรักษาการณ์อยู่สองสามตน แต่จากพลังของพวกเราย่อมขวางข้าไม่ได้ ปัญหาเดียวก็คือเขตอาคมที่วางอยู่รอบๆ ป้อมปราการมาร หากถูกเขตอาคมเหล่านี้รั้งเอาไว้ อาจจะหนีได้ยาก” หานลี่มองรัศมีลำแสงของเขตอาคมที่กำลังเปล่งแสงเรืองๆ อยู่รอบๆ ป้อมปราการมาร แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเอ่ย

ตอนแรกยามที่พวกเขาเข้ามาในแดนมาร เป็นการลงมือพร้อมกับเผ่าวิญญาณระดับผสานอินทรีย์สิบกว่าคนถึงได้ทลายเขตอาคมต่างๆ บุกเข้าไปในทางเดินได้ ยามนี้เหลือเขาคนเดียว ประกอบกับเขตอาคมที่วางอยู่ทั้งหมดมากกว่ายามที่เขาบุกเข้ามาตอนแรกย่อมยุ่งยากแล้ว

จูกั่วเอ๋อร์อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ แต่แน่นอนว่าย่อมไม่มีวิธีดีๆ อันใด

“หากเจ้าคิดว่าเขตอาคมเหล่านี้มีปัญหา ข้าก็มีเคล็ดวิชาลับวิชาหนึ่งที่ช่วยเจ้าทลายเขตอาคมทั้งหมดได้ในพริบตา” ในยามนั้นนักพรตเซี่ยพลันหันกลับมาเอ่ยขึ้น

“อันใดนะ พี่เซี่ยมีอิทธิฤทธิ์นั้น? หากเป็นเช่นนั้นผู้แซ่หานก็ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง” หานลี่ได้ยินย่อมดีอกดีใจเกินคาด

“ไม่ต้องขอบคุณ สำแดงเคล็ดวิชานี้ต้องสูญเสียพลังวิญญาณเซียนไป การลงมืออีกสองสามครั้งจากของที่เจ้าถวายมาครั้งก่อน ข้าจะต้องใช้ทีเดียวเกือบครึ่ง หากจะให้ข้าลงมือจริงๆ เจ้าก็คิดให้ดีก็แล้วกัน” นักพรตเซี่ยตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ไม่มีปัญหา! ยามนี้ข้าแค่อยากกลับแดนวิญญาณอย่างปลอดภัยเท่านั้น เสียการการลงมืออีกสองสามครั้งไปย่อมไม่เป็นปัญหาอันใด” หานลี่พลันตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด

มีขวดเล็กลึกลับอยู่ในมือ เขาย่อมไม่สนใจเรื่องของที่ต้องใช้เซ่นไหว้

“เยี่ยมในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าจะเริ่มเมื่อไหร่ ข้าก็จะลงมือเมื่อนั่น และเพราะอิทธิฤทธิ์นี้มันบ้าคลั่งเกินไป หลังจากที่ข้าลงมือระดับพลังยุทธ์จะลดลง หากพบกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ข้าก็ทำได้เพียงรักษาชีวิต ไม่อาจช่วยเจ้าต้านทานได้” นักพรตเซี่ยพยักหน้าแล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้หานลี่ใจหายวาบออกมา

“เผ่ามารระดับสูงทั่วไป ข้าย่อมจัดการได้ แต่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารระดับมหายาน ก็ไม่ได้พบเจอง่ายเช่นนั้น” หานลี่ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วตอบกลับอย่างมั่นใจอีกครั้ง

“เจ้าคิดให้ดีก็แล้วกัน!” นักพรตเซี่ยพยักหน้า แล้วหันหน้าไปไม่พูดอันใดอีก

หลังจากที่หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ ออกมา ก็เริ่มขบคิดขั้นตอนการบุกเข้าไปอย่างละเอียด

ในที่สุดเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดมน บนกำแพงป้อมปราการก็มีลูกบอลลำแสงสีขาวเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น

หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ใช้จิตสัมผัสแผ่ไปยังสถานการณ์คร่าวๆ ของป้อมปราการ หลังจากเห็นว่าไม่ต่างอันใดกับยามกลางวันนัก ก็ยืนขึ้นทันใด ปากก็พ่นคำว่า ‘เคลื่อนไหว’ ออกมา

นักพรตเซี่ยสะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นก็พ่นลำแสงสีเงินออกมา ม้วนหานลี่และจูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้เคียงเอาไว้ ทั้งสามหายวับไปท่ามกลางลำแสงสีเงิน

