ในอาณาเขตดาราไม่สิ้นสุด อารยธรรมมีจำนวนเท่าไหร่ไม่รู้ชัด การจะยกระดับอารยธรรมหนึ่งนั้นใช้เวลานานมาก เพราะต้องเป็นการเลื่อนระดับทั้งระบบหรือทั้งเผ่าพันธุ์ ถึงจะทำให้อารยธรรมเลื่อนขั้นไปจุดสูงกว่าได้
ทว่ามันก็มีทางลัดอยู่!
ทางลัดที่ว่าก็คือการกลืนกินอารยธรรมของดารานิรันดร์ดวงอื่นๆ แล้วบังคับให้ทุกสิ่งมีชีวิตและวิญญาณของอารยธรรมในดาวดวงนั้นตกเป็นทาสเสีย เช่นนี้ก็จะสามารถยกระดับอารยธรรมของตนเองได้แล้ว
และเมื่อใดที่ยกระดับไปถึงขั้นดารานิรันดร์ ก็จะเกิดสภาวะเหมือนกับน้ำเต็มอ่างที่เริ่มไหลออก บังเกิดปรากฏการณ์หนึ่งอันเรียกว่าวิญญาณสนองคุณ ปรากฎการณ์นี้ก็คือการที่ทุกชีวิตซึ่งกำเนิดในอารยธรรมนั้นสามารถยกระดับสมรรถภาพของชีวิตได้ในพริบตา ส่งผลให้ระดับการฝึกปรือเปลี่ยนแปลงและอาจทำให้พลังฝึกปรือของคนกลุ่มหนึ่งทะยานขึ้นสูง หรือสามารถทำให้เหล่าผู้ฝึกตนที่ฝึกปรืออยู่ในมิติต่างๆ นั้น ได้โอกาสยกระดับได้ขึ้นเช่นกัน
เพราะปรากฎการณ์ที่ว่านี้ค่อนข้างยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังไม่มีผลร้ายภายหลังใดๆ คนจำนวนมากมายจึงคลั่งไคล้มัน และในเวลาเดียวกันก็ก่อให้เกิดศึกภายในอาณาจักรดาราไม่สิ้นสุดอย่างต่อเนื่อง
สิ่งนี้…บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งดาราไม่สิ้นสุดต้องการอยู่แล้วก็ได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หลังจากกำจัดสำนักแห่งความมืดและประกาศใช้กฎแห่งเต๋าสวรรค์แล้ว ไฉนพวกเขาจึงกลับเข้าสู่วิถีทางลัดในการยกระดับอารยธรรมในจักรวาลนี้
อย่างไรก็ตาม เพราะกฎนี้ สงครามจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องแบบไม่มีวันสิ้นสุด สิ่งที่เรียกว่าแข็งแกร่งอยู่รอดอ่อนแอสิ้นสูญ หรือสภาวะผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ล่านี้ก็กลายเป็นเรื่องสามัญไป ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ เหล่าคนในอาณาเขตดาราไม่สิ้นสุดนี้หากไม่ยกระดับก็จะไม่อาจควบคุมชีวิตตนเองได้ เป็นเหตุให้ทุกสิ่งที่หมุนวนรอบระบบสุริยะนี้ พยายามยกระดับอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในเวลานี้ หลังจากปรากฏการณ์สนองคุณทางวิญญาณปรากฏ ดาวเคราะห์นิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ถูกหลอมรวมไปแล้ว มันก็กลายสภาพเป็นดวงอาทิตย์เจิดจ้าซึ่งแผ่แสงทรงพลานุภาพออกมา ทั้งสหพันธรัฐเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกดิน!
ยอดเขาแต่ละลูกเริ่มแทงสูงเสียดฟ้า เหมืองแร่วิญญาณพลันปรากฏในหลายแห่ง แม่น้ำหลายสายแผ่อานุภาพไหลบ่าไร้ที่สิ้นสุด ที่นาแต่ละที่กลายเป็นผืนนาวิญญาณ สัตว์ธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปก็พลันมีพลังเทพประหลาด!
เหล่าอสูรปักษาเริ่มกู่ร้อง ผืนเมฆพลันปรากฏฝนวิญญาณ หมื่นสรรพชีวิตเริ่มแปรสภาพ พืชพรรณเติบโตบ้าคลั่ง เหมือนมีใครหว่านบำรุงฟ้าดิน และบำรุงเหล่าสรรพสิ่ง ในเวลาเดียวกัน เหล่ามนุษย์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ภายใต้การชี้นำของหวังเป่าเล่อ การเปลี่ยนแปลงครานี้ใหญ่หลวงนัก!
