ตอนที่ 567 ลูกศิษย์เพื่อนเก่า โดย Ink Stone_Fantasy
เถาซานอี้ตอนที่อายุหกขวบก็ไหว้ขอเป็นศิษย์กับหนานไหวจิ้นแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยาวนานเป็นเวลาสามสิบหกปีแล้ว
หนานไหวจิ่นฝึกฝนร่ำเรียนมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมของจีนและวิชาของพระพุทธศาสนาและลัทธิขงจื๊อ มีความสำเร็จที่ลึกซึ้ง ตั้งแต่เด็กเถาซานอี้ก็ติดตามหนานไหวจิ่นมาตลอด ฝึกฝนวิชากังฟูจนชำนาญยากหาใครเทียบได้
หลายปีมานี้สำนักฉีเหมินค่อยๆ เสื่อมถอย แต่ศิลปะการต่อสู้ในไต้หวันกับฮ่องกงยังเป็นที่นิยมมาก ตอนนั้นที่อายุสามสิบแปดปี เถาซานอี้ก็ฝึกฝนวิชากังฟูจนแข็งแกร่งถึงขั้นพลังแฝง ไปเยือนยอดฝีมือทั้งสองแดน และยังเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้มาก่อน
หลายปีที่ผ่านมาหนานไหวจิ่นก็แก่ชราขึ้น เรื่องที่เกี่ยวกับภายนอกก็มีเถาซานอี้คอยจัดการดูแลอยู่ เขาก็เคยเห็นศิลปะการต่อสู้ของผู้มีฝีมือมามากมาย แต่ถ้าออกแรงช่วย ก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบ
ดังนั้นตอนที่เห็นโก่วซินเจียนักบวชเต๋าแก่ชราและผอมแห้งคนนี้ เถาซานอี้จึงไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ได้เอามาแตะตัวเอง แค่เพียงชี่แท้ที่ปล่อยออกมาภายนอก ก็ทำให้เขายากที่จะต่อต้าน วรยุทธเช่นนี้ เขาเคยเห็นจากอาจารย์ของเขาเท่านั้น
แต่ว่าเพื่อนเก่าของอาจารย์ กระทั่งเพื่อนเก่าบางคนที่อยู่ในประเทศจีน ส่วนใหญ่เถาซานอี้จะรู้จักทุกคน แต่นักพรตเฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้กลับแปลกหน้ามากที่สุด
“ตอนที่อาจารย์ของนายอายุสิบขวบฉันก็รู้จักเขาแล้ว แต่ตอนนี้น่าจะไม่เจอหน้ากันห้าสิบกว่าปีแล้วล่ะ”
โก่วซินเจียส่ายหน้าและถอนหายใจ ความเจริญรุ่งเรืองความมั่งคั่งและอำนาจก่อนครึ่งศตวรรษ ทุกอย่างผ่านไปตามกาลเวลา จนถึงปัจจุบันนี้ แม้แต่เพื่อนเก่าก็เหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว
“อะ…อาจารย์ของผมตอนอายุสิบกว่าขวบ คุณก็รู้จักเขาแล้วหรือ?”
เถาซานอี้มองโก่วซินเจียอย่างไม่อยากจะเชื่อ อาจารย์ของเขาอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ถ้าหากรู้จักกับคนที่อยู่ข้างหน้านี้ตั้งแต่เด็ก เช่นนั้นนักบวชเต๋าคนนี้ก็คงจะต้องมีอายุเท่ากัน
แต่ถึงแม้โก่วซินเจียจะมีร่างกายที่ผ่ายผอม ทว่าใบหน้ากลับมีน้ำมีนวล ยังพอมีเส้นผมสีดำตรงปลายผมอยู่บ้าง มองดูแล้วอายุมากสุดก็น่าจะประมาณหกสิบกว่าปี เถาซานอี้จึงไม่อาจคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์ได้
“รู้จักแน่นอน แต่ว่าเขาคงจำฉันไม่ได้แล้ว”
โก่วซินเจียฝืนหัวเราะ เมื่อพูดถึงเพื่อนเก่าที่อยู่ใต้หวัน เขาก็ได้ตายไปตั้งครึ่งศตวรรษแล้ว เกรงว่าชื่อของเขาจะมีบางคนนึกออกเป็นครั้งคราวกระมัง?
