กู้ไป๋อีตะลึงไปเล็กน้อย “หลงฉือ เจ้าสนใจหอคอยแห่งความตายขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน”

หลงฉือกล่าว “ตั้งแต่ที่เจ้าฝ่าออกมาจากมิติแห่งความตายได้ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะออกมาจากมิติแห่งความตายโดยมีชีวิตออกมาได้ ข้าก็เลยสงสัยยังไงเล่า ไม่รู้ว่าคนงามของเจ้านั้นไปถึงชั้นใดกันแล้ว?”

กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องนี้ยิ่งไม่ต้องให้เจ้ามาสนใจเลย”

หลงฉือยิ้มแล้วกล่าว “เจ้าเย็นชาเช่นนี้มาโดยตลอดไป๋อี ไม่รู้ว่าคนงามของเจ้าจะสามารถรับได้ไหวหรือไม่”

สถานการณ์ในชั้นที่เก้านั้น กู้ไป๋อีเองก็รู้เช่นกันว่าเป็นเช่นไร

กุกกัก! กุกกัก!

ส่วนมู่เฉียนซีในตอนนี้นั้น นางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมรณะจากรอบด้านที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก นางจึงนำถังใบใหญ่ใบหนึ่งที่แผ่พลังของยาน้ำออกมา และเทมันออก

แม้ว่ารูปลักษณ์ของมันจะดูเหมือนกับไก่ต้มยาซึ่งสภาพดูไม่ค่อยจะดีนัก แต่ทว่ามันกลับทำให้กลิ่นอายมรณะเหล่านั้นค่อย ๆ กระจายออกไปอย่างช้า ๆ

หลังจากกินยาเม็ดเข้าไปหลายเม็ด พลังวิญญาณของนางก็ได้โคจรขึ้นมาเป็นปกติ

เมื่อเงาร่างสีม่วงเริ่มขยับตัว มู่เฉียนซีก็ได้พุ่งออกไป

“ฮิฮิฮิ!”

“หึหึหึ!”

“ลาลาลา!”

มีเสียงที่แปลกประหลาดบางเสียงดังมาจากรอบ ๆ ด้าน มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าพวกวิญญาณพวกนี้หากหลอกหลอนไม่เป็นก็ไสหัวไปเสียเถอะ!”

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ!

เงาร่างจำนวนมากได้ปรากฏขึ้นจากทุกทิศทางและมุ่งเข้ามา

“มังกรเพลิงสังหาร!” เปลวเพลิงสีแดงเข้มพุ่งออกไปและได้ฟาดฟันเงาดำเหล่านั้นขาดออกเป็นสองท่อน

หลังจากที่พวกมันได้แยกออกเป็นสองส่วนไปแล้ว มันก็สามารถกลับมารวมเข้าด้วยกันเป็นรูปร่างอีกครั้ง

“กระบี่มังกรเพลิงไร้ผลกับกลิ่นอายมรณะ!” แม้แต่ตัวของกระบี่มังกรเพลิงเองมันก็ยังรู้สึกโกรธเกรี้ยวและหงุดหงิด

มู่เฉียนซีกล่าว “มังกรเพลิง เจ้ากลับไปเถิด!”

ที่รอบกายของมู่เฉียนซีนั้นมีพลังธาตุน้ำคืบคลานอยู่ เสียงหัวเราะคิกคักที่อยู่รอบด้านนั้นดังอยู่อย่างไม่ขาดสาย

กลิ่นอายมรณะในที่แห่งนี้มันแข็งแกร่งกว่าในมิติที่หงส์ดำได้ส่งนางไปมากมายนัก

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว! ขวดยาชนิดน้ำได้ลอยออกไป พลังวิญญาณธาตุน้ำได้รั้งพวกกลิ่นอายมรณะในที่แห่งนี้เอาไว้

ลูกศรน้ำดอกหนึ่งได้พุ่งออกไป มู่เฉียนซีเปิดปากกล่าวขึ้น “จงระเบิดมัน!”