สิ่งแรกที่ถูกปรับเปลี่ยน ก็คือคุณสมบัติ จู่ๆ ความสามารถของประชาชนทุกคนก็ยกระดับ ทำให้ตอนแรกเหล่าผู้คนที่ไม่มีพลังฝึกปรือนั้นพลันมีความสามารถขึ้นมา!
ในเวลาเดียวกันด้านรูปลักษณ์นั้น ก็เหมือนถูกแก้ไขตามไปด้วย ภายใต้การเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิตนี้ ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมด แม้กระทั่งอายุขัยเอง…ก็เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ประชาชนในสหพันธรัฐนั้นมีการยืดระดับอายุขัยระหว่างช่วงศักราชวิญญาณมาก่อนแล้ว แต่ก็เทียบกับตอนนี้ไม่ได้เลย!
ประชาชนในสหพันธรัฐยามนี้ เนื่องด้วยการยกระดับชีวิต ต่อให้ไม่ได้ฝึกปรือ ก็มีอายุขัยได้ถึงสองร้อยกว่าปี และไม่เพียงแค่อายุขัยเท่านั้น แต่ระดับความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้แล้ว ยังมีอาวุธแต่ละชิ้น ในสภาวะวิญญาณสนองคุณนี้ต่างก็พากันยกระดับขึ้นเช่นกัน ในบรรดานี้บุคคลที่เลื่อนระดับได้มากที่สุด…ก็คือเหล่าผู้ฝึกตน!
ตั้งแต่ระดับวิญญาณการต่อสู้ยกระดับไปจนถึงการหลอมรวมวิญญาณ พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุพิเศษอีก สามารถยกระดับได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ดี หากพวกเขาฝึกปราณได้ถึงระดับฐานรากแล้วยังคงต้องการวัตถุพิเศษอยู่ การที่ปรากฎการณ์สนองคุณทางวิญญาณเกิดขึ้นย่อมทำให้เงื่อนไขต่างๆ สมบูรณ์พร้อมได้มากขึ้น กระทั่งว่าเหล่าผู้ฝึกตนบางกลุ่มซึ่งเตรียมพลังฝึกปรือถึงระดับสมบูรณ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว ในยามนี้พอหลอมรวมเข้ากับวัตถุอันเป็นรากฐาน พลังฝึกปรือก็เลื่อนระดับได้อย่างง่ายดาย!
กล่าวได้ว่า สภาวะสนองคุณวิญญาณนี้ทำให้ผู้ฝึกตนแทบทุกคนได้โอกาสยกระดับการฝึกปรือกันทั้งสิ้น ยิ่งพลังต่ำเท่าไหร่ก็ยิ่งเลื่อนระดับได้มากเท่านั้น!
ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็เช่นกัน เหล่าผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณที่พยายามเลื่อนระดับกว่าร้อยคนในช่วงระยะหลายปีในสหพันธรัฐนี้ ก็ได้โอกาสระเบิดพลังปราณเพราะสภาวะดับกระหายวิญญาณ หลายคนในนั้นเป็นระดับจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็ได้เลื่อนระดับเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณ!
ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น ยังมีหลี่ซิงเหวิน แล้วยังแม่ของเจ้าเยี่ยเหมิง รวมถึงผู้อยู่ในระดับสูงคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ในบรรดาทั้งหมดนี้ผู้ที่มีเลื่อนระดับได้มากที่สุดก็คือตัวหลี่ซิงเหวินเอง
ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนผู้บุกเบิกศักราชวิญญาณ และเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในขั้นจุติวิญญาณคนแรก นอกจากหวังเป่าเล่อผู้เป็นขั้นเชื่อมวิญญาณคนแรกแล้ว คุณสมบัติของหลี่ซิงเหวินแข็งกล้าที่สุดจนถึงขั้นน่าตกใจ แต่เพราะว่าถูกระดับชั้นทางชีวิตจำกัดเอาไว้ เขาจึงไม่ได้ผ่านประสบการณ์ด้านวาสนาเช่นหวังเป่าเล่อ ดังนั้นจึงเติบโตช้ากว่า
ในยามนี้…ภายใต้สภาวะวิญญาณสนองคุณ ความสามารถและระดับชั้นชีวิตของเขานั้นเลื่อนระดับเอง ในพริบตานั้นพลังฝึกปรือของเขาเหมือนปลดเบรกล้อรถไม่ปาน เขาพลันระเบิดพลังรุนแรง ยกระดับจากขั้นเชื่อมวิญญาณรวดเดียวกลายเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะ!
ไม่เพียงแค่เขาที่เป็นเช่นนี้ ยังมีหลินโยว รวมถึงมารดาของเจ้าเยี่ยเหมิงที่พลังฝึกปรือทะลุสูงเช่นกัน หลังจากพวกเขาเข้าสู่ระดับชั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว สหพันธรัฐก็ปรากฏผู้เหยียบย่างเข้าชั้นจิตวิญญาณอมตะคนที่สี่
ผู้นี้ก็คือ ต้นไม้ยักษ์!