“ไม่ทราบว่าชื่อฆราวาสของเจินเหรินเรียกว่าอะไรครับ?” เถาซานอี้โค้งคำนับด้วยความเคารพ เขารู้ว่าอาจารย์ของตัวเองรู้จักคนไปทุกหนแห่ง ไม่แน่อาจจะมีเพื่อนเก่าคนนี้อยู่จริงก็เป็นได้
“ฉันชื่อหยวนหยาง นายไปบอกน้องไหวจิ่นแค่นี้ก็พอแล้ว”
โก่วซินเจียเดิมทีก็ไม่เคยคิดที่จะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่า แต่ในเมื่อเจอแล้ว จะติดต่อเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรตอนนี้ราชวงศ์ตระกูลเจี่ยงก็ไม่ได้ใหญ่ค้ำฟ้าแล้ว
“ชื่อหยวนหยาง? เอ๊ะ เหมือน…เหมือนผมเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงมาก่อน?”
ตอนที่เถาซานอี้เมื่อได้ยินคำว่าหยวนหยางฉายาของลัทธิเต๋า ก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินอักษรหยวนหยางที่โก่วซินเจียพูด ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาแน่ใจว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ เถาซานอี้จึงเอ่ยปากพูด “หยวนหยาง ผมนึกออกแล้ว!”
เสียงของเถาซานอี้ดังขึ้นเล็กน้อย ดึงดูดสายตาของคนบริเวณนั้น แม้ว่างานเลี้ยงจะยังไม่ได้เริ่ม แต่ว่ามุมที่เยี่ยเทียนอยู่นี้ ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนที่อยู่ในงานไปแล้ว
ขณะที่เถาซานอี้นึกถึงชื่อนั้นอยู่ในหัว สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ พลางกดเสียงต่ำและถามว่า “ชื่อ…ชื่อฆราวาสของคุณคือ…คือแซ่โก่วใช่ไหม?”
หนานไหวจิ่นเป็นปรมาจารย์ศาสตร์การค้นคว้าวิจัยวิทยาการสาขาต่างๆ สมัยใหม่ ทุ่มเทชีวิตเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิม ถูกเรียกว่ายุคของคนมหัศจรรย์ อีกทั้งยังได้รับชื่อเสียงเกียรติยศไม่น้อยจากทั่วทุกมุมโลก
แต่ว่าหนานไหวจิ่นเคยพูดกับเถาซานอี้หลายครั้ง เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาศิลปะการต่อสู้หรือว่าศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมของจีน ต่างก็ห่างจากเขามาก ทว่าน่าเสียดายที่เพื่อนสนิทคนนั้นเสียชีวิตไปเมื่อยังเป็นหนุ่ม
มีครั้งหนึ่งที่เป็นช่วงเทศกาลฉงหยาง เถาซานอี้ดื่มเป็นเพื่อนอาจารย์อยู่ที่ยอดเขา หนานไหวจิ่นอารมณ์ดื่มเหล้าได้กรึ่มๆ ก็พูดถึงเพื่อนเก่าคนนั้นอีก และครั้งนี้ได้พูดชื่อโก่วซินเจียออกมา
ถึงตอนนั้นซินแสเจี่ยงจะตายไปแล้ว แต่ว่าซินแสเจี่ยงตัวน้อยยังอยู่ หนานไหวจิ่นบอกกับเถาซานอี้ว่าเวลาอยู่ข้างนอกห้ามพูดถึงชื่อนี้ หลังจากครั้งนั้น หนานไหวจิ่นก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
เหตุการณ์ผ่านมาก็ยี่สิบกว่าปีแล้ว เถาซานอี้ได้เก็บชื่อโก่วซินเจียไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ
คนที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มักมีความทรงจำที่คนธรรมดายากจะเทียบได้ หลังจากได้ยิน “ตัวอักษร” ที่โก่วซินเจียพูด เถาซานอี้ก็นึกชื่อนี้ได้ทันที
แต่เวลานี้สีหน้าของเถาซานอี้ ไม่ต่างกับคนเห็นผีเลย เขาไม่คิดว่าคนที่ได้ตายไปกว่าครึ่งศตวรรษที่อาจารย์เคยพูดถึง กลับยังมีชีวิตและยืนอยู่ตรงหน้าของเขา
“อาจารย์ของนายเคยพูดถึงฉันด้วยหรือ?”
ถึงแม้โก่วซินเจียจะไม่ยอมรับโดยตรง แต่ความหมายในคำพูดของเขานั้นก็ไม่เป็นที่สงสัย “อาจารย์ของนายเคยเป็นลูกน้องของฉันอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นถูกคนจับตามองอย่างมากเกินไป ก็คือเรื่องที่ฉันแกล้งตาย เขาเองก็ไม่รู้!”
“เป็น…เป็นคุณจริงๆ เหรอครับ?”
เมื่อเถาซานอี้ได้ยินคำนี้ ภายในใจก็ยืนยันแน่ชัดแล้ว เพราะว่าอาจารย์เคยพูดถึงจริงๆ เขาเคยได้เรียนรู้เกี่ยวกับมารยาทในการเข้าสังคมจากคนนั้นไม่น้อยเลย
แน่นอนว่า ชีวิตและฐานะทางสังคมของโก่วซินเจีย เถาซ่านอี้ยังไม่รู้เลย ถึงอย่างไรชื่อของโก่วซินเจียในไต้หวัน ก็ยังคงเป็นชื่อต้องห้าม
“คาราวะอาจารย์!”