หลังจากผ่านไปชั่วครู่กลางอากาศห่างจากป้อมปราการยักษ์ไปไม่ถึงสิบลี้เศษ ลำแสงสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ หานลี่และพวกทั้งสามปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ

เมื่อหานลี่ปรากฏตัว ก็ชูมือข้างหนึ่งขึ้นโดยไม่พูดจา รถเหาะสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอีกครั้ง

จูกั่วเอ๋อร์บินไปด้านบนอย่างเชื่อฟังทันที ส่วนนักพรตเซี่ยกลับนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ ในมือมีลูกธนูสีทองและเงินสองลูกปรากฏขึ้น จากนั้นก็หมุนวนอย่างรวดเร็วในมือ และกลายเป็นลำแสงสีทองและเงินสองสี

ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายบนเรือนร่างของนักพรตเซี่ยก็ถูกอำพรางไปจนแทบไม่มี แต่ผิวกายกลับเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีลวดลายแปลกประหลาดสีดำเขียวปรากฏขึ้นแทบจะทั่วเรือนร่าง ดูแล้วแปลกประหลาดนัก!

ลูกธนูทั้งสองกลายเป็นลำแสงสีทองและเงินสองกลุ่ม กลับเริ่มส่งเสียงสวดอาคมภาษาสันสกฤตออกมา รัศมีลำแสงสีทองและเงินลอยออกมาอย่างรวดเร็ว และตัดสลับกันไปมารวมตัวอยู่เหนือศีรษะของเขาอย่างรวดเร็ว

ลูกบอลลำแสงสีทองเงินเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามจั้งรวมตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศและขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ผู้คุ้มกันเผ่ามารที่อยู่บนป้อมปราการย่อมสังเกตเห็นเป็นกลุ่มแรกทันที ทันใดนั้นรอบกำแพงเมืองก็มีเสียงระฆังแหลมสูงดังขึ้น ผู้คุ้มกันเผ่ามารประมาณสามสิบสี่สิบคนม้วนวนอยู่กลางอากาศ แล้วพุ่งมาหาหานลี่

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง แต่กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีเจตนาจะลงมือเลยสักนิด

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ผู้คุ้มกันเผ่ามารก็เข้ามาใกล้

เผ่ามารที่เป็นผู้นำร่างกายสูงใหญ่กว่าคนอื่นร้องตะโกนถามด้วยเสียงอันดังจากที่ไกลๆ

“ผู้ใด ไม่ทราบว่าที่นี่คือเขตต้องห้าม ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้หรือ!”

ผู้คุ้มกันเผ่ามารเหล่านั้นล้วนมีท่าทีก้าวร้าวอย่างแยกแยะไม่ออก

“เขตต้องห้าม? ไม่อาจเข้าใกล้? ขอประทานอภัย พวกเราไม่ใช่แค่จะอยู่สักครู่ ยังคิดจะขึ้นไปดูด้านบนสักหน่อย” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา กวาดตามองบนป้อมปราการแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ

“อันใดนะ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล่าวเช่นนี้ ไม่ถูกคนผู้นั้นกำลังทำอันใด! เอ๋ พลังยุทธ์ของพวกเจ้า…” เผ่ามารที่เป็นผู้นำผู้นั้นได้ฟังคำพูดของหานลี่ ก็โกรธเกรี้ยวแต่หลังจากที่แผ่จิตสัมผัสมาบนเรือนร่างของหานลี่และนักพรตเซี่ยกลับตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม

แต่ไม่รอให้เผ่ามารผู้นี้มีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด ร่างของนักพรตเซี่ยก็สั่นเทาเบาๆ ลำแสงสีทองและเงินสองดวงตรงหน้าจมหายไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ ลำแสงสีทองและเงินเหนือศีรษะกลับส่งเสียง “ปัง” ออกมา แล้วระเบิดออกโดยอัตโนมัติ!

ลำแสงสีทองและเงินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากลูกบอลลำแสงยักษ์ที่ระเบิดออก คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอักขระสีทองและเงินขนาดเท่าเมล็ดถั่ว

อักขระยันต์เหล่านี้พุ่งไปกลางอากาศราวกับเม็ดฝน คาดไม่ถึงว่าจะส่องสว่างกว่าครึ่งท้องฟ้า และตรงไปยังป้อมปราการ

ผู้คุ้มกันเผ่ามารที่อยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนักเป็นผู้ที่ต้องปะทะคนแรกพลันมีเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้นชั่วพริบตาก็ถูกฝนลำแสงทะลวงจนเป็นรูพรุน จากนั้นก็กลายเป็นควันสีเขียวสลายหายไป