บึ้ม!

เสียงหนึ่งดังขึ้น ยาชนิดน้ำนั้นระเบิดเข้าที่ใจกลางของกลิ่นอายมรณะนั่น กลิ่นอายมรณะที่ถูกกักขังเอาไว้ด้วยฤทธิ์ยานั้นได้ถูกฤทธิ์ของยาค่อย ๆ ทำการกัดกร่อน

บนใบหน้าของมู่เฉียนซีเผยรอยยิ้มออกมา นางกล่าวขึ้น “ดูท่าแล้วแผนการต่อสู้เช่นนี้จะมีผลกับพวกเจ้ายิ่งนัก เช่นนั้นข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนกับพวกเจ้าให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน! จะจัดการพวกเจ้าไปให้เกลี้ยงเลยทีเดียว”

ปัง ปัง ปัง!

การที่มู่เฉียนซีมีพลังของทั้งยาเม็ดและยาชนิดน้ำอยู่อย่างเต็มเปี่ยมนั้น ถ้าจะต่อสู้ฝ่าออกไปก็ไม่ยากเย็น แต่ทว่านางกลับต้องการที่จะเป็นฝ่ายบุกเข้าไปและสร้างปัญหาให้แก่กลิ่นอายมรณะพวกนั้น

พวกมันเคยพบมนุษย์ที่เข้ามาท้าสู้กับพวกมันมาแล้วไม่น้อย ไม่มีใครที่ได้พบเห็นพวกมันแล้วจะไม่หนีอย่างสุดชีวิต

ไฉนเลยจะเคยพบกับพลังวิญญาณที่วิปริตเช่นนี้ และกลับยังจะเป็นฝ่ายตามฆ่าล้างบางพวกมันอีก

ถึงแม้ว่าชั้นที่เก้าจะเป็นชั้นที่ยากจะผ่านไปได้ที่สุดชั้นหนึ่งของหอคอยแห่งความตาย แต่ทว่ามันก็สามารถที่จะเป็นชั้นที่ผ่านไปได้อย่างรวดเร็วที่สุดเช่นกัน

เพราะถ้าหากสามารถผ่านไปได้ เช่นนั้นจะต้องรีบออกมาให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นแล้ว ยิ่งอยู่ในนั้นและรับกลิ่นอายมรณะเข้าไปมากเท่าไร ก็จะยิ่งตายเร็วมากเท่านั้น

คนธรรมดาทั่วไปสามารถทนอยู่ได้นานที่สุดก็เพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น

แต่มู่เฉียนซีกลับอยู่ในนั้นไปแล้วเป็นเวลาหนึ่งวัน

เหล่าคนที่รอคอยข่าวดีของมู่เฉียนซีก็ล้วนแต่รู้สึกผิดหวังไปบ้างแล้ว ดูท่าแล้วคงจะไม่ไหว!

“เกรงว่านางคงจะตายไปในชั้นที่เก้าเรียบร้อยแล้ว!”

“อยู่ในนั้นไปหนึ่งวัน ถึงต่อให้ไม่ถูกวิญญาณแห่งความตายทารุณจนตาย ก็คงจะถูกกลิ่นอายมรณะกัดกร่อนเสียจนสิ้นชีพแล้ว”

“……”

กู้ไป๋อีที่กำลังรออยู่ด้านนอกก็คิดว่าระยะเวลาที่นางจะออกมานั้นคงจะต้องไวกว่าที่เขาคาดเอาไว้

ตามหลักแล้ว คุณหนูใหญ่สามารถออกมาได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม แต่ทว่านางกลับเปลืองเวลาไปนานเช่นนี้ หรือว่านางจะไปก่อเรื่องอะไรอีกแล้ว

“พี่ชายไป๋อี ท่านมาแล้วจริงด้วย ข้านึกว่าฝ่าบาทหลอกข้าเสียแล้ว!” ห่างจากตรงนั้นไปไม่ไกล เด็กผู้หญิงผู้หนึ่งที่ดูแล้วน่าจะมีอายุเพียงเจ็ดถึงแปดปีได้วิ่งเข้ามาพลัน

