บทที่ 1496 หน้าตาเหมือนไก่นก

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

สิ่งที่เรียกว่าส่วนต่างราคาคืออะไรล่ะ? ก็นี่ไงส่วนต่างราคา ทั้งยังเป็นส่วนต่างราคาหลายเท่าด้วย!

แบบนี้ก็เท่ากับว่ายาแก่นเซียนหนึ่งเม็ดสามารถเอามาทำเป็นสองเม็ดหรือหลายเม็ดไว้ใช้ได้ ตามวรยุทธ์ที่ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งประหยัดทรัพยากรฝึกตนได้มากเท่านั้น

ยังมีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือตอนที่เรียกพลังปรารถนาเพิ่มขึ้น ก็สามารถดึงคนอีกหลายคนมาร่วมฝึกตนด้วยกันได้เลย ตามประสิทธิภาพซ้อนทับที่ไร้ขอบเขตนี้ ยิ่งมีคนมากก็จะยิ่งประหยัดทรัพยากรฝึกตนได้มาก แน่นอน เขาจะไม่ดึงคนที่ไม่ไว้ใจมาร่วมฝึก แต่ถ้าเป็นอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีปัญหาเลย ยกตัวอย่างเช่นถ้าอวิ๋นจือชิวมาฝึกตนด้วยกัน ก็สามารถประหยัดแรงในการกลั่นกรองได้ ถึงแม้จะดูดซับอย่างเต็มที่ แต่ก็สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนให้อวิ๋นจือชิวได้เยอะมาก

แค่จินตนาการก็รู้สึกดีมากแล้ว ตอนนี้รู้สึกจนใจนิดหน่อย เพราะเขากับอวิ๋นจือชิวอยู่แยกกันคนละที่เป็นระยะเวลายาวนาน ไม่สามารถฝึกตนด้วยกันได้

ยังมีความยุ่งยากอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเห็นแต่คนนำลูกแก้วพลังปรารถนาไปแลกเป็นอย่างอื่น ยังไม่เคยได้ยินใครนำอย่างอื่นมาแลกเป็นลูกแก้วพลังปรารถนาเลย ถ้าจะแลกก็แลกเป็นพวกยาเสริมพลังชีวิตกับยาแก่นเซียน ถ้าไม่ใช่เพราะเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่กลั่นออกจากลูกแก้วพลังปรารถนายังมีมูลค่าเสริม ก็คาดว่าคงไม่มีใครอยากแลก

ก็เป็นอย่างที่บอกไว้ การใช้ลูกแก้วพลังปรารถนานั้นยุ่งยาก

พอเป็นแบบนี้ พอจะแลกเป็นจำนวนเยอะๆ เรื่องนี้ก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย จะต้องทำให้คนอื่นสงสัยแน่นอน แลกกับกำลังพลของตัวเองก็ไม่ได้ กับตำหนักสวรรค์ก็ไม่ได้ แต่สามารถทำการค้าลับๆ ที่ตลาดผีได้ เดี๋ยวกลับไปเขาจะให้อวิ๋นจือชิวไปจัดการเรื่องนี้

ใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพมหัศจรรย์ขนาดนี้ นี่คือสิ่งที่เหมียวอี้ไม่คาดคิดมาก่อน ช่างดีงาม! ต่อให้นอนฝันก็อาจจะยิ้มออกมาได้

เขาหัวเราะเหมือนคนโง่อยู่สักพัก แล้วก็ตั้งสมาธิฝึกตนต่อไป

“วี้ด…วี้ด…”

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เสียงนกร้องที่ใสกังวานและอ่อนเยาว์ดังต่อเนื่องกันสองครั้ง เสียงนั้นทะยานสู่ท้องฟ้า แล้วก็เบาลงเหมือนมีเสียงกระบี่ดังอยู่ในหุบเขา

วิญญาณอัคคีในหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญทยอยกันโผล่หน้าออกมา มองไปที่ภูเขาถ้ำมังกร

กลุ่มไอหมอกที่ปกคลุมอยู่ริมทะเลสาบตรงตีนเขาก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เหมียวอี้ที่ปรากฏยืนขึ้นและมองไปบนภูเขาอย่างงุนงง

สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไรกัน? หลังจากงุนงงไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว  เสียงนั้นดังมาจากกลางภูเขา ตรงกลางภูเขายังมีเสียงดังก้อง เขาจึงรีบวิ่งขึ้นภูเขาไป ถลันตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่ของถ้ำมังกร

