ตอนที่ 2139 กลับเผ่าพฤกษาอีกครั้ง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หานลี่และพวกทั้งสามนั้นไม่ต้องพูดถึง เผ่ามารบนสำเภายักษ์สีดำล้วนสวมชุดเกราะสงครามสีเงิน ด้านนอกมีชุดคลุมสงครามสีแดงเพลิง พลังยุทธ์ต่ำสุดก็อยู่ในระดับเทพแปลง

และตรงหัวเรือก็มีคนยืนอยู่ร้อยกว่าตน หนึ่งในนั้นมีจอมมารเผ่ามารระดับผสานอินทรีย์ยืนอยู่สองสามตน

สายตาที่ผู้คุ้มกันเผ่ามารเหล่านั้นมองพวกของหานลี่ย่อมตกตะลึงระคนสงสัย ยามนั้นย่อมทำอันใดไม่ถูก

ตามแผนเดิมวันนี้ทางเดินนี้จะถูกนำมาใช้ทั้งวัน และน่าจะมีแค่สำเภาสงครามของพวกเขาที่เข้าออก แต่ยามนี้เหตุใดฟังตรงข้ามถึงมีรถเหาะอีกคันหนึ่ง!

ชั่วพริบตาที่รถเหาะและสำเภาเหาะแล่นผ่านกัน เผ่ามารบนสำเภายักษ์ก็ตกตะลึงจนไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ในห้องโดยสารของสำเภายักษ์พลันมีเสียงแก่ชราดังขึ้น

“หึ ที่แท้ก็ชนต่างเผ่าของแดนวิญญาณ! ในเมื่อมาที่นี่แล้วก็ไม่ต้องรีบกลับหรอก กลับไปแดนศักดิ์สิทธิ์กับข้าเถิด”

สิ้นเสียงในห้องโดยสารก็มีจิตสังหารพวยพุ่งออกมาราวกับของจริง จากนั้นระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้นเหนือรถเหาะ ห้วงมิติเวลาสีขาวปรากฏขึ้น

เสียงภูตผีกรีดร้องดังขึ้น1

กรงเล็บกระดูกสีขาวขนาดสองสามจั้งยื่นออกมา และตะปบไปด้านล่างอย่างแรง

นิ้วกระดูกสีขาวทั้งห้ายังไม่ทันได้ตะปบลงมา ไอทมิฬสีเทาขาวห้าสายก็พวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว

เมื่อม่านลำแสงด้านนอกสุดของรถเหาะสัมผัสกับไอสีเทาขาวก็สั่นเทาแล้วปริแตก คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด

หานลี่ที่ยืนอยู่ในรถเหาะพลันหน้าเปลี่ยนสี ร้องคำรามต่ำๆ อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ร่างกายเปล่งแสงสีทองออกมา กลายเป็นวานรยักษ์ขนสีทองสูงสองสามจั้งอีกครั้ง

แขนสองข้างของวานรสีทองรางเลือน กำปั้นขนปุกปุยสองข้างทุบไปกลางอากาศอย่างแรง

เงากำปั้นสีทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง!

หลังจากเสียง “ปังๆ” ดังสนั่นขึ้น ไอทมิฬสีเทาขาวและเงากำปั้นปะทะกันก็ถูกโจมตีจนสลายออก แต่เงากำปั้นสีทองพลันหดเล็กลงกว่าครึ่ง ลำแสงหม่นหมองลง

แววตาของนักพรตเซี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันฉายแววเย็นชาอ้าปากออกพ่นเสาลำแสงสีทองออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป โจมตีไปยังใจกลางของกรงเล็บยักษ์กระดูกสีขาวแทบจะในเวลาเดียวกันกับเงากำปั้น

เสียงระเบิดราวกับเสียงระฆังดังขึ้น!