เถาซานอี้ก็ไม่ได้ลังเลใจ ไม่สนว่าที่นี่คือที่ไหน คุกเข่าทั้งสองข้าง ก้มศีรษะโค้งคำนับลงไป โก่วซินเจียไม่เหมือนกับคนธรรมดา เขาจำเป็นต้องแสดงความเคารพอย่างอาจารย์และลูกศิษย์
“ทำอะไรเนี่ย? ลุกขึ้น!”
โก่วซินเจียคิดไม่ถึงเลยว่าเถาซานอี้จะคุกเข่าลงต่อหน้าผู้คนในงานเลี้ยงของห้องโถงใหญ่นี้ จึงไม่ทันระวังก็ทำให้เขาคุกเข่าลงไปกับพื้นแล้ว จึงรีบใช้มือดึงเขาให้ลุกขึ้นมา
แต่ว่าฉากนี้ได้สร้างความสนใจต่อสายตาของพวกเขาแล้ว คนที่ไม่รู้จักเถาซานอี้ก็จะคิดว่าเขาทำอะไรแปลกๆ เพราะยุคสมัยไหนแล้ว ยังมีคนที่ต้องคุกเข่าเคารพอีก?
แต่ว่ามหาเศรษฐีบางคนก็รู้จักเถาซานอี้ กลับรู้สึกให้ความสนใจไปที่ตัวของนักพรตเฒ่าตัวผอมคนนั้น หนานไหว จิ่นคือใคร? คนที่สามารถทำให้ลูกศิษย์ของเขาคุกเข่าเคารพได้ แสดงว่าต้องมีฐานะที่สูงกว่าจนน่าตกใจ?
คนทั่วไปก็คิดแค่ว่าหนานไหวจิ่นคือปรมาจารย์ที่ค้นคว้าและวิจัยสาขาต่างๆ ของวัฒนธรรมจีน
แต่ว่ามหาเศรษฐีเหล่านี้กลับรู้ว่า “ปรมาจารย์หนาน” ไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่นี้ เขาใช้หลักการทำนายเสี่ยงทายสายนี้ เกรงว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่า “ปรมาจารย์จั่ว”!
มีมหาเศรษฐีบางคนที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับจั่วเจียจวิ้น ได้เตรียมตัวขอสืบข่าวจากจั่วเจียจวิ้นแล้ว
ซ่งเวยหลันสามีภรรยาอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นไร เดิมทีก็เป็นแวดวงของพวกมหาเศรษฐีอยู่แล้ว จะนำมาเกี่ยวข้องกับศาสตร์การดู ฮวงจุ้ยและนรลักษณ์ศาสตร์ได้อย่างไร?
“อา…อาจารย์…”
ตอนที่เถาซานอี้เรียกชื่อนี้ออกมามีความรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เพราะคนที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่าอาจารย์ของเขาในโลกนี้ มีน้อยมากจริงๆ เขาโตขนาดนี้แล้วแต่ก็เคยเรียกคนอื่นแบบนี้ตอนที่เขาเป็นเด็กเท่านั้น
“อาจารย์ ท่านใช้ชีวิตที่ผ่านมาอย่างไรบ้างครับ? อาจารย์คิดถึงท่านเป็นอย่างมาก เทศกาลฉงหยางของทุกปีเขา…เขาก็จะดื่มเหล้าให้ท่านตลอด!”
เถาซานอี้ไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นสักเท่าไร แต่ว่าเขารู้ว่า ตอนที่หนานไหวจิ่นเอาเหล้ามาไหว้ในเทศกาลฉงหยางทุกปี จะมีแก้วหนึ่งจะเป็นต้องเตรียมไว้ให้เพื่อนเก่าที่อยู่ตรงหน้านี้
“น้องไหวจิ่นมีความตั้งใจดี สุขภาพของเขาเป็นยังไงบ้าง?” โก่วซินเจียเอ่ยปากถาม เพราะนานๆ จะมีเพื่อนเก่าจำตัวเองได้
“อ้ออาจารย์ครับ สุขภาพของอาจารย์ดีมากครับ เขาเพิ่งไปอเมริกาเมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านครับ”
เถาซานอี้ชะงักครู่หนึ่ง และพูดอย่างลังเล “อาจารย์ ทำไม…ทำไมท่านถึงไม่ติดต่อกับอาจารย์ของผมครับ? ผมสามารถบอกเรื่องที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ให้อาจารย์ได้ไหมครับ?”