กลุ่มวิญญาณอัคคีที่ปรากฏตัวไม่มีใครกล้าบุกเข้ามา ต่างก็ยืนอึ้งอยู่กับที่ในขณะที่มองตามเขาเดินเข้าไป

ในตำหนักยังคงว่างเปล่า เพียงแต่เปลวเพลิงที่ลุกโชนในบ่อเพลิงมังกรกำลังกระเพื่อมอย่างรุนแรง เพลิงเดือดพลันยืดสูงขึ้น แล้วอีกประเดี๋ยวก็จมหายไป จกานั้นก็แกว่งไกวอย่างถี่กระชั้นกับโดนลมพายุ

นี่คือเหตุการณ์สุดประหลาด เหมียวอี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบวิ่งไปข้างบ่อเพลิงมังกร แทบจะจมมิดเข้าไปในเปลวเพลิงที่โผเข้ามาใส่เกราะหัวอย่างกะทันหัน เขาจึงใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งดัน รีบกันไฟเอาไว้

เปลวเพลิงที่โผเข้ามาครอบเขาชักกลับเข้าไปในบ่อเพลิงมังกรอีกครั้ง เหมียวอี้ถามเสียงต่ำว่า “ผู้อาวุโส เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ เขาก็ตะโกนอีกหลายครั้งติดต่อกัน แต่กลับเป็นเฮยทั่นที่ ‘สูบควัน’ อยู่ในตำหนักใต้ดินที่วิ่งออกมาเพราะโดนรบกวน มันสั่นหัวส่ายหางและถลึงตามองอย่างสงสัย

สุดท้ายก็ยังไม่มีเสียงตอบ เหมียวอี้จึงกระโจนตัวขึ้นไปริมบ่อเพลิง แล้วเพ่งมองลงไปขณะที่ตัวอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิง

ทันใดนั้น แสงสว่างในบ่อเพลิงมังกรก็พลันพุ่งออกมา ส่องเหมียวอี้จนต้องรีบยกมือบังหน้า เขารีบถอยหลังกระโดดลงไป แล้วจ้องมองการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในบ่อเพลิงมังกรด้วยสีหน้าจริงจัง

แสงสว่างที่เอ่อล้นออกมายิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาที่แสงสว่างวาบจนแทงตา แสงสว่างก็พลันอ่อนจางลงอีก

เหมียวอี้ก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกหลายก้าว ขณะกำลังจะดูอีกครั้งว่าอะไรเป็นอะไร แต่ใครจะคิดว่าเพลิงเดือดในบ่อเพลิงมังกรจะระเบิดอย่างฉับพลัน เพลิงพุ่งตรงขึ้นเพดานโค้ง ในตำหนักใหญ่ที่เดิมทีเย็นสบาย ตอนนี้อุณหภูมิสูงขึ้นหลายเท่า ลำแสงสองสายพุ่งออกมาจากในนั้น นกน้อยขนสีรุ้งน่ารักสองตัวกำลังเปล่งแสงสว่าง กำลังกางปีกกระพืออยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสูง ดูศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าประหลาดเมื่ออยู่ภายใต้การขับดุนของบรรยากาศแบบนี้ ทำให้ดูค่อนข้างสูงส่งด้วย

เหมียวอี้กับเฮยทั่นตะลึงค้างพร้อมกัน ได้แต่มองดูตาปริบๆ

นกหยกรุ้งสองตัวที่มีขนาดเท่าไก่ฟ้าพลันแยกไปทางซ้ายและขวา ต่างก็ลากดึงมังกรเพลิงสายหนึ่งบินวนอยู่ในตำหนักใหญ่ จากนั้นก็ร่ายระบำ เดี๋ยวบินขึ้นเดี๋ยวบินลงอยู่ในตำหนักใหญ่ บินร่อนไปทางซ้ายทีขวาที ลากเปลวเพลิงไว้ข้างหลังไม่หยุด สวยสดงดงามมาก

ในตำหนักใหญ่ที่เย็นสบายเปลี่ยนเป็นเตาไฟทันที ในเปลวไฟในบ่อเพลิงมังกรกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิมแล้ว หัวมังกรเพลิงที่เกิดจากวิญญาณชำรุดรวมตัวกันก็ปรากฏขึ้นที่ด้านบนของบ่อเพลิงมังกรอีกครั้งเช่นกัน ดวงตาเพลิงที่ดุร้ายกลอกกลิ้งจ้องอยู่กับวิถีการบินของนกน้อยขนสีรุ้งเป็นระยะ มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน มีเพียงความเคร่งขรึมจริงจัง ดุร้าย่นากลัว