ลำแสงสีทองระเบิดออกด้านล่างกรงเล็บกระดูกตัดสลับกันไปมา แล้วกลายเป็นลำแสงยักษ์สีทองราวกับดวงอาทิตย์ และหมุนวนไปมาไม่หยุด

แม้ว่ากรงเล็บกระดูกยักษ์จะแฝงไว้ด้วยอานุภาพที่น่าตกตะลึง แต่เมื่อมีลำแสงสีทองรองอยู่ก็อดที่จะรวมตัวกันกลางอากาศไม่ได้

แทบจะในเวลาเดียวกันบรรยากาศรอบๆ ก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เสียงอึกทึกดังขึ้นทั่วบริเวณ บางแห่งที่พบกับความว่างเปล่าเริ่มบิดเบี้ยว ทางเดินเริ่มไม่มั่นคง

ผู้คุ้มกันเผ่ามารที่ยืนอยู่บนสำเภายักษ์เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกัน แววตาของคนจำนวนไม่น้อยเผยความหวาดกลัวออกมา

หากห้วงเวลาพังทลาย พวกเขาย่อมหนีไม่พ้น

แต่ในยามนั้นในห้องโดยสารของสำเภายักษ์พลันมีเสียงแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชาดังขึ้น1

นิ้วทั้งห้าของกรงเล็บกระดูกหุบลง ตะปบไปทางลำแสงราวกับใบมีด

เสียง “ปัง” ดังขึ้น!

ลำแสงสีทองถูกกรงเล็บกระดูกตะปบไว้ก็สลายหายไปทันที

หานลี่เห็นเช่นนั้นก็สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกตะลึง

ทว่าในยามนั้นเองพลังปราณในร่างของเขาก็โคจรมาถึงขีดสุด และบรรจุเข้าไปในรถเหาะด้านล่าง

เสียง “สวบ” ดังขึ้น

รถเหาะสั่นเทาแล้วเปล่งแสงสว่างวาบหายวับไปจากที่เดิม

ครู่ต่อมาห่างออกไปร้อยจั้งเศษระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้น รถเหาะเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น กลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งออกไป

กรงเล็บยักษ์กระดูกสีขาวสั่นเทาแล้วแตกสลายออกพร้อมกับเสียงดังสนั่น

เผ่ามารเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็อดที่จะมองสบตากันไปมาไม่ได้

“ไป ไม่ต้องสนใจพวกเขา รีบเดินทาง!” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ในห้องโดยสารก็มีเสียงแก่ชราดังขึ้นอย่างไร้ความรู้สึก

“ขอรับ ใต้เท้า!”

หัวสำเภาเกิดความวุ่นวายขึ้น คนจำนวนไม่น้อยเกิดความวุ่นวายทันที

หลังจากที่สำเภายักษ์มีลำแสงไหลวนโคจรไปมา ความเร็วก็เพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง พลางพุ่งตรงไปอีกด้านของทางเดิน

“ใต้เท้าทุนเทียน จะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้หรือ ไม่ส่งคนไปจับพวกเขามาเป็นอย่างไร” เด็กหนุ่มเผ่ามารอายุประมาณสิบสองสิบสามปีในห้องโดยสารของสำเภายักษ์กำลังเอ่ยถามชายชราผมขาวที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่ด้วยความไม่ยินยอม

“ช่างเถิด ตาเฒ่ามีเรื่องสำคัญ ปล่อยแมลงพวกนั้นไปเถิด และยิ่งไปกว่านั้นนอกจากตาเฒ่าจะลงมือเอง เกรงว่าคนอื่นๆ คงไม่มีฝีมือจับพวกเขากลับมา” ชายชราผมขาวสวมชุดคลุมสีดำ สองมือยาวเลยเข่าดูแปลกประหลาดเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ

“พวกเขาร้ายกาจเพียงนั้นเชียวหรือ? แต่เมื่อครู่ใต้เท้าทุนเทียนยังไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริง” เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดใบหน้ามีลวดลายมารสีม่วงอยู่สองสามเส้น ได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย

“หึๆ แม้ว่าตาเฒ่าจะไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริง เจ้าสองคนที่ลงมือต้านทานก็ไม่ได้ใช้อิทธิฤทธิ์ทั้งหมดเช่นกัน หากจะลงมือตาเฒ่าก็ไม่อาจจับพวกเขาได้แม้เพียงปะหน้ากัน” ชายชราดูเหมือนจะรักใคร่เด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะอธิบายด้วยรอยยิ้มบางๆ

“คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีอิทธิฤทธิ์เพียงนั้น! ดูแล้วชนต่างเผ่าเหล่านั้นน่าจะมีประวัติความเป็นมา” เด็กหนุ่มกลอกตาไปมา แล้วเอ่ยอย่างมีความคิด

“แอบเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราแล้วยังกลับไปได้ย่อมไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแอ แต่หากไม่ได้อยู่ในทางเดินห้วงเวลาพอดี ตาเฒ่าไม่กล้าใช้พลังปราณมากนัก จะปล่อยคนเหล่านั้นไปได้อย่างไร” ชายชราเอ่ยอย่างราบเรียบ แต่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมกลับฉายวาบผ่านแล้วสลายหายไป

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ด้านนอกทางเดินชนต่างเผ่าเหล่านั้นทำได้เพียงต้องยอมให้ท่านบรรพชนจับเป็นเท่านั้น” เด็กหนุ่มเอ่ยประจบทันที

ชายชราหัวเราะสองสามคราและฟั่นเคราพร้อมหรี่ตาทั้งสองข้างลงดูเหมือนจะถูกเด็กหนุ่มพูดให้ดีใจ แต่ความจริงแล้วในใจกลับรู้สึกฉงนขึ้นหลายส่วน

ชายหนุ่มผิวขาวที่พ่นลำแสงสีทองออกมาบนรถเหาะเมื่อครู่ กลิ่นอายดูคุ้นเคย แต่ยามนี้กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน

“ช่างเถิด รอให้กลับไปแดนศักดิ์สิทธิ์ค่อยให้คนไปตรวจสอบก็แล้วกัน ในเมื่อจำไม่ได้ ก็น่าจะไม่ใช่คนสำคัญอันใด” สุดท้ายชายชราผมขาวก็ขบคิดอยู่ในใจเช่นนั้น

สามสี่ชั่วยามต่อมาอีกด้านของทางเดินห้วงเวลา ผู้คุ้มกันเผ่ามารสองสามกลุ่มกำลังลาดตระเวนอยู่ตรงทางออก

บนพื้นดินด้านล่างมีหอยักษ์รูปทรงสามเหลี่ยมสูงสิบจั้งเศษสามหลังเรียงกันเป็นรูปอักษรพิ่น (品) อยู่บนพื้น

ฉับพลันนั้นกลางทางเดินก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ลำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มรถเหาะพุ่งออกมา หลังจากกะพริบวาบสองสามคราก็แฉลบผ่านกลุ่มลาดตระเวนไป

ครานี้ย่อมทำให้ผู้ที่ลาดตระเวนอยู่ตกตะลึง เสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นจากทิศต่างๆ และพุ่งมาที่รถเหาะอย่างดุดัน

ในเวลาเดียวกันหอยักษ์สามเหลี่ยมด้านล่างก็เริ่มมีรัศมีลำแสงอ่อนๆ ปรากฏขึ้น ด้านข้างกำแพงมีประตูหินขนาดน้อยใหญ่ปรากฏขึ้น

ด้านในประตูหินมีเงาร่างคนพลิ้วไหว เผ่ามารจำนวนมากกรูกันออกมา

แต่ความเร็วของรถเหาะไม่ใช่สิ่งที่ผู้คุ้มกันเผ่ามารเหล่านั้นจะจินตนาการได้ เห็นเพียงเสียงแหวกอากาศดัง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น เงาลวงตาอ่อนๆ ของรถเหาะมาอยู่ที่ขอบฟ้า หลังจากกะพริบวาบอีกครั้งก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

ยามนี้ในหอมารสามเหลี่ยมถึงได้มีจอมมารสองสามคนบินออกมาพร้อมกับคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว

……

“ไม่ผิด ที่นี่คือแดนของเผ่าพฤกษา ในอดีตข้าเคยมาที่เผ่าพฤกษารอบหนึ่ง จากภูมิประเทศที่มีแต่ป่าไม้ล้อมรอบซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ข้าน่าจะดูไม่ผิด” กลางอากาศห่างออกไปสองสามหมื่นลี้ รถเหาะกำลังห้อตะบึงไปไม่หยุด แต่หานลี่ที่อยู่บนรถเหาะก็กำลังพิจารณาพฤกษายักษ์สูงร้อยจั้งด้านล่างซึ่งรวมตัวกันจนกลายเป็นป่ารก แล้วพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาขณะเอ่ย

