ตอนที่ 1455 ผู้บุกเบิก โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้นสองวัน เกาะลอยฟ้าเอเลนาร์ก็เติมเสบียงต่างๆ เป็นครั้งท่าเรือสตีปคลิฟฟ์ ก่อนจะบินขึ้นท้องฟ้าแล้วมุ่งหน้าไปยังใจกลางดินแดนรุ่งอรุณ
คนที่มาส่งมันคือชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์เกือบแสนคน ผู้คนแห่กันออกมาที่ถนน ปีนขึ้นไปบนหลังคา บางคนถึงขนาดปีนขึ้นไปบนเทือกเขาสิ้นวิถี เพียงเพื่อจะได้ชมวินาทีประวัติศาสตร์นี้ ด้านตะวันตกของเมืองทั้งหมดถูกกระแสผู้คนเบียดเสียดยัดเยียดจนเต็ม ทำลายสถิติจำนวนคนที่เข้าร่วมกิจกรรมอีกครั้ง
แต่นี่เป็นประชากรเพียงส่วนหนึ่งของเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น
ยังมีคนอีกจำนวนมากที่กำลังทำงานอย่างขันแข็งอยู่ในโรงงาน ท่าเรือและที่นา นี่ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งในการมีส่วนร่วมกับสงครามครั้งนี้
และที่บังเอิญไปกว่านั้นก็คือ ในวันนี้ประชากรรวมของเขตชายแดนและลองซองได้ทะลุ 1 ล้านคนแล้ว ประชากร 50 เปอร์เซ็นต์ในนี้มาจากวูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ผูกพันกับเนเวอร์วินเทอร์เหมือนอย่างผู้อพยพกลุ่มแรกๆ แต่พวกเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความตื่นตะลึงและความยิ่งใหญ่ได้จากฝูงชนที่หลั่งไหลออกมา และความสำคัญของวันที่ไม่ธรรมดาวันนี้
เมื่อเสียงปืนใหญ่ดังพร้อมเพียงกันขึ้นมา เกาะลอยเอเลนอร์ก็ลอยเลียบเทือกเขามุ่งหน้าไปยังป้อมปราการลองซอง จากนั้นจึงเลี้ยวไปทางตะวันตก ก่อนจะค่อยๆ หายลับไปจากสายตา
แต่บรรยากาศที่คึกคักของชาวเมืองยังไม่หมดลงแต่เพียงเท่านี้
การตามรายงานข่าวของ ‘เกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์’ ได้สร้างสถิติยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตามตรอกซอยซอยหรือที่ท่าเรือ ประเด็นที่ทุกคนพูดคุยล้วนแต่เป็นเรื่องการออกไปโจมตีครั้งนี้ ไม่นานผู้คนก็พากันเรียกวันออกเดินทางนี่ว่าวันสร้างปาฏิหาริย์ มันเป็นการแสดงถึงจุดเริ่มต้นในการเดินทางขึ้นไปรบบนท้องฟ้าของมนุษย์ และนี่ก็เป็นเรื่องที่สองที่ถูกตั้งชื่อว่าปาฏิหาริย์ต่อจากตึกปาฏิหาริย์
ส่วนบนเกาะลอยฟ้านั้นดูจะสงบกว่ามาก
หลังความแปลกใหม่ในตอนแรกผ่านไป ทีมก่อสร้างก็เข้าสู่การทำงานที่เคร่งเครียดและเป็นระเบียบ
เหล่าอัศวินอากาศเองก็เช่นเดียวกัน นอกจากทีมสอดแนมที่ต้องออกไปบินตรวจตราเป็นประจำแล้ว นักเรียนทุกคนอย่างน้อยๆ ก็ต้องขึ้นบินวันละครั้งเพื่อทำความคุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศรอบๆ ตัวเกาะลอยฟ้าขนาดใหญ่ เขตลานบินที่คึกคักและเขตเตาหลอมที่มีควันลอยโขมงได้รวมกันกลายเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
“เป็นยังไงบ้าง ปรับตัวกับร่างใหม่ได้ยัง?”