นางสวมใส่ชุดในวังที่มีสีดำสนิทอันละเอียดอ่อน ใบหน้านั้นงดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ดวงตาสีดำโตคู่นั้นได้ส่องประกายอันเจิดจ้าออกมา

ความรวดเร็วของเด็กสาวผู้นี้รวดเร็วเป็นอย่างมาก ในตอนที่นางกำลังจะเข้าใกล้กู้ไป๋อีนี่เอง กระบี่เฉียนหานของกู้ไป๋อีก็ได้ออกจากฝัก

ตูม!

วงเดือนสีเงินวงหนึ่งได้หมุนวาดให้เกิดหลุมลึกขึ้นบริเวณรอบตัวของเด็กน้อยผู้นั้น

กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไสหัวไป!”

เด็กสาวตัวน้อยบ่นพึมพำ “พี่ชายไป๋อี ผ่านไปสิบกว่าปีแล้วท่านก็ยังคงโหดเหี้ยมไร้ความรู้สึกอยู่เช่นเคย ช่างทำให้ข้ารู้สึกเจ็บหัวใจเสียจริง!”

ผู้คนรอบข้างที่ได้เห็นฉากนี้เข้าก็ล้วนแต่ตะลึงค้าง “เด็กสาวตัวน้อยผู้นั้น มิใช่หนึ่งในสิบสองท่านราชทินนามซึ่งก็คือท่านราชทินนามเฮยหรอกหรือ? ทำไมนางถึงได้เกิดการต่อสู้ขึ้นกับผู้รับใช้ของท่านโยวหลัวได้?”

“โอ้ สวรรค์! เจ้าบุรุษชุดขาวนี้กับกล้าลงมือกับท่านราชทินนามเฮย คงไม่อยากอยู่บนโลกแล้วกระมัง!”

“……”

เนื่องด้วยเพราะในเวลาหนึ่งปีมานี้ วัน ๆ กู้ไป๋อีเอาแต่เรียกมู่เฉียนซีว่าคุณหนูใหญ่โดยไม่มีความรู้สึกต่อต้านเลยแม้แต่น้อย นั่นจึงทำให้เหล่าผู้คนต่างพากันนึกว่ากู้ไป๋อีเป็นผู้รับใช้ของมู่เฉียนซี

ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์และบุคลิกของผู้รับใช้ผู้นี้จะโดดเด่นผิดปกติ แต่ทว่ากู้ไป๋อีนั้นได้แสดงเข้าถึงบทบาทมากจนเกินไป จึงทำให้ทุกคนต่างล้วนนึกว่าเป็นเช่นนั้น

ผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านราชทินนามเฮยตะลึงค้าง จากนั้นก็ได้มองไปยังผู้คนเหล่านั้นแล้วกล่าวขึ้น “ผู้รับใช้? ทำไมพี่ชายไป๋อีถึงได้เป็นผู้รับใช้? อีกทั้งท่านโยวหลัวที่พวกเจ้าพูดถึงนั้นคือใคร? ใครกัน?”

แสงอันเย็นวาบได้สาดออกมา กระบี่ยาวเล่มหนึ่งได้จ่อเข้าไปที่คอของราชทินนามเฮย!

“อะไรที่ไม่ควรถาม ก็จงอย่าได้ถาม! ไสหัวไปซะ!”