“ผู้อาวุโส นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เหมียวอี้ที่เหลียวซ้ายแลขวามองตามนกน้อยขนสีรุ้งเหมือนกันถามอย่างประหลาดใจ

หัวมังกรเพลิงไม่ได้ตอบ ตอนนี้เรียกได้ว่ามองข้ามเหมียวอี้ราวกับไม่มีตัวตน กำลังสนใจแค่นกสองตัวนั้น

ตามแสงสว่างบนตัวนกน้อยขนสีรุ้งที่ค่อยๆ เลือนรางไป มังกรเพลิงสองสายที่ลากอยู่ข้างหลังมันก็ หดหายไปทีละนิดเช่นกัน จนกระทั่งหายไปจนหมด อุณหภูมิในห้องนั้นถึงได้กลับมาเป็นปกติอย่างช้าๆ

จู่ๆ นกน้อยขนสีรุ้งสองตัวที่บินวนจนพอแล้วก็บินเข้ามาพร้อมกัน มากระพือปีกอยู่กลางอากาศ หยุดอยู่ตรงข้ามกับบ่อเพลิงมังกร ระดับความสูงเท่ากับหัวมังกรเพลิงที่อยู่เหนือบ่อเพลิงมังกร ทั้งสองฝ่ายสบตากันโดยไม่พูดอะไร ให้ความรู้สึกเหมือนมองตาก็รู้ใจ

เหมียวอี้บังเอิญอยู่ด้านล่างระหว่างทั้งสองฝ่ายพอดี หันซ้ายมองหัวมังกรเพลิง หันขวามองนกน้อยขนสีรุ้งสองตัว

ตอนนี้ถึงได้เห็นลักษณะของนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวนั้นชัดเจน มีขนาดเท่ากับไก่ฟ้าตัวหนึ่ง หน้าตาก็เหมือนไก่ฟ้าเช่นกัน ขนนกที่สว่างสดใสทั้งตัวดูสวยหรูเยือกเย็น เท้าสองข้างเป็นสีทอง ดวงตาทั้งคู่ใสสะอาดดุจกระจกแวววาว มีสง่าราศีเต็มเปี่ยม ลักษณะท่าทางค่อนข้างโอหังและน่าเกรงขาม เผยให้เห็นลักษณะสูงส่งเหนือกว่าสามัญชน

นอกจากนี้ ลักษณะภายนอกก็เหมือนจะไม่ได้มีอะไรยอดเยี่ยมสักเท่าไร รูปร่างเล็กจนไม่สะดุดตา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เหมียวอี้สงสัย ว่าทำไมถึงมีนกแบบนี้โผล่ขึ้นมาจากบ่อเพลิงมังกรได้? อย่าบอกนะว่าเสียงนกร้องที่เขย่าท้องฟ้าก่อนหน้านี้คือเสียงของพวกมัน?

สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้คิดเชื่อมโยงถึงไข่หินสองใบที่ตัวเองนำมาจากรังนกแล้วโยนลงบ่อเพลิงมังกร กอปรกับความไม่ธรรมดาของที่นี่ เขาอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตกตะลึง “ผู้อาวุโส อย่าบอกนะว่าไข่หินสองใบที่ข้านำมาจากรังนกฟักไข่แล้ว? อย่าบอกนะว่าไข่หินสองใบนั้นคือไข่หงส์เฟิ่งหวง? พวกมันสองตัวคือหงส์เฟิ่งหวงเหรอ?”

นกน้อยขนสีรุ้งสองตัวได้ยินแล้วก้มหน้ามองลงมาข้างล่างพร้อมกัน ดวงตางามใสดุจกระจกจ้องอยู่บนตัวเหมียวอี้ เหมือนกำลังมองประเมินอย่างละเอียด

เฮยทั่นที่หลบอยู่อีกมุมได้ยินแล้วก็กะพริบตาปริบๆ ทำท่าเหมือนสงสัยใคร่รู้

หัวมังกรเพลิงกลับไม่ตอบอะไร เพียงจ้องนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวนั้น “เฮ้อ” แล้วถอนหายใจเบาๆ เสียงที่ทับซ้อนกันฟังดูปลงอนิจจังไร้ที่สิ้นสุ จากนั้นแสงไฟก็กะพริบ เปลวเพลิงเดือดเหนือบ่อเพลิงมังกรกลายเป็นรูปมังกรเลื้อยอีกครั้ง หัวมังกรเพลิงจมหายไปแล้ว

นกน้อยขนสีรุ้งสองตัวเหมือนจะคุ้ยเคยทางที่นี่มาก พอพวกมันกระพือปีกบินข้ามเปลวไฟดุร้ายด้านบนบ่อเพลิงมังกร จากที่นี่บินเป็นคู่ก็จะแยกออกไปทางซ้ายและขวา บินเข้าไปในประตูซ้ายและขวาของเก้าอี้แปดตัวนั้น เข้าตำหนักหลังไปแล้ว

เฮยทั่นที่เงยหน้าตามหันหัวไปข้างหลังและหันตัวตาม แล้วก็วิ่งตามไปแล้ว

เหมียวอี้ก็ถลันตัวตามเข้าไปเช่นกัน รีบเข้าไปในตำหนักหลัง พอได้ยินเสียงเท้าเฮยทั่นวิ่งไปที่ตำหนักใต้ดินแล้ว เขาก็ถลันตัวลงไปเช่นกัน

พอเข้ามาในตำหนักใต้ดิน ก็เห็นเฮยทั่นกำลังส่ายหน้าเงยหน้ามองอยู่บนพื้นที่ว่างระหว่างปราณชั่วร้ายที่พ่นออกมา ส่วนนกน้อยขนสีรุ้งจนสีรุ้งสองตัวนั่นก็บินร่อนข้ามไปมาอยู่ระหว่างปราณชั่วร้ายแปดสายนั้นเช่นกัน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ ถึงได้เห็นนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวนั้นเกาะที่ข้างซ้ายและขวา เกาะข้างปราณชั่วร้ายบนเตียงหินสองตัว จากนั้นหลับตารับปราณชั่วร้ายที่พุ่งขึ้นมาอย่างเงียบๆ เงยหน้าอย่างหยิ่งยโส

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว กลิ่นหอมอัศจรรย์กลุ่มหนึ่งก็โชยอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นที่ต่างจากเฮยทั่นหลังจากดูดซับปราณชั่วร้าย แต่ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสดชื่นเหมือนกัน ทำให้ได้กลิ่นแล้วผ่อนคลายสบายใจ เพียงแต่กลิ่นไม่เหมือนกันก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้ที่เดินเข้าไปอยู่ระหว่างเตียงแปดหลังนั้นใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง เขาเห็นลำแสงที่เล็กมากจนตาเปล่ามองไม่เห็นลอยกระจายอยู่ท่ามกลางความลี้ลับ

ไม่กลัวปราณชั่วร้าย ทั้งยังกลั่นกรองปราณชั่วร้ายได้อีก เหมียวอี้ที่พยักหน้าเบาๆ แน่ใจแล้ว ว่านกสองตัวนี้น่าจะเป็นลูกนกหงส์เฟิ่งหวงจริงๆ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าไข่สองใบที่ตัวเองนำมาฟักเป็นตัวแล้วหรือเปล่า?

ตอนแรกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจและรู้สึกว่าน่าจะเป็นแบบนี้ แต่ก็สงสัยอีกว่าถ้าสมมุติเป็นลูกนกหงส์เฟิ่งหวงสองตัที่เพิ่งฟักจริงๆ แล้วทำไมพอเกิดมาถึงคุ้นเคยกับสถานที่นี้แบบนี้ล่ะ สามารถบินตรงมาที่ตำหนักใต้ดินและหาแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายเพื่อกลั่นกรองปราณชั่วร้ายได้เองเลยเหรอ?

ต้องทราบไว้ว่าตอนที่เขาเพิ่งจะมา กว่าจะหาแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายพบก็แทบจะหัวหมุนเหมือนกัน ทั้งยังต้องปีนขึ้น ‘ปล่องควัน’ กว่าจะหาที่นี่พบ เขาอดสงสัยไม่ได้

ถึงแม้เหมียวอี้จะสั่งเฮยทั่นไว้แล้วว่าห้ามอ้าปากพูดโดยไม่รับอนุญาต แต่ตอนนี้เฮยทั่นก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าสองตัวที่หน้าตาไก่นกเป็นหงส์เฟิ่งหวงจริงเหรอ?”