ส่วนกลางอากาศรอบๆ ป้อมปราการสิบลี้เศษพลันถูกฝนลำแสงสาดลงมา เขตอาคมต้องห้ามขนาดเล็กปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทำให้กลางอากาศมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น และเปลี่ยนเป็นหลากสีสัน

ไม่รู้ว่าอักขระยันต์สีทองและเงินเหล่านั้นมีอานุภาพที่น่าเหลือเชื่ออันใด ทุกแห่งที่ฝนลำแสงกวาดผ่านไป เขตอาคมเหล่านั้นก็ทะลวงผ่านและละลายราวกับต้นหญ้าทันที ทว่าแค่สองสามชั่วลมหายใจ เขตอาคมทั่วท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นชำรุดไม่สมบูรณ์ และไม่มีเขตอาคมใดรักษาสภาพสมบูรณ์เอาไว้ได้

หลังจากที่ลูกบอลลำแสงสีทองและเงินแผ่ออกมา สีหน้าของนักพรตเซี่ยก็ซีดขาวไปสองสามครา กลิ่นอายบนเรือนร่างลดลงแปดเก้าส่วน คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนกับที่เขาพูดไว้ก่อนหน้า พละกำลังจะลดลงมาจากระดับมหายาน

“ไปกับพวกเราเถิด!”

หานลี่เห็นฉากนี้ก็ร้องตะโกนอย่างไม่ลังเล หลังจากพลิ้วกายก็เข้าไปในรถเหาะ

นักพรตเซี่ยยืนขึ้นสาวเท้ายาวๆ ร่างกายรางเลือนมาปรากฏตัวในรถเหาะ

หานลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เรือนกายมีลำแสงสีเขียวรายล้อม โคจรพลังปราณทั้งหมดในร่าง ในเวลาเดียวกันมือหนึ่งก็ร่ายอาคม ปากก็พ่นคำว่า “ไป” ออกมา

รถเหาะแค่สั่นเทาเบาๆ ส่งเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูออกมา กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งออกไป

ความเร็วดูเหมือนจะมองเห็นแค่เงาสีเขียวอ่อนเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าเขตอาคมรอบๆ ป้อมปราการมารไม่อาจต้านทานเงาสีเขียวได้ ถูกมันเปล่งแสงสว่างวาบสองสามคราก็พุ่งไปกลางอากาศอย่างไร้ซึ่งการขัดขวาง และพุ่งตรงไปยังเมฆมารที่อยู่สูงขึ้นไป

ทั้งป้อมย่อมเกิดความวุ่นวายขึ้น รถเหาะของนักรบชุดเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นมาบนฟ้า แต่จากพละกำลังของเผ่ามารธรรมดาๆ แม้กระทั่งกว่าครึ่งยังไม่พบสิ่งมีชีวิตอย่างหานลี่และพวก มีเพียงเผ่ามารระดับสูงระดับเทพแปลงหลอมสุญตาถึงจะพบการมีอยู่ของรถเหาะ ภายใต้ความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวจึงทยอยกันกระตุ้นลำแสงหลีกหนีไปขวางเอาไว้ แต่จากความเร็วแล้วจะไปขวางหานลี่ที่กระตุ้นรถเหาะเต็มกำลังได้อย่างไร

และในยามนี้ด้านในป้อมปราการก็มีกลิ่นอายแข็งแกร่งสองสามสายพวยพุ่งออกมา จากนั้นเปลวเพลิงสีเขียวมรกตลูกหนึ่ง พายุสีดำลูกหนึ่ง สายรุ้งสีโลหิตที่เจิดจ้าจนแสบตาสองสายก็พุ่งออกมาจากจุดที่แตกต่างกันของป้อมปราการ

เห็นได้ชัดว่าในที่สุดเผ่ามารระดับจอมมารสองสามตนที่คุ้มกันที่นี่อยู่ลงมือแล้ว

แต่หานลี่กลับทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นทุกอย่าง ภายใต้การพุ่งไปของรถเหาะ ชั่วพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าเมฆามารสีดำ และถูมือทั้งสองข้างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด พลางชูสองมือขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง!

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้น!

ลูกบอลอัสนีสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากสองมือ และเปล่งแสงสว่างวาบจมหายเข้าไปในเมฆสีดำ

ครู่ต่อมาเสียงอึกทึกสะเทือนเลื่อนลั่นพลันดังมาจากเมฆอย่างต่อเนื่อง อสรพิษสายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏตัวขึ้น!

เมฆมารที่ดูเหมือนหนามาก มีประจุไฟฟ้าสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด และเมื่อปะทะกันก็ทยอยกันหลอมละลาย ถูกทำให้หายวับไปจากกลางอากาศ