ดวงตาสีดำขลับและความเยือกเย็นไร้ความรู้สึกนั้น ราวกับคมดาบจะปั่นคอนางให้ขาดไปในคราเดียวก็มิปาน

ราชทินนามเฮยกล่าว “ข้ารู้แล้ว คนผู้นั้นก็คือสาวงามผู้นั้นที่ราชาผู้สูงศักดิ์กล่าวถึงกระมัง! ข้านั้นอยากจะเห็นจริง ๆ ว่านางมีอะไรกันที่ทำให้พี่ชายไป๋อีติดอกติดใจ”

ในตอนที่กู้ไป๋อีได้ขยับกระบี่นั้น ราชทินนามเฮยก็ได้กลายร่างสลายเป็นกลุ่มหมอกควันสีดำไปเสียแล้ว

ในตอนนี้เองได้มีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความตกตะลึง “ผู้ที่กล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับท่านราชทินนามเฮย อีกทั้งยังมีปราณกระบี่เช่นนั้น แล้วยังสวมใส่อาภรณ์สีขาว!”

“ผู้ที่มีปราณกระบี่เช่นนั้นและอาภรณ์สีขาว!”

“คนผู้นั้นคือท่านราชทินนามหาน กู้ไป๋อี!”

“ท่านราชทินนามหานมิใช่หนึ่งในสิบสองราชทินนามแห่งเมืองเฮยตูของพวกเราที่มีพรสวรรค์สุดวิปริตรนั่นรึ?”

“เขาจากเมืองเฮยตูไปแล้วกลับมาอีก? หรือว่าคิดที่จะมาท้าสู้กับสถานที่แห่งนั้น?”

“เขาดูแลท่านโยวหลัวเช่นนั้น เขาจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับท่านโยวหลัวอย่างแน่นอน มิน่าละท่านโยวหลัวถึงได้วิปริตเช่นนั้น”

“แต่ว่าในตอนนี้ท่านโยวหลัวยังไม่ออกมา ถึงแม้ว่านางจะมีท่านราชทินนามหานคอยหนุนหลังอยู่ก็ตาม แต่เกรงว่านางคงไม่มีชีวิตรอดออกมาได้แล้ว”

ส่วนมู่เฉียนซีในตอนนี้นั้นก็ได้มองกวาดไปรอบ ๆ ด้าน

นางได้ปัดมือไปมาแล้วกล่าว “จัดการจนหมดสิ้นแล้ว ข้าควรจะออกไปได้แล้ว”

จากนั้นนางก็เดินไปยังขอบของมิติ ซึ่งทั้งมิตินั้นได้ถูกกำแพงแห่งมิติปิดล้อมเอาไว้

มู่เฉียนซีหยิบเข็มยาขึ้นมาเข็มหนึ่งและโยนมันเข้าไปเพื่อทำลายผิวหน้าของกำแพงออก

ปัง!

พลังวิญญาณของยานั้นได้พุ่งทะลุไปในจุด ๆ หนึ่งของกำแพง ไม่นานนักกำแพงแห่งความตายที่แผ่กลิ่นอายมรณะก็ได้พังทลายลง และมู่เฉียนซีก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านใน

ในตอนนี้นี่เอง ทั้งหอคอยแห่งความตายได้ถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีดำ ที่ด้านบนของหอคอยแห่งความตายได้ปรากฏมงกุฎขนาดยักษ์สีดำขึ้นมา

การที่มีมงกุฎปรากฏขึ้นนั้นแสดงว่ามีผู้ที่ได้กลายเป็นตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว!

“เป็นท่านโยวหลัว ท่านโยวหลัวยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังได้กลายเป็นตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว”

“นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ผ่านไปตั้งนานแล้วยังมีชีวิตอยู่อีก”

“……”

หลังจากที่มู่เฉียนซีออกมาแล้ว ผู้ดูแลการประลองยุทธ์ของทั้งแปดชั้นในหอคอยแห่งความตายก็ได้รอนางอยู่แล้ว

พวกเขากล่าวขึ้น “ขอให้ท่านโปรดรอสักครู่ก่อน ที่หอคอยแห่งความตายมีมงกุฎปรากฏขึ้น หอคอยโลหิตจะส่งผู้ที่อยู่ในตำแหน่งมหาจักรพรรดิมาแต่งตั้งเจ้าทำให้เจ้าได้รับตำแหน่งจักรพรรดิที่แท้จริงสมชื่อ”