และก็ปรากฏคนที่ห้าด้วยความรวดเร็ว ในส่วนคนที่ห้านี้ก็คือเจ้าสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ เขาทำตัวติดดินตลอดมา มาวันนี้พลังฝึกปรือพลันทะลุทะลวง กลายเป็นระดับสูงสุดแห่งสหพันธรัฐอีกครั้ง!
เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว อนุชนตัวน้อยอย่างเช่นหลินเทียนหาวและโจวเสี่ยวหยานั้น ต่างก็ยกระดับเช่นเดียวกัน แต่มากสุดกลับอยู่แค่ระดับเชื่อมวิญญาณเท่านั้น พวกเขายังคงมีระยะห่างอยู่มาก แต่หากให้เวลาพวกเขาสักหน่อย ภายใต้สภาวะวิญญาณสนองคุณของสหพันธรัฐใหม่นี้ ระดับการฝึกปรือของพวกเขาจะยกระดับเมื่อไหร่ก็แค่ช้าเร็วเท่านั้น!
และในเวลาเดียวกัน สำนักวังเต๋าไพศาลก็ได้ประโยชน์มหาศาลเช่นกัน แม้ว่าคนในวังเต๋าอย่างเช่นเฝิงชิวหรานจะไม่ได้สัมผัสถึงวิญญาณสนองคุณ แต่ในฐานะสถานที่สังเวยที่อยู่บนปลายยอดกระบี่แล้ว พริบตานั้นเองจากการระเบิดยกระดับของทั้งระบบสุริยะ เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสจักรพิภพท่านนั้นพลันเบิกตาโพลง และเหล่าผู้ที่บาดเจ็บทั้งหมดที่ภายในนั้นฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเร็วขึ้นเท่าตัว!
เรื่องในครั้งนี้ทำให้ผู้อาวุโสแห่งจักรพิภพท่านนั้นซาบซึ้งใจอย่างมาก เพราะว่าหวังเป่าเล่อทางนั้นได้ใช้การกระทำพิสูจน์คำพูดของเขาก่อนหน้าอย่างแท้จริง อีกทั้งยังยืนหยัดที่จะทำตามคำสัญญา หลังจากเพ่งมองระยะไกลเห็นหวังเป่าเล่อที่ทรุดนั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าดารานิรันดร์ บรรพบุรุษแห่งจักรพิภพท่านนี้ก็ก้มหัวลงมองหญิงสาวในชุดวังเต๋าที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง
“ชายแก่ผู้นี้เห็นด้วยกับคำแนะนำของธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว บางทีเขาอาจจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด”
แม่นางน้อยสวมหน้ากากที่เดินทางร่วมกับหวังเป่าเล่อมาจนบัดนี้ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้า ก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า หลังจากคำนับแล้วก็หันกายจากไป
ในเวลานี้ พลังวิญญาณสนองคุณที่มาจากดารานิรันดร์นั้นยังคงดำเนินต่อ หลังจากที่ระดับชีวิตและพลังฝึกตนของทุกคนเพิ่มพูน ยังมีอีกสองคนที่เลื่อนระดับได้อย่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!
รายแรกก็คือหวังเป่าเล่อ ส่วนคนที่สองนั้นก็คือ…เจ้าเยี่ยเหมิง!
การหลอมรวมดารานิรันดร์ในครั้งนี้ ระดับต่างๆ ของการวิญญาณสนองคุณที่มาจากดวงอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นคำขอบคุณหรือการอวยพร อย่างหลังนั้นมอบให้แก่สรรพสิ่งในสหพันธรัฐ ส่วนสิ่งแรกนั้น…มอบให้แก่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงโดยตรง!
ดังนั้นในส่วนของเจ้าเยี่ยเหมิงตรงนี้จึงได้รับการเลื่อนระดับสูงที่สุด เรียกได้ว่าน่ากลัวเลยทีเดียว ระดับของนางนั้นถูกยกระดับขึ้นเหนือคนทั่วไป ในเวลาเดียวกันพลังฝึกปรือของนางก็อยู่ในระดับชั้นจิตวิญญาณอมตะสมบูรณ์ในพริบตา เนื่องเพราะมีพลังวิญญาณมารวมตัวกันแบบนับไม่ถ้วน!
ในส่วนของหวังเป่าเล่อ…ในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่มการณ์นี้ โดยเฉพาะในส่วนดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ซึ่งถูกดวงอาทิตย์หลอมรวมไปยิ่งเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแยกไม่ได้ ดังนั้นในจังหวะที่เขาได้รับพลังวิญญาณสนองคุณ ย่อมช่วยให้เขาเลื่อนระดับได้สูงสุด พลังฝึกปรือที่เดิมอยู่ระดับต้นของระดับดาวพระเคราะห์ หลังได้รับพลังวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามา เขาก็พลันยกระดับไปถึงขั้นกลางของระดับดาวพระเคราะห์!