เถาซานอี้ก็เป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพ เขารู้ว่าใคในยุทธภพมากมายที่หลบซ่อนตัว ในเมื่อโก่วซินเจียไม่ต้องการติดต่อกับอาจารย์ เขาก็คงมีความลำบากใจของเขาเอง
“เหอะๆ ตอนนั้นฉันหลบไปใช้ชีวิตสันโดษในป่า จึงไม่รู้ว่าอาจารย์ของนายยังอยู่หรือตายไปแล้ว…”
โก่วซินเจียได้ยินก็หัวเราะออกมา “ตอนหลังจึงได้ยินชื่อเสียงของน้องไหวจิ่น แต่ก็ไม่มีช่องทางติดต่อแล้ว นายไปบอกเขาเถอะ ถ้าหากน้องไหวจิ่นมีเวลา ก็ให้เขามาที่ฮ่องกงสักครั้ง!”
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ของโลกจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คนที่สามารถจดจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ก็มีน้อยลงทุกวัน แต่ว่าโก่วซินเจียกลับไม่ไปที่ไต้หวันอีกแล้ว เพื่อนเก่าของเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ครอบครัวของศัตรูกันในอดีต ได้มีอิทธิพลมากมายอยู่ที่นั่น
“ครับ ผม…ผมจะโทรศัพท์หาอาจารย์เดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นโก่วซินเจียตกลง เถาซานอี้ก็ดีใจ เขาไม่รู้ว่าถ้าอาจารย์ได้รับโทรศัพท์สายนี้แล้ว ถ้ารู้ว่าเพื่อนสนิทของเขาที่ตายไปเมื่อสิบปีที่แล้วยังมีชีวิตอยู่ จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร?
“ศิษย์พี่รอง พี่ไม่มีที่เงียบกว่านี้แล้วเหรอ?”
หลังจากรอให้เถาซานอี้ออกไปโทรศัพท์ข้างนอก เยี่ยเทียนจึงยิ้มเจื่อนให้กับจั่วเจียจวิ้น ความว่องไวของการสัมผัสการขีบเคลื่อนของชี่ของเขาอยู่ระดับไหนกัน? กับทุกสายตาที่จ้องมองพวกเขาสองสามคนนั้น ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่สบายอยู่ในใจ
“ศิษย์น้องเล็ก นายเดินไปไหนก็กลายเป็นคนสำคัญตลอดเลยเรอะ?”
จั่วเจียจวิ้นหัวเราะขึ้นมา พูดว่า “หรือว่าฉันจะกลับไปประกาศใหม่ว่านายเป็นคนทำสำนักฮวงจุ้ยขึ้นมาดีไหม?”
“พอเลย ศิษย์พี่รอง ถ้าพี่กล้าพูด ผมจะหนีแกไปตอนนี้เลย” เยี่ยเทียนทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นยืน แล้วจึงเห็นคนสี่ห้าคนกำลังเดินเข้ามาหาตัวเองพอดี
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเดี่ยวๆ ตะโกนมาแต่ไกลว่า “เหล่าจั่ว ครั้งนี้นายออกทุนเยอะมากเลยนะ เสาฮวงจุ้ยนั้นดูดซับพลังชี่แท้หลายสิบกิโลเมตรตามแนวชายฝั่ง ทำให้ครึ่งหลังของไหล่เขากลายเป็นเส้นเลือดมังกรบนเกาะฮ่องกงไปเลย “
หลังจากจั่วเจียจวิ้นได้ยินเสียงนี้ จึงขมวดคิ้วที่ใครยากจะสังเกตเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ คลายออก แล้วหันหลังกลับไปทักทาย พลางยิ้มพูด “พี่อี้พูดชมเกินไปแล้ว ฝีมือระดับจิ๊บจ๊อยเอง คงไม่เข้าตาของพี่อี้หรอก”
เหล่าจั่วเธอก็ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ขื่อเสียงของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยอันดับหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปนานแล้ว!”
คนที่มาหัวเราะฮ่าๆ แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “แต่ไม่รู้ว่าสำนักฮวงจุ้ยนี้จะมีประสิทธิผลอย่างน่ามหัศจรรย์ไหม?”
“หรือว่านี่คือการปัดแข้งปัดขาระหว่างคนสายอาชีพเดียวกัน?”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของคนนั้น เยี่ยเทียนก็เลิกคิ้ว เพราะพลังชี่แท้บนตัวของคนนี้มีความแปรผัน จะต้องเป็นคนสำนักเหมินแน่นอน
แต่คนนี้ยังไม่สามารถควบคุมชี่แท้ได้อย่างสมบูรณ์ ในสายตาของเยี่ยเทียน วรยุทธของเขาก็คงไม่ต่างจากเถาซานอี้มากนัก
………………………………………………………………….