ภายในพื้นที่ใจกลางของเกาะลอยฟ้า โรแลนด์ยืนอยู่ด้านล่างของหลุมแร่พร้อมกับมองไปยังเอเลนอร์ที่เกาะแน่นอยู่กับแท่งหินอาญาสิทธิ์
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนมานี้ เสาหินไม่เพียงแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ร่างแม่เองก็มีหนวดเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยด้วย หนวดเหล่านั้นแทงลงไปในดินเหมือนกับต้นไม้ที่งอกรากใหม่ออกมาอย่างไรอย่างนั้น — จากที่เธอบอกมา หนวดเหล่านี้ทำให้เธอสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น แล้วก็ทำให้บังคับเกาะลอยฟ้าได้ดีขึ้นด้วย ในอีกแง่หนึ่งเกาะลอยฟ้าก็เหมือนร่างเปลือก ส่วนหนวดก็เป็นเส้นประสาทของเธอ
‘เทียบกับก่อนหน้านี้แล้วถือว่าดีขึ้นเยอะ’ เสียงของเอเลนอร์ฟังดูสบายใจอย่างมาก ‘มองเห็น ได้ยิน คิดได้ มีสามอย่างนี้แล้วข้ายังมีอะไรให้บ่นอีกล่ะ? เมื่อเทียบกับพวกเอเลนาร์แล้ว ข้าถือว่าโชคดีกว่ามากแล้ว’
‘ท่านเอเลนอร์ ท่านกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ’ พาซาร์พูดพร้อมลู่หนวดหลักลง ‘ทุกคนต่างรู้ดีว่าถ้าไม่เป็นเพราะท่านรวมร่างเข้าไป พวกเราก็ไม่มีทางอยู่รอดมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นท่านเองก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมีวันนี้ แค่ความกล้าตรงนี้ก็เพียงพอที่จะ—‘
‘ข้าหมายถึงผลลัพธ์ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้น’ เอเลนอร์พูดตัดบทเธอ ‘ข้าเชื่อว่าตอนนั้นพี่น้องที่ยินดีที่จะสละตัวเองเพื่อสมาพันธ์นั้นไม่ได้มีข้าแค่คนเดียว ข้าก็แค่เป็นคนเริ่มก่อนเท่านั้น’
ดูเหมือนสภาพจิตใจเธอจะสบายดีนะเนี่ย โรแลนด์ครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างกังวลใจมาโดยตลอด แม่มดคนหนึ่งที่ต่อสู้กับปีศาจมาเป็นเวลาหลายสิบปีแต่สุดท้ายกลับต้องกลายมาเป็นปีศาจเสียเอง มันจะเกิดปัญหาขึ้นในจิตใจเธอหรือเปล่า แต่ตอนนี้ดูแล้วสภาพจิตใจของเอเลนอร์จะสมบูรณ์ดีอย่างมาก ไม่ได้มีทีท่าไม่สบายใจเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองเลย
‘ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่’ จู่ๆ เอเลนอร์พลันเปลี่ยนประเด็นมาที่เขา ‘กลัวว่าข้าจะคิดไม่ตกจนปิดกั้นตัวเองงั้นเหรอ? ข้าบนโลกเหลือข้าแค่เพียงคนเดียว บางทีมันอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้พี่น้องส่วนต่างยังอยู่กันพร้อมหน้า สถานการณ์การรบก็ดีกว่าเมื่อ 400 ปีก่อนมาก แล้วก็ยังมีความรู้ใหม่ๆ อีกมากให้เรียนรู้ ข้าจะมีเวลาไปปิดกั้นตัวเองที่ไหนกันล่ะ?’
“เอ่อ…เรียนรู้?”
‘การที่พวกข้าสามารถกลายเป็นผู้ปกครองของมนุษย์ในยุคสมัยสมาพันธ์ พวกข้าไม่ได้พึ่งพาแต่พลังเท่านั้น แต่ในตอนนั้นคนที่มีเทคโนโลยีและความคิดที่ล้ำหน้าที่สุดก็คือพวกข้าเหมือนกัน จะบอกว่าพวกข้าเป็นตัวแทนของสามสิ่งนี้ก็คงไม่มากเกินไป ถึงแม้ตอนนี้เกียรติยศของสมาพันธ์จะไม่มีอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากจะตามยุคสมัยให้ทัน มันก็ยังต้องอาศัยการเรียนรู้มาทำให้มันกลายเป็นจริง’
โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที คำพูดที่รู้สึกคุ้นเคยเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเธอเรียรรู้มาจากพวกแม่มดอาญาสิทธิ์ ไม่รู้ว่าพวกเธอสอนอะไรเอเลนอร์บ้าง “แล้วตอนนี้เจ้าเรียนไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
‘มหาวิทยาลัย’ เอเลนอร์ตอบ ‘ใกล้จะจบแล้ว’
‘ก่อนหน้านี้พวกเซลีนกับหลิงเป็นคนสอนท่านเอเลนอร์ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นท่านเอเลนอร์ที่สอนพวกนางเพคะ’ พาซาร์ยิ้มพร้อมพูดเสริมขึ้นมา
เฮ้ๆ เธอพึ่งจะตื่นขึ้นมาได้สองเดือนเอง แต่เรียนรู้จนใกล้จะจบมหาวิทยาลัยแล้วงั้นเหรอ? โรแลนด์แอบตกใจ ก่อหน้านี้ตอนที่เอเลนอร์ไล่เดอะแมสก์ออกไปเขายังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองอาจจะประมาทความสามารถของการเรียนรู้ด้วยสมองของสิบกว่าคนแล้ว