แม้ว่าจะยกระดับเพียงแค่ชั้นเดียว แต่ว่าเมื่อถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว จำนวนระยะเวลาและปริมาณพลังวิญญาณที่ระดับนี้ต้องการสำหรับการยกระดับนั้น เป็นสิ่งที่ทั้งดวงดาวและตัวผู้ฝึกตนเองนึกไม่ถึงเลยทีเดียว
การที่สามารถยกระดับได้หนึ่งชั้นในขั้นของดาวพระเคราะห์จึงนับเป็นการแทนพระคุณครั้งใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่ระบบสุริยะนี้จะมอบให้ได้แล้ว หวังเป่าเล่อเองก็พอใจยิ่งนัก เพราะว่าเขารู้ดีว่าการหลอมรวมนี้…เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!
เพราะปรากฎการณ์วิญญาณสนองคุณนี้จะดำเนินไปต่อเนื่องทั้งสิ้นหนึ่งเดือนด้วยกัน เมื่อปรากฎการณ์สิ้นสุดแล้ว ในระบบสุริยะที่มีดาวบริวารทั้งสิ้นสิบหกดวงนี้ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และสหพันธรัฐก็จะเริ่มติดต่อกัน
การติดต่อกันนี้กลับไม่มีเรื่องเหนือคาดหรือแรงยับยั้งใดๆ ทุกสิ่งเป็นไปด้วยความราบรื่น อีกทั้งในเวลาเดียวกัน ต่อให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะผนวกเข้ากับสหพันธรัฐแล้ว มันก็ยังยอมรับให้สหพันธรัฐเป็นผู้นำด้วย
เมื่อมาถึงเวลานี้ หวังเป่าเล่อก็เข้าใจ สถานการณ์ของสหพันธรัฐได้คลี่คลายลงแล้ว เมื่อมีวังเต๋าไพศาลรวมถึงพลังสนับสนุนแห่งสหพันธรัฐอยู่ นอกจากนี้แล้วยังมีปรมาจารย์มหาทัณฑ์เป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง บวกกับภูมิหลังของตนเอง สามารถกล่าวได้ว่าสหพันธรัฐในยามนี้และช่วงเวลานี้สงบสุข
ต่อมา เขาก็ได้รับกระแสถ่ายทอดจากปรมาจารย์แห่งไฟ แจ้งเขาว่าทูตที่จะมารับตัวเขาไปดาราจักรไฟนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว
“ต้องไปแล้วหรือ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาใช้สัมผัสเทพกวาดมองรอบๆ ระบบสุริยะ เมื่อสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ทรงพลังแล้ว เขาก็หยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง
กระดาษแผ่นนี้ มาจากจักรวรรดิดาวตก ก่อนหน้าจะจากมานั้นหวังเป่าเล่อร้องขอเรื่องหนึ่งจากจักรพรรดิ เขาต้องการสิทธิ์ในการเข้าจักรวรรดิดาวตกทั้งหมดสามสิบครั้ง!
กระดาษแผ่นนี้ ก็คือหลักฐานการเข้าสู่จักรวรรดิดาวตก สามารถใช้ได้สามสิบครั้ง อีกทั้งภายใต้การอนุญาตของจักรพรรดิดาวตก มันไม่กำจัดระยะเวลา ขอเพียงถือกระดาษแผ่นนี้ไว้ ก็จะสามารถอัญเชิญเรือดาวตกให้มารับ เพื่อพาไปยังสถานที่ฝึกปรืออันเป็นเอกเทศแห่งหนึ่งได้
นี่ก็คือทรัพยากรที่เขาเตรียมไว้ให้แก่สหพันธรัฐ และผู้ที่ใช้กระดาษแผ่นนี้เป็นคนแรกก็คือ เจ้าเยี่ยเหมิง
เขายื่นมันให้แก่เจ้าเยี่ยเหมิง หลังมองส่งอีกฝ่ายขึ้นเรือจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็กลับสู่ดาวอังคารเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ ในเวลาเดียวกันก็แอบเฝ้ารอฑูตซึ่งปรมาจารย์กล่าวว่าจะส่งให้มารับตนคนนั้น!
“ดาราจักรไฟ…” ระหว่างที่รออยู่นั้น หวังเป่าเล่อเองก็แหงนหน้าขึ้นบางคราว มองไปยังท้องฟ้าพร่างดาวนั้น ดวงตาค่อยๆ เผยประกายแวววับแห่งการเฝ้ารอคอย!
…………………………………..