“นี่คือแดนวิญญาณ ไอวิญญาณหนาแน่นดังคาด มากกว่าสวรรค์วิญญาณของพวกเราไม่น้อย” จูกั่วเอ๋อร์มองไปทางซ้ายทีขวาทีไม่หยุด แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้น

เผ่ามนุษย์ในสวรรค์วิญญาณมีผู้ที่ร่อนเร่มาที่แดนวิญญาณไม่น้อย แน่นอนว่าจึงกลับไปเล่าให้ลูกหลานที่ไม่เคยออกจากสวรรค์วิญญาณฟัง ล้วนปลงอนิจจังและบอกข้อดีต่างๆ จนหมด

“แม้ว่าแดนวิญญาณจะดี แต่เผ่ามนุษย์อย่างพวกเรามีอำนาจไม่มากนัก ยามนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย จึงไม่ได้ดีอย่างที่เจ้าคิด” หานลี่ชักสายตากลับมาแล้วสั่นศีรษะขณะเอ่ย

“ไม่ว่าอย่างไร แดนวิญญาณก็เหมาะแก่การฝึกฝนของเผ่ามนุษย์อย่างพวกเรามากกว่าสวรรค์วิญญาณ ใช่แล้ว ท่านอาวุโสคิดจะกลับไปสวรรค์วิญญาณเมื่อไหร่ ถึงยามนั้นจะต้องพาชนรุ่นหลังไปด้วยนะเจ้าคะ” จูกั่วเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก แล้วรีบเอ่ยขึ้น

“วางใจถึงยามนั้นเจ้าไม่พูด ข้าก็จะพาเจ้าไปด้วย ถึงอย่างไรเสียข้าก็ไม่คุ้นเคยกับสวรรค์วิญญาณ ต้องการผู้นำทาง” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

“เช่นนั้นชนรุ่นหลังก็ขอบคุณท่านอาวุโสแล้ว” จูกั่วเอ๋อร์พลันดีใจ รีบขอบคุณแล้วคารวะ

หานลี่พยักหน้าไม่ได้เอ่ยอันใดอีก กระตุ้นรถเหาะไปด้านหน้าต่อ

จากความเร็วของรถเหาะที่เขากระตุ้นเต็มอัตรา แน่นอนว่าย่อมไม่กลัวว่าด้านหลังจะมีผู้ใดตามมา

แต่ครั้งนี้รถเหาะบินมาได้ครึ่งวัน หานลี่ที่สังเกตสภาพแวดล้อมมาตลอดทางก็มีสีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

แม้ว่าระหว่างทางจะเต็มไปด้วยผืนป่า แต่ต้นไม้เหล่านั้นกลับเริ่มเป็นสีดำเขียว ไม่เหมือนกับสีเขียวมรกตอื่นๆ

ยิ่งรถเหาะบินไปนานเท่าไหร่ พฤกษาสีเขียวดำก็ยิ่งมากขึ้น แม้กระทั่งเผยพฤกษาชนิดนี้กว่าครึ่งออกมาในผืนป่า

ในผืนป่านี้มีกลิ่นอายสีดำม่วงแปลกประหลาดคลี่ตัวอยู่ แม้ว่าจะเบาบางเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายตัว

แม้ว่าจูกั่วเอ๋อร์จะมีประสบการณ์ไม่มาก หลังจากเห็นต้นไม้ชนิดนี้สีหน้าตื่นเต้นดีใจก็ค่อยๆ หายไป เปลี่ยนเป็นสีหน้าตกตะลึงระคนฉงนแทน

“ท่านอาวุโสหาน ต้นไม้เหล่านี้ดูเหมือนต้นไม้ที่แดนมาร และยิ่งไปกว่านั้นหมอกที่แผ่ออกมา ดูเหมือนจะมีไอมารแฝงอยู่ นี่มันเรื่องอันใดกัน?” บินมาได้อีกระยะหนึ่ง ในที่สุดจูกั่วเอ๋อร์ก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่กว่าครึ่งน่าจะเป็นเผ่ามารที่เป็นผู้ทำ และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราบินมานานขนาดนี้ ยังไม่เจอเผ่าพฤกษาเลยสักคน ยิ่งแปลกไปใหญ่ แม้ว่าเผ่าพฤกษาจะสู้เผ่ามนุษย์อย่างพวกเราไม่ได้ แต่พละกำลังก็ไม่อาจดูแคลนได้” หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม