บทที่ 909 บีบบังคับอย่างดุดัน

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 909 บีบบังคับอย่างดุดัน
“อ้าก…..”

ถึงแม้ไป๋หลี่หมิงอยู่ขั้นระดับหนึ่ง ก็สู้จำนวนที่มากมายไม่ได้ ถูกล้อมรอบไปด้วยหมาป่า เขาถูกกัดจนเลือดอาบตัว แต่เขาก็ไม่มีความสามารถในการต่อสู้กลับ

แขนขวาของเขาถูกกัดจนขาด

“อ้าก…แขนของข้า….แขนของข้าไม่มีแล้ว….”

ไป๋หลี่หมิงร้องโอดครวญ

“อึ๊บอึ๊บอึ๊บ……”

ฝ่ามือที่แข็งแรงพุ่งลงมาอย่างดุเดือดจากระยะไกลสองสามครั้ง จนหมาป่าหิมะกระเด็น

คนยังมาไม่ถึง พลังฝ่ามือกลับมาถึงก่อน

หมาป่าหิมะล้มลงเป็นกองๆ

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว

ระดับสี่….

มีระดับสี่มาถึงสามคน

กำลังนางด้อยกว่า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา

ชาวบ้านพวกนั้นยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา

สถานการณ์คับขัน รีบหนีก่อนดีกว่า

กู้ชูหน่วนมาหาพวกชาวบ้าน สั่งให้พวกชาวบ้านแยกย้ายกันไป ห้ามกลับไปยังหมู่บ้านหลิน หนีไปได้ยิ่งไกลก็ยิ่งดี ตระกูลไป๋หลี่จะได้ตามไปแก้แค้นไม่ได้

“แม่นาง ข้าไปกับเจ้าได้ไหม? ไม่มีท่านปู่ปล้ว ข้า….ก็ไม่รู้จะไปที่ไหน”

หลินซือหย่วนพูดขึ้นมาด้วยแววตาแดงก่ำ

“ข้าก็ไม่รู้จะไปไหน”

กู้ชูหน่วนเงียบไปสักพัก พร้อมพูดขึ้นว่า “ไปเถอะ”

รีบไปจากที่นี่ก่อน เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นจะหันกลับมาทำร้ายพวกเขา เรื่องในอนาคตต่อไปค่อยว่ากัน

“ดี”

หลินซือหย่วนแบกศพท่านปู่หลินขึ้นมา แล้วก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีหนีออกไปจากที่นี่พร้อมกับกู้ชูหน่วน เหลือความวุ่นวายเป็นกองไว้ให้ตระกูลไป๋หลี่จัดการ

เย่จิ่งหานมองดูเงาร่างกายที่ผ่ายผอมเรือนนั้น สายตาประกายรอยยิ้ม

ผู้หญิงคนนี้…

น่าสนใจ

ภายในป่ารกร้าง

กู้ชูหน่วนกับหลินซือหย่วนฝังท่านปู่หลินไว้อย่างง่ายๆ หลินซือหย่วนเช็ดน้ำตาอยู่ตลอดเวลา พร้อมก้มหน้าร้องไห้

กู้ชูหน่วนโค้งคำนับให้กับท่านปู่หลิน เพื่อแสดงความเคารพ

นางเอามือไขว้หลัง ยืดเอวหลังตรง แม้จะมองท้องฟ้าสีคราม ริมฝีปากบางเบากลับพูดออกมาหนึ่งประโยคให้หลินซือหย่วนได้ครุ่นคิดว่า

“เดิมคนอ่อนแอบนโลกนี้ก็เป็นอาหารของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เจ้าไม่อยากถูกรังแก อยากปกป้องคนที่รัก มีเพียงต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”

“ข้าอยากแข็งแกร่ง เจ้าสอนวิทยายุทธให้ข้าได้ไหม?”

“ตอนนี้กำลังของข้าอ่อนแอมาก เรียนรู้วิทยายุทธกับข้านั้นไม่มีประโยชน์ อีกอย่าง ข้ายังจะต้องสืบรู้ความเป็นมาของข้า มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยไม่ได้”

นางมีลางสังหรณ์ เส้นทางในอนาคตของนางนั้นไม่ง่ายแน่ คนที่นางมีเรื่องด้วยก็มีไม่น้อยแน่นอน

“แม่นางพูดล้อเล่น วิทยายุทธของเจ้าเก่งกาจขนาดนั้น ไม่เพียงสามารถทำลายค่ายกลของพวกเขา ยังสามารถต่อสู้กับหมาป่าหิมะมากมายขนาดนั้นได้ด้วย นักล่าสัตว์ที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน ยังสู้เจ้าไม่ได้เลย”

“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยเห็นคนที่เก่งจริงๆ”

“งั้นเจ้าเคยเห็นหรือ?”

กู้ชูหน่วนส่ายหัว

นางก็ไม่เคยเห็น แต่นางมองก็รู้ว่า สองคนที่มาจากตระกูลไป๋หลี่เมื่อกี้นั้น มีพลังความสามารถถึงระดับสี่

ส่วนนาง…..

หากเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเพียงชีพจรยุทธ์ชั้นหนึ่ง

ความสามารถของนางแตกต่างจากพวกเขานับหมื่นแสนเท่า หากพวกเขาคิดลงมือฆ่า นางหลบไม่ได้แน่นอน

นางมีเรื่องกับตระกูลไป๋หลี่แน่นอนแล้ว ติดตามอยู่นาง มีแต่โทษไม่มีประโชน์

“ข้าติดหนี้บุญคุณพวกเจ้า ความแค้นของท่านปู่ ข้าจะแก้แค้นแทนเจ้า ส่วนเจ้า….ดูแลตัวเองให้ดี”

พูดเสร็จ กู้ชูหน่วนก้าวเท้าเดินจากไป เหลือไว้เพียงเงาหลังที่เยือกเย็น

“แม่นาง…..”

หลินซือหย่วนอยากตามไป แต่นางรวดเร็วมาก ไม่ว่าเขาจะวิ่งตามยังไงก็ตามไม่ทัน จึงจำต้องทำใจ

ข้างหูยังคงวนเวียนคำพูดประโยคนั้นของกู้ชูหน่วน

“เดิมคนอ่อนแอบนโลกนี้ก็เป็นอาหารของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เจ้าไม่อยากถูกรังแก อยากปกป้องคนที่รัก มีเพียงต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”

ใช่ เขาต้องแข็งแกร่ง

แข็งแกร่งถึงขั้นไม่มีใครสามารถรังแกตนเองได้

แข็งแกร่งถึงขั้นสามารถปกป้องแม่นางคนนั้นได้….

ถึงยามค่ำคืน

กู้ชูหน่วนกระสวยเหมือนอย่างเสือชีตาห์ ยืนอยู่เหนือชายคาของเมืองหลวงแคว้นปิง

นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับภูมิประเทศของเมืองหลวงเลย แทบจะต้องถามคนตลอด จนมาถึงจวนมู่

จากที่นางถามจนรู้มาว่า

เมื่อร้อยพันปีก่อน จวนมู่ก็เป็นตระกูลสูงศักดิ์ แต่ก็ร่วงโรยมานานแล้ว ในจวนมู่นอกจากประมุขตระกูลมู่ตลอดจนผู้ดูแลสองคนแล้ว ไม่มีใครอยู่ขั้นระดับหนึ่ง

ส่วนประมุขตระกูลมู่ก็ถึงเพียงขั้นสอง

ถึงแม้ยังอยู่ในนามตระกูลสูงศักดิ์ แต่ไม่มีใครเห็นว่าตระกูลมู่เป็นตระกูลสูงศักดิ์ มากสุดก็เห็นว่าเป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป

เหตุที่จนถึงตอนนี้ตระกูลมู่ก็ยังไม่สูญสลาย เพียงเพราะบรรพบุรุษของพวกเขาเคยช่วยเหลือคนสำคัญในราชวงศ์ ดังนั้นจึงได้รับการปกป้องจากราชวงศ์อยู่บ้างเท่านั้นเอง

คุณหนูสามตระกูลมู่มู่หน่วน ยิ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ของจวนมู่ในร้อยพันปีมานี้

เพราะมีเหตุบางอย่าง นางเข้าไปเรียนวิทยายุทธในวิทยาลัยอี้เหอตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้อายุสิบแปดแล้ว เพิ่งถึงขั้นชีพจรยุทธ์ ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นหนึ่ง

ในโลกที่ยกย่องผู้ที่แข็งแกร่งนี้ นางจึงถูกดูถูก

ในวิทยาลัยอี้เหอ ไม่มีใครเห็นนางอยู่ในสายตา

เมื่อครึ่งเดือนก่อน คุณหนูคุณชายตระกูลไป๋หลี่หลายคน รุมทุบตีนางจนตายเหมือนอย่างสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็โยนทิ้งไปในป่ารกร้าง

คิดถึงสาเหตุการตายของนาง แววตากู้ชูหน่วนเยือกเย็นลงกว่าเดิม

“อึ๊บ……”

ในที่สุด…..

นางกระโดดขึ้นมาอยู่บนหลังคาจวนมู่

กลางดึกแล้ว คนในจวนมู่ยังพลุกพล่าน แสงไฟส่องสว่างไสว

กู้ชูหน่วนมองลงไปจากที่สูง

กลับเห็นนอกจากคนจวนมู่แล้ว ยังมีคนตระกูลไป๋หลี่อีกไม่น้อย

ตระกูลไป๋หลี่ท่าทีโหดเหี้ยม ผู้นำคือคนแก่คนหนึ่งกับไป๋หลี่หมิง ด้านหลังยังมีผู้คนอีกมากมาย แต่ละคนรูปร่างสูงใหญ่ เต็มไปด้วยความอาฆาต

ส่วนคนจวนมู่ แต่ละคนอ่อนแอแรงน้อย ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่หายใจก็ไม่กล้าหายใจแรง

บนพื้น ยังมีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ถูกบีบบังคับให้คุกเข่าตรงหน้าไป๋หลี่หมิง

คนใช้ชั่วของตระกูลไป๋หลี่สองคน ถือแส้กระดูกฟาดตีบนหลังของชายวัยกลางคน ร่างกายชายวัยกลางคนสั่นคลอน ปากกระอักเลือด แทบจะทนรับไม่ไหว

“พูดมา มู่หน่วนอยู่ที่ไหน?” ไป๋หลี่เจิ้นพูดขึ้นด้วยเสียงเข้ม

เจ้าบ้านสองจวนมู่พูดขึ้นอย่างสั่นเทาว่า “ท่านไป๋หลี่โปรดอภัย ใช่ว่าเราไม่อยากพามู่หน่วนออกมาให้ นี่ก็ครึ่งเดือนแล้ว เราส่งคนออกไปตามหาอยู่ไม่น้อย แต่ก็หามู่หน่วนไม่เจอ หากนางกลับมา ต่อให้พวกท่านไม่มาตาม พวกเราก็จะส่งนางไปให้ที่ตระกูลไป๋หลี่ด้วยตนเอง”

เจ้าบ้านสามก็รีบพูดขึ้นเหมือนกันว่า “ใช่ มู่หน่วนบังอาจมาก กล้าก่อเรื่องเช่นนี้….เรื่องอุกอาจถึงเพียงนี้ จวนมู่ของเราจะไม่ปกป้องนางเด็ดขาด ขอร้องท่านให้เวลาพวกเราหลายวันหน่อย พวกเราจะพยายามตามหามู่หน่วนให้เจอ”

เทียบกับเจ้าบ้านสองกับเจ้าบ้านสาม ประมุขตระกูลมู่เพียงแค่เอามือไขว้หลัง ไม่พูดไม่จา ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ

คำพูดของพวกเขา ไม่สามารถทำให้พวกไป๋หลี่เจิ้นพอใจ

“ภายในคืนนี้หากพวกเจ้าไม่ส่งตัวมู่หน่วนออกมา งั้น….อย่าหาว่าพวกเราโหดเหี้ยม ทำลายล้างจวนมู่”

เสียงดังฉ่า…..

คนตระกูลมู่ต่างตกตะลึง

ทำลายล้าง….ทำลายล้างทั่วทั้งจวนมู่?

นี่……

หากพวกเขาลงมือจริงๆ ตระกูลมู่จะใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาหรือ?

ตระกูลไป๋หลี่บีบบังคับอย่างดุดัน ต่อให้ประมุขตระกูลมู่ไม่พอใจ เขาก็ยังพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ต่อให้ตระกูลมู่ตกต่ำแค่ไหน ยังไงก็มีรากฐาน ผู้อาวุโสไป๋หลี่พูดเกินไปไหม”

ไป๋หลี่เจิ้นหัวเราะเย้ย พร้อมพูดขึ้นว่า “รากฐาน? เพียงความสัมพันธ์กับราชวงศ์อันน้อยนิดนั่นหรือ? ฮ่าๆ….บรรพบุรุษของพวกเจ้าช่วยเหลือคนสำคัญนั่นไว้ ผ่านมากว่าร้อยปีแล้ว เจ้าคิดว่าตอนนี้ตระกูลมู่ยังจะมีค่าอะไร?”