‘เออใช่ ข้าได้สร้างแกนเวทมนตร์ขนาดเล็กขึ้นมาอันนึงด้วย บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ต่อการต่อสู้หลังจากนี้’
เมื่อเอเลนอร์ส่งสัญญาณ พาซาร์ก็ม้วนเอาแกนเวทมนตร์ขนาดประมาณฝ่ามือขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือ จากนั้นมันจึงค่อยๆ ลอยขึ้นมา ตรงกลางของมันเปล่งแสงสีน้ำเงินที่เจิดจ้า ดูแล้วคล้ายกับแกนเวทมนตร์ขนาดใหญ่พวกนั้นอย่างมาก
“นี่มันใช้ยังไง?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย
‘มันสามารจำลองความสามารถในการครุ่นคิด แล้วก็ส่งผลกระทบต่อวัตถุภายนอกได้…อย่างเช่นหมุนคันบังคับ เหนี่ยวไกปืนอะไรพวกนั้น ถ้าเอามันกับกลไลที่ทำขึ้นมาเฉพาะและอาวุธรวมเข้าด้วยกัน ข้าก็จะสามารถใช้พลังเวทมนตร์ในการควบคุมพวกมันได้’ เอเลนอร์อธิบาย ‘ถึงแม้เดอะแมสก์จะกำจัดความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างนี้ไป แต่มันกลับไม่ได้ปิดกันการใช้พลังเวทมนตร์ — นี่หมายความว่าในตอนที่ศัตรูโจมตีเข้ามา ข้าสามารถควบคุมอาวุธและเข้าร่วมการรบได้ หลักการของมันก็เหมือนกับสถานีอาวุธอัตโนมัติในโลกแห่งความฝันนั่นแหละ’
โรแลนด์อ้าปากค้างอย่างตกใจ
ยังไม่หมดเท่านี้ อีกฝ่ายพูดต่อว่า ‘ความจริงการยิงมันก็เป็นการคำนวณอย่างหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ข้าถนัด เมื่อเทียบกับทหารธรรมดาแล้ว ข้าสามารถทำให้อัตราความแม่นยำของอาวุธปืนเพิ่มขึ้นไปได้มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แต่จุดอ่อนของมันก็คือการที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว มันจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับป้อมปืนที่ถูกยึดอยู่กับที่ แถมยังต้องจัดวางหนวดและแกนเวทมนตร์ที่ถูกย่อส่วนเอาไว้ล่วงหน้าด้วย แต่อย่างน้อยในศึกป้องกันเกาะลอยฟ้า สถานีอาวุธเหล่านี้ก็จะสามารถแสดงประสิทธิภาพสูงสุดของมันออกมาได้’
“เจ้าสามารถควบคุมพวกมันพร้อมกันได้เท่าไร?”
‘นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหนวดของข้า’ เธอชะงักไปเล็กน้อย ‘แต่ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็ 3 – 4 ร้อยล่ะมั้ง?’
พอคิดถึงภาพป้อมปืนอัตโนมัติหรือปืนใหญ่จำนวนหลายร้อยกระบอกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเอเลนอร์กราดยิงเข้าใส่ศัตรูอย่างแม่นยำ โรแลนด์พลันรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขารู้สึกตกใจมากที่สุด สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจมากกว่าก็คือการที่เอเลนอร์เอาพลังเวทมนตร์มารวมเข้ากับกลไก ความรู้ของทั้งสองด้านนี้ ความรู้อันหนึ่งมาจากนาซเพล อีกอันหนึ่งมาจากโลกแห่งความฝัน เธอไม่เพียงแต่จะดูดซับพวกมันมา แต่ยังรวมพวกมันเข้าด้วยกันด้วย! ถ้ามีเวลาอีกหน่อย เธอจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้มากแค่ไหนกันเนี่ย?
“ถ้าไม่เป็นเพราะการเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องให้เจ้ามาด้วย ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเข้าไปในสนามรบเลยจริงๆ” โรแลนด์พูดความคิดของตัวเองออกมา “ตอนนี้สิ่งที่มนุษย์ขาดอยู่ก็คือผู้นำในด้านนี้”
“โอ้? เจ้าไม่กลัวว่าสิ่งที่ข้าเรียนรู้มันจะเหนือกว่าเจ้าเหรอ?’ เอเลนอร์เหมือนกำลังยิ้มเล็กน้อย
‘ท่านเอเลนอร์….’ พาซาร์เหมือนพยายามจะห้ามเธอ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง
“ทำไมต้องกลัวด้วย?” โรแลนด์ถามกลับ “คนรุ่นใหม่ก้าวข้ามคนรุ่นเก่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว อย่างน้อยมันก็หมายความว่าอารยธรรมจะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่หยุด ถ้าความรู้ของมนุษย์จุดอยู่ที่ข้า นั่นต่างหากถึงจะเป็นอนาคตที่มืดมน”
‘….’ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่ว่า ‘สำหรับคนที่เป็นราชาแล้ว เจ้าไม่ค่อยเหมาะจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า…’
‘เจ้ากลับเป็นผู้นำที่คู่ควรแก่การเชื่อใจ’
………………………………………………………