หน้าตาไก่นกอะไรกัน? เหมียวอี้กลอกตามองบน พบว่าเจ้าสัตว์ที่มีคลังศัพท์จำกัดมักจะประดิษฐ์และรวมคำใหม่ขึ้นมาเสมอ ทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยที่บอกว่ามันเป็นลูกผสมนอกคอกจะไม่ผิดเลยสักนิด

“น่าจะใช่มั้ง! ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ พวกมันก็ดูดซับปราณชั่วร้ายของพวกมัน เจ้าก็ดูดซับปราณชั่วร้ายของเจ้า ที่นี่มีแปดโพรงไม่เป็นอุปสรรคต่อเจ้าหรอก ใกล้ถึงเวลาที่พวกเราจะได้ออกจากที่นี่แล้ว อย่าสร้างปัญหาให้ข้า” เหมียวอี้จำเป็นต้องเตือนมันสักรอบ เฮยทั่นเป็นประเภทที่ถ้าไม่ได้ก่อเรื่องแล้วจะอยู่ไม่เป็นสุข อย่างน้อยในสายตาเหมียวอี้ก็เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่พูดได้แล้ว มันก็ต่ำช้าสุดๆ ต้องคอยดึงหูสั่งสอนบ่อยๆ ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอก็อาจจะก่อเรื่องได้

“ไม่หรอก ข้าจะทำเรื่องประเภทรังแกเด็กได้ยังไง” เฮยทั่นก็เงยหน้าอย่างโอหังเลียนแบบนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวนั่นเช่นกัน มันบอกเป็นนัยว่าร่างกายตัวเองใหญ่กว่านกสองตัวนั้น มันหันตัวกระโดดขึ้นไปบนเตียงหินตัวหนึ่ง แล้วหมอบดื่มด่ำกับปราณชั่วร้ายของตัวเองต่อไป ไม่อย่างก็นอนหลับพร้อมกรนเบาๆ แล้ว

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินกลับมาจ้องประเมินนกน้อยขนสีรุ้งสองตัวอย่างละเอียด แต่ก็เท่านั้น เพราะใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นหงส์เฟิ่งหวงที่แท้จริงของตำหนักสวรรค์ เมื่อเทียบกับลูกนกสองตัวนี้แล้วถือว่าสวยกว่าเยอะ ไม่มีอะไรน่าดู จึงหันตัวเดินออกไปแล้ว ลงภูเขากลับมาที่ริมทะเลสาบหินหนืด แล้วรีบเร่งฝึกตนต่อไป

อยู่ร่วมห้องด้วยกันตอนไม่กี่วันแรก เฮยทั่นก็ยังจดจำคำพูดเหมียวอี้ได้อยู่ นอนหมอบอยู่อย่างนั้นอย่างซื่อสัตย์

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตามที่คำพูดของเหมียวอี้ค่อยๆ จางหายไป เฮยทั่นที่นอนหมอบก็เหลือบมองนกสองตัวนั้นเป็นระยะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนรับลมอยู่ท่าเดิมตลอด ไม่ชายตาแลมันเลยสักนิด มันก็เริ่มเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายแล้ว มันเริ่มสร้างเสียงดังไม่หยุด สะบัดหางตีบนเตียงเป็นระยะ

ปรากฏว่าไม่ได้ผล ลูกนกสองตัวนั้นไม่สนใจสิ่งยั่งยุภายนอก ยืนเงียบราวกับเป็นรูปสลักสองตัว

หลังจากนั้นอีกหลายวัน ในที่สุดเฮยทั่นก็กระโดดลงจากเตียงแล้ว มันเดินไปทางซ้ายเดินไปทางขวา เดินช้าๆ ไปอยู่ข้างกายนกสองตัวนั้น แล้วเอ่ยปากถามว่า “พวกเจ้าทั้งสองคือหงส์เฟิ่งหวงเหรอ?”

อีกฝ่ายยังคงทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งเหมือนเดิม ยังคงไม่สะทกสะท้าน เฮยทั่นที่เหลือบซ้ายเหลือบขวาไม่สบอารมณ์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มองข้าตรงๆ โบราณกล่าวไว้ว่า ‘ถ้าคนอื่นไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินคนอื่น!’ ดังนั้นคำพูดของมันจึงเริ่มหยาบคายสุดๆ แล้ว “โคตรพ่อเจ้าสิ นอนรังเดียวกับข้าแล้วแท้ๆ แค่เป็นไก่นกอย่างพวกเจ้า บังอาจมาทำตัวสูงส่งต่อหน้าพ่อเหรอ?”

…………………………